24 สิงหาคม 2555 20:05 น.
ไหมแก้วสีฟ้าคราม
เราพบกันในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง
มหาวิทยาลัยแห่งนี้...ใครๆล้วนกล่าวขวัญว่ามีบรรยากาศแสนจะโรแมนติก
เราเรียนคณะเดียวกันแต่คนละสาขา
และเราก็เคยเรียนด้วยกันวิชาหนึ่ง
เราชอบคุยกันเมื่อมีเวลาว่างและมักเจอกันในห้องสมุด
เธอเคยยืมสมุดจดคำบรรยาย(Lecture)แล้วมาคืนให้เราที่หอพัก
เธอชวนเราไปทานข้าว แต่เราไม่ไปเพราะเกรงว่าจะอ่านหนังสือสอบวันรุ่งขึ้นไม่ทัน เธอนำสมุด Friendship มาให้เราเขียนคำอำลาก่อนเรียนจบ
และเราได้ถ่ายรูปด้วยกันวันรับปริญญา
หลังจากนั้นเราก็ต่างแยกย้ายกันไปหางานทำ
เธอเขียนจดหมายมาหาเราบ้างแบบเพื่อนฝูงแล้วก็เลือนหายไป
เราติดต่อกันเพียงแค่เพื่อน มิตรภาพ เหมือนคนอื่นๆที่คนสมัย 20-30 ปีก่อนใช้วิธีการเขียนจดหมายสื่อสารกัน ไม่มีโทรศัพท์มือถือเหมือนสมัยนี้
เราต่างหายเงียบไม่ได้ติดต่อกันนานหลายปีทีเดียว....
......................
แต่แล้วเราก็มาเจอกันอีกครั้งที่จุฬาฯ ซึ่งฉันมาเรียนต่อ ป.โทในคณะอักษรศาสตร์
เราเห็นเธอยืนเข้าแถวตรวจสุขภาพที่อาคารหน้ามหาวิทยาลัย
เพราะความอยากรู้ว่าเธอหายไป ไปทำงานที่ไหน และมาเรียนคณะอะไร
ทำให้เรายืนคอยเธออยู่นาน
ที่จุฬาฯเราเจอกันบ่อยๆ เราทานข้าวด้วยกันหลายครั้ง
วันหนึ่งเธอชวนเราไปทานข้าวที่โรงอาหารข้างหอพักจุฬาฯ
ระหว่างเดินกันไป คุยกันไป เธอเลียบๆเคียงๆว่าฉันมีใครหรือยัง
ในขณะนั้นฉันสังเกตุมีเพื่อนฉันอีกคนที่เขามาช่วยฉันทำวิทยานิพนธ์กำลังแอบมองเราสองคน ....ทำให้..เราต้องบอกเธอตรงไปตรงมาว่าเรามีแฟนแล้วและเขาแอบสะกดรอยตามเรามา เธอหน้าสลดลงเล็กน้อยแล้วบอกว่า ผมอยอกล้อเล่นน่ะ ผมพูดเล่น อย่าคิดมาก แล้วเธอก็เดินมาส่งเราที่ป้ายรถเมล์
ในวันรับปริญญาโทของฉัน เราถ่ายรูปด้วยกันอีกแต่ครั้งนี้มีแฟนเรายืนอยู่ด้วย
...................
เวลาผ่านไป 20กว่าปี ฉันแต่งงานมีครอบครัวกับคนที่มาช่วยทำวิทยานิพนธ์
เมื่อปีที่แล้วน้ำท่วมกรุงเทพ ฉันหยุดงานไปตามระเบียบ
มีเวลาว่างมากมาย ความคิดถึงเพื่อนแว่บผ่านมาอีกครั้ง
ฉันหาเบอร์โทรเธอเจอ
และได้โทรไปหาเป็นโทรศัพท์ทีโอที
ฟังน้ำเสียงดูเธอดีใจมาก และได้ไถ่ถามทบทวนความหลัง เธอจำได้หมดว่าเราไปทานข้าวที่ไหนบ้าง เราเจอกันที่ไหนบ้าง และแปลกมากเธอยังไม่มีครอบครัว เธอบอกว่าเกือบมีแต่ต้องจากกันเพราะไปเรียนต่อบ้าง..และเหตุผลอื่นๆ
และที่ทำให้ฉันทึ่งมากๆคือ
เธอถามเราว่า ตัวเองแยกทางกับสามีแล้วหรือ.....
......ยัง...ยังเลย เรายังอยู่ด้วยกัน...เราบอกเธอ
..อ้าวแล้วโทรมาหาผมทำไม..เสียงเธอสั่นเครือ...
....เราเป็นเพื่อนกันได้นะ...ฉันแย้งกลับไป
...อย่ามาพูดดีกว่า เราอายุมากกันแล้ว ไม่ใช่ 17-18
...ขอถามหน่อย เขาหึงผมใช่ไหม...
ฉันงงงงมากๆ เวลาผ่านไปยี่สิบกว่าปีแล้ว และเราก็ไม่ได้หลอกลวงอันใด
ทำไมกลับกลายเป็นเช่นนี้..(ยังมีต่อแต่..มีธุระเดี๋ยวกลับมาเขียน)
.....เราสองคนไม่ได้คบหากันแบบคู่รัก..มีบ้างที่พบกันทานข้าวด้วยกัน..
.....และที่โทรศัพท์กลับไปหา..ไม่ใช่มีเธอคนเดียว..เพื่อนชายหญิงมากมาย
ที่ฉันค้นหาชื่อเจอในอินเตอร์เนต..ก็โทรไปถามสารทุกข์ สุขสบาย เป็นอยู่อย่างไร
ส่วนใหญ่จะเป็นเพื่อนที่ชื่อ นามสกุลไม่เปลี่ยน......
คนเราอายุล่วงเลยมาจนย่างสู่วัยครึ่งศตวรรษแล้ว
น่าจะลืมๆอะไรไปบ้าง ....นับจากวันนั้น...และวันนี้ทำให้ฉันไม่กล้าโทรไปหาใครอีก
ความจริงการที่ฉันโทรไปหาใครๆ ก็เนื่องมาจากน้ำท่วม...อยากมีเพื่อนในที่ต่างๆไว้ถามเส้นทาง...และถ้าเผื่อผ่านไปก็จะได้ไปทักทาย...
......จึงอยากฝากผ่านบันทึกนี้ว่า...เราขออโหสิกรรม จากเธอ ..สิ่งใดที่เคยล่วงเกินเธอโดยเจตนา หรือไม่เจตนา ด้วยกาย วาจา ใจ ...ชอให้อภัยด้วย..
.....อย่างไรก็ยังคิดถึงเพื่อนเสมอ....
มิตรภาพตราบดินฟ้า...อย่างที่Thaipoem..เขาว่าไว้....
4 กรกฎาคม 2551 14:19 น.
ไหมแก้วสีฟ้าคราม
ม่านหมอกเหมือนสายใยที่กั้นความเป็นมิตรภาพไว้ในใจของคนเรา
คล้ายกับว่ายังไม่เปิดใจให้กันและกัน
ยามสาย ตะวันเริ่มทอแสง แผ่รัศมีความร้อน หลอมละลายทะเลหมอก
ให้เหือดหายไป ไออุ่นแห่งไมตรีจิตเริ่มก่อตัวเป็นมิตรภาพ
งอกงาม ทำให้เราได้รู้จักกันและกันมากขึ้น
เหมือนกับต้องใช้กาลเวลา เผาผลาญภูเขาน้ำแข็งที่เกิดขึ้น
ระหว่างกลางใจของเราให้เปลี่ยนสภาพเป็นน้ำทิพย์
หล่อเลี้ยงหัวใจให้ชุ่มฉ่ำ ด้วยคำว่าไมตรีจิต และมิตรภาพ
..........ธรรมชาติให้แง่คิดที่ลงตัวแก่เราเสมอ.............
28 มิถุนายน 2551 15:54 น.
ไหมแก้วสีฟ้าคราม
ท้องฟ้ามืดครึ้ม เมฆตั้งเค้ามาตั้งแต่ตะวันเริ่มชิงพลบ
แล้วก็ถ่ายเทฝนลงมาโครมใหญ่ อยู่ชั่วอึดใจ
เม็ดฝนเกาะพราวหนาทึบหน้ากระจกรถยนตร์
จนต้องกวาดน้ำฝนทิ้งไปหลายต่อหลายครั้ง
ฝนเริ่มซาเม็ดลง เมื่อฟ้าเริ่มมืดค่ำมาเยือน
เสียงน้ำฝนหล่นกระทบหลังคาโรงรถดังเปาะแปะๆ
ฟังอยู่นาน ทีท่าไม่หยุดตกง่ายๆ
ฟังไปมาเพลินดีเหมือนเสียงดนตรีไม่มีเนื้อร้อง
แม้ว่ายามฝนตก บรรยากาศจะดูสดชื่น พื้นดินชุ่มฉ่ำ
ต้นไม้ใบหญ้าชอุ่มเขียว มองแล้วเจริญตาเจริญใจ
แต่ถ้าตกยึดเยื้อ อยู่เป็นนาน สองนาน
ก็ชวนให้น่าเบื่อหน่าย
ยิ่งไปกว่านั้น ความหนาวเย็นของเม็ดฝน
ยังยะเยือกเข้าไปถึงขั้วหัวใจ
หดหู่ ห่อเหี่ยวใจอยู่ลึกๆ กับเหตุการณ์บ้านเมือง
ไหนจะข้าวของแพง วิกฤติน้ำมัน
ล้วนแล้วแต่ชวนปวดขมองทั้งนั้น
เราควรปรับตัวปรับใจเสียใหม่ดีกว่า
ควรนำพาแต่พอประมาณ ถ้าอินมากๆ
เดี๋ยวเครียดตาย
อย่าไปพูดเรื่องชวนทุกข์ใจเลย
มาพูดถึงเรื่องที่ชวนให้ใจมีสุขกันดีกว่า
ความสุขที่กำลังมาเยือนในไม่ช้าของคนเขียนเรื่องนี้นะ
อีกไม่นานเราจะได้ไปอยู่บ้านกลางสวน มีทุ่งดอกไม้หลากหลายสีสรร
อยู่ท่ามกลางแมกไม้ ทุ่งนาเขียวขจี
ลำธารใสเย็น กอบัว พืชพรรณชอุ่มพุ่มไสว
ปลูกกอไผ่ไหวเอน แต่ต้นยูคาลิปตัสไม่ปลูกเดี๋ยวดินเสีย
เราจะอยู่แบบพอเพียง แต่อิ่มทุกมื้อเพราะเรามีข้าว ปลา ไข่ ผักกิน
เราจะนำพลังงานแสงแดดมาเก็บไว้ใช้เป็นพลังงาน
หุงต้มอาหาร ยานพาหนะ(กำลังติดตามหาคนมาประดิษฐ์รถใช้พลัง
แสงแดดอยู่)
ไว้แค่นี้ก่อน .....กลัวว่าจะโพสต์ไม่ได้
28 มิถุนายน 2551 15:16 น.
ไหมแก้วสีฟ้าคราม