10 ธันวาคม 2549 20:02 น.
ไรไก่
ข้อมูลจากหนังสือ 'ครองใจคน' หลากเหตุผลที่คนไทยรักในหลวง *
*".... ผมเคยอยู่มาแล้วหลายแผ่นดิน
แต่ก็ไม่เคยเห็นว่าพระเจ้าอยู่หัวแผ่นดินใดที่คนทั้งเมืองเขาเป็น
เจ้าเข้าเจ้าของ ให้ความเคารพบูชาอย่างสนิทสนมอย่างทุกวันนี้
...พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลก่อน ๆ ทรงครองแผ่นดิน
แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลนี้
ทรง "ครองใจคน.."**
หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช **
****************************************************** *
*
"เดิมพันของเรา"*
ครั้งหนึ่ง เมื่อหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช
กราบบังคมทูลถามพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า
"เคยทรงเหนื่อย ทรงท้อบ้างหรือไม่"
ครั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชกระแสตอบว่า
*ความจริงมันน่าท้อถอยหรอก
บางเรื่องมันน่าท้อถอย แต่ว่าฉันท้อไม่ได้ เพราะเดิมพันของเรานั้นสูงเหลือเกิน
เดิมพันของเรานั้น คือบ้านคือเมือง คือความสุขของคนไทยทั่วประเทศ* *
ข้อมูลจาก ไทยรัฐ ฉบับ5 ธ.ค.32 **
****************************************************** *
*"ราษฎรยังอยู่ได้" *
ปีพุทธศักราช 2513
เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชประสงค์ที่จะเสด็จพระราชดำเนิน
ไปเยี่ยมราษฎรในตำบลหนึ่งของอำเภอเมืองพัทลุง
อันเป็นแหล่งที่ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์
ปฏิบัติการรุนแรงที่สุดในภาคใต้เวลานั้น ด้วยความห่วงใยอย่างยิ่งล้น
ทางกระทรวงมหาดไทยได้กราบบังคมทูลขอให้ทรงรอให้สถานการณ์ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่เสียก่อน
แต่คำตอบที่ทางกระทรวงมหาดไทยได้รับก็คือ
*ราษฎรเขาเสี่ยงภัยยิ่งกว่าเราหลายเท่า
เพราะเขา
ต้องกินอยู่ที่นั่นเขายังอยู่ได้
แล้วเราจะขลาดแม้แต่จะไปเยี่ยมเยียนทุกข์สุขของเขาเชียวหรือ**
ข้อมูลจากคำอภิปรายเรื่อง "พระบิดาประชาชน" *
และมีอีกหนึ่งพระกระแสพระราชดำรัสที่เป็นคำตอบว่าเหตุใดจึงไม่อาจหยุดทรงงานได้*
...คนเราจะอยู่สุขสบายแต่คนเดียวไม่ได้ ถ้าคนที่อยู่ล้อมรอบมีความทุกข์ยาก
ควรต้องแบ่งเบาความทุกข์ยากของเขาบ้าง ตามกำลังและความสามารถเท่าที่จะทำได้! *
*
****************************************************** *
*"ดอกไม้จากหัวใจ"*
ที่นครพนม บนเส้นทางรับเสด็จตรงสามแยกชยางกูร-เรณูนคร บายวันที่ 13 พ.ย. 2498
อาณัติ บุนนาค หัวหน้าส่วนช่างภาพประจำพระองค์
ได้บันทึกภาพในวินาทีสำคัญที่กลายเป็นภาพประวัติศาสตร์ภาพหนึ่งของประเทศ
*ภาพที่พูดได้มากกว่าคำพูดหนึ่งล้านคำ*
วันนั้นหลังจากทรงบำเพ็ญพระราชกุศล ณ
วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหารเสร็จสิ้นในช่วงเช้าแล้ว
ทั้ง 2 พระองค์ได้เสด็จฯ โดยรถยนต์พระที่นั่งกลับไปประทับแรม ณ
จวนผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม
ราษฎรที่รู้ข่าวก็พากันอุ้มลูก จูงหลานหอบกันมารับเสด็จที่ริมถนนอย่างเนืองแน่น
ดังเช่นครอบครัวจันท์นิตย์ ที่ลูกหลายช่วยกันนำ แม่ตุ้ม จันทนิตย์ วัย 102 ปี
ไปรอรับเสด็จ
ณ จุดรับเสด็จห่างจากบ้าน 700 เมตร
โดยลูกหลานได้จัดหาดอกบัวสายสีชมพูให้แม่เฒ่าจำนวน 3 ดอก
และพาออกไปรอที่แถวหน้าสุดเพื่อให้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทที่สุด
เปลวแดดร้อนแรงตั้งแต่เช้าจนสาย เที่ยงจนบ่าย แผดเผาจนดอกบัวสายในมือเหี่ยวโรย
แต่หัวใจรักภักดีของหญิงชรายังเบิกบาน เมื่อเสด็จฯ มาถึงตรงหน้า
แม่เฒ่าได้ยกดอกบัวสายโรยรา
สามดอกนั้นขึ้นจบเหนือศีรษะแสดงความจงรักภักดีอย่างสุดซึ้ง
พระเจ้าแผ่นดินทรงโน้มพระองค์
อย่างต่ำที่สุด จนพระพักตร์แนบชิดกับศีรษะของแม่เฒ่า ทรงแย้มพระสรวลอย่างเอ็นดู
พระหัตถ์แตะมือกร้านคล้ำของเกษตรกรชราชาวอีสานอยางอ่อนโยน
เป็นคำบรรยายเหมือนไม่จำเป็น สำหรับภาพที่ไม่จำเป็นต้องบรรยาย
ไม่มีใครรู้ว่าทรงกระซิบคำใด
กับแม่เฒ่า แต่แน่นอนว่าแม่เฒ่าไม่มีวันลืม
เช่นเดียวกับที่ในหลวงไม่ทรงลืมราษฎรคนสำคัญที่ทรงพบริมถนนวันนั้น
หลานและเหลนของแม่เฒ่าเล่าว่า *
"หลังจากเสด็จพระราชดำเนินกลับกรุงเทพฯ แล้ว
ทางสำนักพระราชวังได้ส่งภาพรับเสด็จ
ของแม่เฒ่าตุ้ม พร้อมทั้งพระบรมรูปหล่อด้วยปูนพลาสเตอร์
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
พระราชทานมาทางอำเภอพระธาตุพนมให้แม่เฒ่าตุ้มไว้เป็นที่ระลึก"*
พระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้นี้
อาจมีส่วนชุบชูชีวิตให้แม่เฒ่ายืนยาวขึ้นอีกด้วยความสุขต่อมาอีก
ถึงสามปีเต็ม ๆ แม่เฒ่าตุ้ม จันทนิตย์ ราษฎรผู้โชคดีที่สุดคนหนึ่งในรัชกาลที่ 9
สิ้นอายุขัยอย่างสงบ
ด้วยโรคชราเมื่ออายุได้ 105 ปี *
ข้อมูลจาก "แม่เฒ่าตุ้ม จันทนิตย์" ภาคพิเศษโดย คุณหญิงศรีนาถ สุริยะ วารสารไทย
**
****************************************************** *
*"เขาเดินมาเป็นวัน ๆ"*
...มีอยู่ครั้งนึง ข้าพเจ้าอายุ 18 ปี
ได้ตามเสด็จ...ตอนนั้นเป็นช่วงหลังพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
เสด็จฯ เยี่ยมราษฎรทุกจังหวัดและอำเภอใหญ่ๆ ก็เสด็จฯ ประมาณ 9 โมงเช้า
เสด็จออกทรงเยี่ยมราษฎร
มาเรื่อย ๆ ทีนี้ข้าพเจ้าก็รู้สึกว่า แหม นานเหลือเกิน ตอนนั้นยังไม่กางร่ม
ตอนนั้นยังไม่ค่อยกลัวแดด
ไม่ใส่หมวก ก็รู้สึกแดดเปรี้ยง หนังเท้านี้รู้สึกไหม้เชียว
ก็เดินเข้าไปกระซิบท่านว่า พอหรือยัง ก็โดนกริ้ว
*นี่เห็นไหมราษฎรเขาเดินมาเป็นวัน ๆ เพื่อมาดูเราแม้แต่นิดเดียว
แต่นี่เรายืนอยู่ไม่เท่าไรล่ะ
ตอนนี้ทนไม่ไหวเสียแล้ว..**
พระราชดำรัสสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ วันที่ 11 ส.ค. 2534 **
****************************************************** *
*"ต่อไปจะมีน้ำ"*
บทความ *"น้ำทิพย์สาดเป็นสายพรายพลิ้วทิวงาม ทั่วเขตคามชื่นธารา"* เขียนโดย
มนูญ มุกข์ประดิษฐ์
ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 5
ธ.ค.2528ได้เล่าให้ผู้อ่านชาวไทยได้ประจักษ์ถึงเรื่องอัศจรรย์
ของ *"ในหลวง" กับ "น้ำ"* ที่เกิดขึ้นในคำวันหนึ่งของเดือน ก.พ.2528
ด้วยความทุกข์ที่เปี่ยมล้นใจอันเนื่องมาจากต้องเผชิญความแห้งแล้งอย่างหนัก
หญิงชราคนนึ่งที่มาเข้าเฝ้าฯ
รับเสด็จได้คลานเข้ามากอดพระบาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
กราบบังคมทูลด้วยน้ำตาอาบแก้ม
ขอพระราชทานน้ำ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสตอบว่า
*ยายไม่ต้องห่วงแล้วนะ ต่อไปนี้จะมีน้ำ เราเอาน้ำมาให้*
แล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระดำเนินกลับไปยังรถพระที่นั่งซึ่งจอดห่างออกไปราว
5 เมตร *
ปรากฎว่าท่ามกลางอากาศที่ร้อนแล้ง จู่ ๆ ก็เกิดฝนตกลงมาเป็นครั้งแรกในรอบปี
ทำให้ผู้ตามเสด็จ
และราษฎรในที่นั้นถึงกับงุนงงไปตาม ๆ กัน *
*
****************************************************** *
*"เก็บร่ม"*
การเสด็จพระราชดำเนินทุกครั้ง แม้จะต้องเผชิญกับแดดร้อนหรือลมแรง
ราษฎรก็ไม่เคยย้อท้อ
ที่จะอดทนรอรับเสด็จให้ถึงที่สุด แม้ฝนจะตกหนักแค่ไหนก็ไม่มีใครยอมกลับบ้าน
ร้อยเอกศรีรัตน์ หริรักษ์ เล่าไว้ในบทความ *"พระบารมีปกเกล้าฯ
ที่อำเภอท่ายาง"*ตีพิมพ์ในหนังสือ
*
"72 พรรษาราชาธิราชเจ้านักรัฐศาสตร์"* ว่า ครั้งหนึ่งที่โครงการห้วยสัตว์ใหญ่
เมื่อเฮลิคอปเตอร์
พระที่นั่งมาถึง ปรากฎว่าฝนตกลงมาอย่างหนัก
ราษฎรและข้าราชการที่มาเข้าแถวรอรับเสด็จต่างเปียกปอน
กันหมด แต่ก็ยังตั้งแถวเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่อย่างนั้น
เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จลงมาจากเฮลิคอปเตอร์
นายตำรวจราชองค์รักษ์ที่ตามเสด็จ
ได้เข้าไปกางร่มถวายทรงทอดพระเนตรเห็นบรรดาข้าราชการและราษฎรที่มายืนตั้งแถวรอรับเสด็จอยู่
ต่างก็เปียกฝนโดยทั่วกัน
*"จึงมีรับสั่งให้นายตำรวจราชอครักษ์เก็บร่ม
แล้วทรงพระดำเนินเยี่ยมข้าราชการและราษฎร
ที่เข้าแถวรอรับเสด็จ โดยทรงเปียกฝนเช่นเดียวกับข้าราชการ
และราษฎรทั้งหลายที่ยืนรอ
รับเสด็จในขณะนั้น" *
*
****************************************************** *
*"สิ่งที่ทรงหวัง"*
ครั้งหนึ่งขณะเสด็จฯ เยี่ยมเยียนราษฎรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ผู้สื่อข่าวต่างประเทศคนหนึ่ง
ได้ขอพระราชทานสัมภาษณ์ และได้กราบบังคมทูลถามว่า การที่เสด็จฯ
เยี่ยมราษฎรและมีโครงการ
ตามพระราชดำริเกิดขึ้นมากมายนั้น ทรงหวังว่าจะให้คอมมิวนิสต์น้อยลงใช่หรือไม่
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรบสั่งตอบว่า*มิได้ทรงสนพระทัยว่าคอมมิวนิสต์จะน้อยลงหรือไม่
แต่ทรงสนพระทัยว่าประชาชนของพระองค์จะหิวน้อยลงหรือไม่ *
*
****************************************************** *
*"รักถึงเพียงนี้" และ "จุดเทียนส่งเสด็จ"*
บทความชื่อ* **"แผ่นดินร่มเย็นที่นราธิวาส" *ตีพิมพ์ในนิตยสาร
*"สู่อนาคต"* ฉบับพิเศษเนื่องในวันเฉลิมฯ
ได้เล่าย้อนให้เราได้เห็นภาพความยากลำบากในการเสด็จฯ
เยี่ยมราษฎรทางภาใต้เมื่อหลายปีก่อน
โดยเฉพาะช่วงก่อนสร้างพระราชตำหนักทักษิณราชนิเวศน์นั้น
เป็นที่รู้กันว่าจังหวัดนราธิวาสชุกชุม
ไปด้วยโจรร้าย โจรปล้นสะดมและพวกโจรเรียกค่าไถ่ ถึงขนาดที่ในหลาย ๆ
หมู่บ้านนั้น แม้แต่
เจ้าหน้าที่ของรัฐก็ไม่กล้าย่างกรายเข้าไป
ทว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตระหนักในทุกข์อันลึกล้ำของชาวบ้าน
ที่ทั้งทุกข์เพราะยากจน
และทุกข์เพราะภัยคุกคาม
จึงได้เสด็จฯลงไปเยี่ยมเยียนเป็นขวัญกำลังใจให้ราษฎรของพระองค์
โดยไม่ทรงหวาดหวั่น บางวันถึงกับเสด็จฯ
เป็นการส่วนพระองค์โดยปราศจากกำลังอารักขา
และบางหมู่บ้านตำรวจเพิ่งถูกคนร้ายแย่งปืนแล้วยิ่งตายก่อเสด็จไปถึงเพียงไม่กี่ชั่วโมง
ี้ จึงไม่แปลกที่หญิงชราคนหนึ่งในหมู่บ้านหนึ่งของอำเภอรือเสาะจะ
เข้ามาเกาะพระบาท
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวร้องไห้แล้วบอกว่า *
" ไม่นึกเลยว่าพระเจ้าอยู่หัวเป็นคนไทยชาวพุทธ จะมารักมุสลิมได้ถึงขนาดนี้".. *
บทความเดียวกันได้เปิดเผยต่อไปอีกว่า ที่อีกหมู่บ้านหนึ่งในอำเภอเดียวกันนั้น
โต๊ะครูได้พาพรรคพวกมายืนรอรับเสด็จแล้วพูดขึ้นว่า*
" ..รายอกลับไปเถอะ ประไหมสุหรีกลับไปเถิด ประเดี๋ยวพวกโจรจะลงจากเขา..." *
*และเมื่อถึงเวลาเสด็จฯ กลับที่มืดสนิทอย่างน่ากลัว
โต๊ะครูกับชาวบ้านก็พากันมาจุดเทียน
ส่งเสด็จตลอดเส้นทางอันตราย ด้วยความห่วงใยใน "รายอ" และ "ประไหมสุหรี" หรือ
พระราชาพระราชินีของพวกเขาอย่างสุดซึ้ง *
*
****************************************************** *
*"รถติดหล่มกับถนนสายนั้น"*
หากย้อนกลับไปค้นหาจุดเริ่มต้นของพระราชกรณียกิจในด้านการพัฒนาแล้ว ชื่อของ *
"ลุงรวย"*
และ *"บ้านห้วยมงคล" *คือสองชื่อที่ลืมไม่ได้ เรื่องราวของ "ลุงรวย"
เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2495
หรือมากกว่าห้าสิบปีล่วงมาแล้ว ที่บ้านห้วยมงคล ตำบลหินเหล็กใน
จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
บ้านห้วยมงคลนี้อยู่ทั้ง "ใกล้และไกล" ตลาดหัวหิน
ใกล้เพราะระยะทางที่ห่างกันนั้นไม่กี่กิโลเมตร
แต่ไกลเพราะไม่มีถนน หากชาวบ้านจะขนพืชผักไปขายที่ตลาดต้องใช้เวลาเป็นวัน ๆ
ห่างไกลความเจริญถึงเพียงนี้
แต่วันหนึ่งกลับมีรถยนต์คันหนึ่งมาตกหล่มอยู่ที่หน้าบ้านลุงรวย
เมื่อเห็นทหารตำรวจกว่าสิบนายระดมกำลังกันช่วยรถคันนั้นขึ้นจากหล่ม
ลุงรวยผู้รวยน้ำใจสมชื่อ
ก็กุลีกุจอออกไปช่วยทั้งงัด ทั้งดัน ทั้งฉุด จนที่สุดล้อรถก็หลุดจากหล่ม
*เมื่อรถขึ้นจากหล่มแล้ว
ลุงรวยจึงได้รู้ว่ารถคันที่ตัวทั้งฉุดทั้งดึงนั้นเป็นรถยนต์พระที่นั่ง
และคนในรถนั้นคือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระราชินีนาถ
*
แม้จะตื่นเต้นตกใจที่ได้เฝ้าฯ ในหลวงอย่างไม่คาดฝัน
แต่ลุงรวยก็ยังจำได้ว่าวันนั้น "ในหลวง" มีรับสั่ง
ถามลุงว่า *"หมู่บ้านนี้มีปัญหาอะไรบ้าง.." *
ลุงได้กราบบังคมทูลว่า*
ปัญหาใหญ่ที่สุดคือไม่มีถนน*จึงนอกจากจะโชคดีได้รับพระราชทาน
*
"เงินก้นถุง" *จำนวน 36 บาท
ซึ่งลุงนำไปเก็บใส่หีบบูชาไว้เป็นสิริมงคลจนถึงทุกวันนี้แล้ว
อีกไม่นานหลังจากนั้น
ลุงรวยก็ได้เห็นตำรวจพลร่มกลุ่มหนึ่งเข้ามาช่วยกันไถดินที่บ้านห้วยมงคล
และเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น *ชาวบ้านก็ได้ถนนพระราชทาน
ถนนห้วยมงคลที่ทำให้ชาวไร้ห้วยมงคล
สามารถขนพืชผักออกมาขายที่ตลาดหัวหินได้ภายในเวลาเพียง 20 นาที *
*
****************************************************** *
*"สามร้อยตุ่ม"*
มีหลายหนที่ทรงงานติดพันจนมืดสนิท
ท่ามกลางฝูงยุงที่รุมตอมเข้ามากัดบริเวณพระวรกาย รอบพระศอ
พระกร พระพักตร์ รวมทั้งแมลงตาง ๆ ที่เข้ามารุมรบกวนพระองค์
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะยังทรงทอดพระเนตรแผนที่อยู่ภายใต้แสงไฟฉาย
ที่มีู้ส่องถวาย
อย่างไม่สะดุ้งสะเทือน อย่างมากที่ทรงทำคือโบกพระหัตถ์ปัดไล่เบา ๆ เท่านั้น
ครั้งหนึ่งทรงมีรับสั่งเล่าเรื่อง "ยุง" ด้วยพระอารมณ์ขันว่า
*"..ที่บางจาก แต่ไม่มีจากหรอกนะ ยุงชุมมากเลย ไปยืนดูแผนที่
เลยโดนยุงรุมกัดขาทั้งสองข้าง
กลับมาขาบวมแดง ไปสกลนครกลับมาแล้วถึงได้ยุบลง มองเห็นเป็นตุ่มแตง
ลองนับดูได้ข้างละ
ร้อยห้าสิบตุ่ม สองข้างรวมสามร้อยพอดี.." *
*
****************************************************** *
*"น้ำท่วมครั้งนั้น"*
วันที่ 7 พ.ย. 26
ขณะที่ชาวกรุงเทพมหานครส่วนหนึ่งกำลังทนทุกข์หนักกับสภาพน้ำท่วมขัง
น้อยคนที่จะรู้ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกำลังทรงพยายามหาหนทางบรรเทาทุกข์ให้พวกเขา
อยู่อย่างเงียบ ๆ
วันนั้นรถพระที่นั่งแวนแวคคอนเนียร์ แล่นออกจากพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
ราวบ่ายสองโมงเศษ
สู่ถนนศรีอยุธยาเลี้ยวขวาเข้าถนนเพชรบุรี มุ่งสู่ถนนบางนาตราด
ไม่มีหมายกำหนดการ ไม่มีการปิดถนน
แม้แต่ตำรวจท้องที่ก็ไม่ทราบล่วงหน้า
รถยนต์พระที่นั่งชะลอเป็นระยะ ๆ เพื่อทรงตรวจดูระดับน้ำ
จนเมื่อถึงคอสะพานสร้างใหม่ที่คลองลาดกระบัง
จึงเสด็จลงจากรถยนต์พระที่นั่งเพื่อทรงหารือกับเจ้าหน้าที่ที่ตามเสด็จ
*ทรงฉายภาพด้วยพระองค์เอง ทรงกางแผนที่ทอดพระเนตรจุดต่าง ๆ จนถึงเวลาบ่ายคล้อย
รถยนต์พระที่นั่งจึงแล่นกลับ เมื่อถึงสะพานคลองหนองบอน
รถพระที่นั่งหยุดเพื่อให้
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงฉายภาพบริเวณน้ำท่วม
และทรงศึกษาแผนที่ร่องน้ำอีกครั้ง *
ปรากฎว่าชาวบ้านทราบข่าวว่า
*"ในหลวงมาดูน้ำท่วม"*ต่างก็พากันมาชมพระบารมีนับร้อย ๆ คน
จนทำให้การจราจรบนสะพานเกิดการติดขัด *
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต้องทรงโบกพระหัตถ์
ให้รถขบวนเสด็จผ่านไปจนเป็นที่เรียบร้อยด้วยพระองค์เอง! *
*
****************************************************** *
*"เชื่อมั่น"*
เย็นย่ำแล้วแต่ขบวนรถยนต์พระที่นั่งยังไม่หมดภารกิจ
เมื่อรถวิ่งกลับมาทางถนนพัฒนาการ
ทรงแวะฉายภาพบริเวณคลองตัน ทอดพรเนตรระดับน้ำแล้วทรงวกกลับมาที่คลองจิก
เวลานั้นฟ้ามืดแล้วเพราะเป็นเวลาจวนค่ำ*พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงนำไฟฉายส่วนพระองค์
ออกมาส่องแผนที่ป้องกันน้ำท่วม และแนวพนังกั้นน้ำอยู่เป็นเวลานาน*
กลายเป็นอีกภาพหนึ่งที่สร้าง
ความตื้นตันใจแก่ประชาชนชาวกรุงเทพฯ อย่างยิ่ง
ประชาชนคนหนึ่งในละแวกเคหะนคร 1 แขวงบางบอน เขตประเวศ บอกว่า
*
"รู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นที่ทรงห่วงใยทุกข์ของราษฎร เสด็จฯ
มาแก้ไขปัญหา
น้ำท่วมด้วยพระองค์เอง
พวกเราถึงจะทนทุกข์เพราะน้ำท่วมขังเน่ามาเป็นเวลานานก็เชื่อมั่นว่า
พระองค์ทรงช่วยพวกเราได้อย่างแน่นอน" *
*
****************************************************** *
*"ฉันทนได้"*
ในเดือนหนึ่งของปี 2528
พระทนต์องค์หนึ่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหักเฉียดโพรงประสาทฟัน
พระทนต์องค์นั้นต้องการการถวายการรักษาเร่งด่วน แต่ขณะนั้นกรุงเทพฯ
ก็กำลังประสบปัญหาอุทกภัย
ต้องการการบรรเทาทุกข์เร่งด่วนเช่นกัน
เมื่อทันตแพทย์เข้ามาถวายการรักษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับสั่งถามว่า *
"จะใช้เวลานานเท่าใด"*
ทันตแพทย์กราบบังคมทูลว่า อาจต้องใช้เวลา 1-2 ชม.
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับสั่งว่า*
"ขอรอไว้ก่อนนะ ฉันทนได้ วันนี้ขอไปดูราษฏรและช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำท่วมก่อน"
*
*
****************************************************** *
*"คำสอนประโยคเดียว"*
เมื่อนิตยสาร *"สไตล์"* ฉบับปี 2530 ได้ตั้งคำถามกับ ดร. สุเมธ ตันติเวชกุล ถึง
* "คำสอน" *
ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ประทับอยู่ในหัวใจ ดร.สุเมธ
ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่ง
ผู้อำนวยการสำนักงานเลขานุการ กปร. ตอบว่า คำสอน
ประโยคเดียวก็เกินพอนั้นคือพระราชดำรัสที่ว่า
*"มาอยู่กับฉันนั้น ฉันไม่มีอะไรจะให้
นอกจากความสุขที่จะมีร่วมกันในการทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น" *
*
****************************************************** *
*"ดีใจที่สุด"*
สำหรับผู้ที่ตกอยู่ในความทุกข์มืดมน พระบรมฉายาลักษณ์ไม่เพียงเป็นรูปเคารพบูชา
แต่ยังเป็นเสมือน
สัญลักษณ์ของความศรัทธาที่ช่วยให้มีแรงต่อสู้กับความทุกข์ต่อไปได้ ดัง
คุณยายละเมียด แสงเนียม
วัย 72 ปี ชาวจังหวัดชุมพร ผู้ที่เผชิญกับอุทกภัยภาคใต้ในปี 2540
น้ำท่วมบ้านสูงมากจนอยู่อาศัยไม่ได้
*"อยู่ ๆ น้ำก็ท่วมมาเร็วมาก ยายต้องไปขออาศัยบ้านคนอื่นเขาอยู่
ต่อมาก็ขึ้นไปอยู่ชั้นบน
ออกไปไหนไม่ได้เลย"*
...พอดีที่บ้านนี้เขาปลูกมะละกอ ต้นมันสูงมาถึงหน้าต่างเราก็เอื้อมถึงพอดี
เลยได้กินข้าวกับมะละกอ
ก็กินมาสามวัน มาเมื่อวานผู้ใหญ่บ้านมาบอก
มูลนิธีในหลวงจะเอาของมาแจกยายคิดเลยว่า ไม่อดตายแล้ว
ทุกครั้งที่คนไทยเดือดร้อน ในหลวงจะให้ความช่วยเหลือทุกครั้ง
ของที่ยายได้มา ที่ดีใจที่สุดคือมีรูปของท่านมาด้วย ที่บ้านเสียหายหมดแล้ว
ยายจะเอารูปท่านไว้บูชา
*ยายพูดแล้วก็ก้มลงกราบพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วยความจงรักสุดหัวใจ
*
*
****************************************************** *
*"ทุกข์บรรเทา"*
การ *"ประทับอยู่ในบ้านเมือง"* ดังพระราชดำรัสนั้น
ในเวลาต่อมาก็เป็นที่รู้กันว่ามิได้หมายถึง
การประทับอยู่ในเมืองหลวงเท่านั้น แต่ยังเสด็จฯ
เยี่ยมเยียนราษฎรของพระองค์จนแทบจะทั่ว
ทุกตารางนิ้วที่พระบาทจะย่างไปถึงได้
ทรงวิทย์ แก้วศรี ผู้เรียบเรียงบทความ
*"บรมบพิตรพระราชสมภารเจ้าผู้ทรงพระคุณธรรมอันประเสริฐ"
*
บันทึกไว้ว่า วันที่ 13 ก.ย 2497 ขณะที่ทรงมีพระชนมายุ 26 พรรษา
และทรงครองราชย์เป็นปีที่ 8
ปรากฎว่าเกิดเหตุการณ์อัคคีภัยครั้งร้ายแรงขึ้นที่อำเภอบ้านโป่ง จ.ราชบุรี *
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
จึงเสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมเยือนราษฎรขาวบ้านโป่งผู้ประสบภัยในพื้นที่
ทรงทอดพระเนตร
บริเวณที่เกิดเพลิงไหม้และพระราชทานสิ่งของบรรเทาทุกข์*
ทุกข์ในยามยากเพราะสิ้นเนื้อประดาตัวจากภัยเพลิงนั้นมากล้น แต่
เมื่อได้รู้ว่ายังมีใครสักคนคอยเป็นกำลังใจ
ทุกข์สาหัสแค่ไหนก็ยังพอมีแรงกายลุกขึ้นสู้ต่อได้
*การเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมเยียนราษฎรผู้ประสบภัยในครั้งนั้น
นับได้ว่าเป็นการเสด็จ
พระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรต่างจังหวัดเป็นครั้งแรกในรัชกาล *
*
****************************************************** *
*"141 ตัน"*
เป็นที่รู้กันดีว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเริ่มเสด็จฯ
พระราชทานปริญญาบัตรตั้งแต่ปี พ.ศ. 2493
และหลังจากนั้นบัณฑิตทุกคนก็เฝ้ารอที่จะได้รับพระราชทานปริญญาบัตรจากพระหัตถ์อย่างใจจดใจจ่อ
ภาพถ่ายวันรับพระราชทานปริญญาบัตรกลายเป็นของล้ำค่าที่ต้องประดับไว้ตามบ้านเรือน
และเป็นสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จของหนุ่มสาวและความภาคภูมิใจของบิดามารดา
จน 29
ปีต่อมามีผู้คำนวณให้ฉุกใจคิดกันว่าพระราชภารกิจในการพระราชทานปริญญาบัตรนั้น
เป็นพระราชภารกิจที่หนักหน่วงไม่น้อย
*
หนังสือพิมพ์ลงว่าหากเสด็จฯพระราชทานปริญญาบัตร490 ครั้ง ประทับครั้งละราว 3
ชม.
เท่ากับทรงยื่นพระหัตถ์พระราชทานใบปริญญาบัตร 470,000 ครั้ง น้ำหนักปริญญาบัตร
ฉบับละ 3 ขีด รวมน้ำหนักทั้งหมดที่พระราชทานมาแล้ว 141 ตัน*
ไม่เพียงเท่านั้น ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ยังเล่าเสริมให้เห็น
*"ความละเอียดอ่อนในพระราชภารกิจ"
*
ที่ไม่มีใครคาดถึงว่า
*.."ไม่ได้พระราชทานเฉย ๆ ทรงทอดพระเนตรอยู่ตลอดเวลา
โบหลุดอะไรหลุดพระองค์ท่านทรง
ผูกโบว์ใหม่ ให้เรียบร้อย บางครั้งเรียงเอกสารไว้หลายวัน ฝุ่นมันจับ
พระองค์ท่านก็ทรงปัดออก" *
*
****************************************************** *
*"สุขเป็นปี ๆ"*
ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้กราบบังคมทูลขอพระราชทานให้ทรงลดการเสด็จฯ
พระราชทานปริญญาบัตรลงบ้าง
โดยอาจงดเว้นการพระราชทานปริญญาบัตรในระดับป.ตรี
คงไว้แต่เพียงระดับปริญญาโทขึ้นไป
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกลับมีพระราชกระแสรับสั่งตอบว่า*พระองค์เองเสียเวลายื่นปริญญาบัตร
ให้บัณฑิตคนละ 6-7 วินาทีนั้น แต่ผู้ได้รับนั้นมีความสุขเป็นปี ๆ
เปรียบกันไม่ได้เลย *
ที่สำคัญคือ ทรงเห็นว่าการพระราชทานปริญญาสำหรับผู้สำเร็จป.ตรี นั้นสำคัญ
เพราะบางคน
อาจไม่มีโอกาสศึกษาชั้นปริญญาโทและปริญญาเอก ดังนั้น
*
"จะพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิตปริญญาตรีไปจนกว่าจะไม่มีแรง.." *
*
****************************************************** *
*"พระมหากษัตริย์" *
เมื่อมีผู้สื่อข่าว bbc ขอพระราชทานสัมภาษณ์เพื่อประกอบภาพยนตร์เรื่อง *The
Soul of Nation *
ในปี 2522
โดยได้กราบบังคมทูลถามถึงพระราชทัศนะเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของพระมหากษัตริย์ไทย
พระองค์ได้พระราชทานคำตอบว่า
*การที่จะอธิบายว่า พระมหากษัตริย์ คืออะไรนั้น ดูเป็นปัญหาที่ยากพอสมควร
โดยเฉพาะ
ในกรณีของข้าพเจ้า ซึ่งถูกเรียกโดยคนทั่วไปว่า พระมหากษัตริย์
แต่โดยหน้าที่ที่แท้จริงแล้ว
(>" "" "