20 พฤษภาคม 2553 15:23 น.
ไชยกร
เมื่อเก้าค่ำข้างขึ้นในเดือนห้า
แต่ทิวาฟ้าหม่นสับสนแสน
เมื่อปีกุนปีนั้นช่างขาดแคลน
อันเมืองแมนมลายลับลงอับจน
เสียงปืนใหญ่ระดมยิงอย่างบ้าคลั่ง
เลือดไหลหลั่งดั่งคล้ายเป็นสายฝน
ที่ต่อตีตายตกโศกสกล
ต้องทุกข์ทนอยู่เป็นทาสชาติรามัญ
สูญสิ้นภินท์แล้วแก้วกรุงศรี
อโยธยาธานีบุรีสวรรค์
แสงเพลิงระเริงรุจดุจไฟกัลป์
ชาวประชาล้วนอกสั่นขวัญจร
ทุกสถานกลายเป็นเช่นสุสาน
ฝูงสุวานคอยเฝ้าจะเห่าหอน
อันแร้งกาโฉบทั่วพระนคร
เกิดทุกข์ร้อนลำเค็ญเป็นวุ่นวาย
ลางร้ายก่อนกาลจะเกิดเหตุ
มีอาเพศอาถรรพ์อันหลากหลาย
ทั้งดินฟ้าอากาศก็กลับกลาย
ประหนึ่งคล้ายวิปริตผิดฤดู
ณ ที่วัดพนัญเชิงเกิดนิมิต
พระประทานทรงสิทธิ์สถิตอยู่
น้ำพระเนตรรินหลั่งลงพรั่งพรู
ร่วงมาสู่ที่เบื้องพระนาภี
วัดพระศรีสรรเพชญในวันนั้น
ก็เกิดเหตุอัศจรรย์อันเร็วรี่
พระบรมไตรโลกนาถภูบดี
พระรูปมีรอยแตกที่พระอุรา
ยอดเจดีย์วัดราชบูรณะ
ในปุระยังเห็นกาฬปักษา
บินร่วงลงเสียบร่างมรณา
ทั้งฟ้าผ่าพาดลงตรงกลางวัง
อนิจจาชะตาขาดพินาศแล้ว
อันเวียงแก้วคงแต่แค่ความหลัง
อันอารามงามศิลป์ก็สิ้นพัง
ประดุจดั่งเมืองร้างว่างเปล่าดาย
ธาตรีนี้มีเพียงเสียงโหยไห้
เสียงครวญคร่ำร่ำไรไม่ขาดหาย
เสียงปะทะฆ่าฟันกันล้มตาย
เสียงสุดท้ายสั่งลาด้วยอาลัย
ถึงกรุงศรีอยุธยาจะเสื่อมสิ้น
คนไทยเสื่อมสูญถิ่นที่อาศัย
จะต้องเสื่อมต้องเสียซึ่งสิ่งใด
ไม่เสื่อมใจที่เป็นไทยก็เพียงพอ...
๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๓
12 พฤษภาคม 2553 17:58 น.
ไชยกร
ทางมืดที่ยืดยาว
ยังมีดาวพริบพราวแสง
ยามล้าไร้เรี่ยวแรง
ฤๅจักไร้ซึ่งไมตรี
ยังมีขาทั้งสอง
ขอจงตรองให้จงดี
อย่างน้อยอย่าถอยหนี
เผชิญหน้าอย่าหวั่นไหว
ปัญหาพาใจหม่น
ตั้งกมลทนก้าวไป
เปรียบดาวประดุจใจ
จงใช้สู้ดูสักครา
สับสนบนทางไกล
ขอหทัยมีศรัทธา
ดั่งดาวพร่างพราวตา
สาดแสงแผ่แม้ไร้จันทร์
12 พฤษภาคม 2553 17:44 น.
ไชยกร
จันทร์จรัสแจ่มแจ้งกระจ่างฟ้า
สุรีย์ลาไปลับดับแสงใส
มีเพียงจันทร์กระจ่างอยู่กลางใจ
ที่ใครใครชื่นชมดั่งมณี
ทุกราตรีหากมีจันทรคราส
มีอำนาจราหูทับอับศรี
จันทร์หม่นหมองต้องร้างจากราตรี
แสงรวีคงมีคนชื่นชม
แสงศศิเย็นฤทัยชวนใฝ่ฝัน
รัศมีจันทร์เป็นทองทอช่างงามสม
แสงของเจ้าโสภาน่านิยม
จึงมิตรมหม่นหมองขุ่นข้องใจ
คงมิเป็นดั่งเช่นสุรีย์ศรี
ทั่วธาตรีรังสีมิอ่อนไหว
แผ่กระทบธรนินทร์ทุกถิ่นไป
สาดส่องให้ทุกสิ่งในโลกา
ทว่าเปรียบมนุษย์มักหลงรักจันทร์
แสงนวลนั้นแสนระยับจับยี่หวา
มีแต่ผู้เมินใจในอาภา
สุริยาผู้ให้ในชีวี
โอ้แสงภพแสงกล้าประภาภัทร
เจิดจำรัสแจ่มแจ้งแผลงรังสี
แสงสะท้อนสู่จันทร์ในราตรี
ใยมิมีผู้ใดเฝ้าใฝ่ปอง
อันแสงจันทร์จักกระจ่างอยู่กลางฟ้า
ก็ด้วยแสงสุริยาหาหม่นหมอง
อันประโยชน์จากอาทิตย์หากคิดตรอง
ชนทั้งผองจะเห็นชัดถนัดตา
แสงศศิหามีประโยชน์เท่า
เทียมกับเจ้าสุรีย์แสงแรงหนักหนา
ชนมักพิศสองศรีที่กายา
ว่าสุรีย์ร้อนกว่าไม่น่ามอง
12 พฤษภาคม 2553 17:15 น.
ไชยกร
โอ้ว่าอนิจจาหนอความรัก
ได้ประจักษ์ดั่งเพลิงเริงเรืองแผลง
เพียงสัมผัสพักตราระเรื่อแดง
อานุภาพกาจกำแหงกว่าใดปาน
พอรักทอก่อในฤทัยแล้ว
คงไม่แคล้วเพ้อรำฝันเหมือนฝันหวาน
ขนมอาบฉาบรสด้วยหยดตาล
มิเทียบทานมธุรสพจนา
ว่ายามรักพิศใดให้สุดชื่น
ทั้งแผ่นผืนพิภพจบเวหา
เมื่อคลายรักดั่งชักร้ายกรายอุรา
ดั่งว่าฟ้าจรดดินสิ้นสิ่งดี
หากความรักร้อนรุ่มสุมทรวงอยู่
จักไม่รู้ดินฟ้าเสื่อมราศี
ครารักรื่นชื่นใจด้วยไมตรี
ครารักลี้ที่ชื่นขื่นขมครัน
ใครครองรักดั่งครองทุกข์และสุขสม
ยามนิยมชมเชยเคยสุขสันต์
ยามจะลาร้างไกลใจจาบัลย์
เยื่อใยนั้นครั้นตัดไปไม่อาทร
อันเหล่ารสพจนีที่ว่าหวาน
พาสราญรื่นใจไม่ถ่ายถอน
เพราะมาลีลืมตัวยั่วภมร
เขาอิ่มหนำก็จำจรไปจากจาง
12 พฤษภาคม 2553 16:50 น.
ไชยกร
ทแกล้วผู้แกร่งกล้า กู้ไทย
ต่างรักซึ่งเวียงชัย เท่าฟ้า
คมหอกดาบจับไว้ ด้วยจิต
รินเลือดโลมล้างหล้า หลั่งพื้นดินทอง
ปองศานต์สุขสืบหน้า ฟ้าไทย
ไทยจักอยู่เป็นไท ไม่แคล้ว
ไทยจักไม่รบไทย ยืนหยัด
ไทยจักเป็นเวียงแก้ว กว่าร้อยพันปี
นักรบรินเลือดล้าง ปฐพี
ร่างดับคือธุลี สถิตไว้
ฝังร่างสู่ธรณี แต่จิต คงเอย
คงปกปักรักษ์ให้ ชาตินี้ยืนยง
ชาติกล้าคือเหล่าข้า คนไทย
ชาติกาจแกร่งเกรียงไกร เกริกฟ้า
ชาติจะยั่งยืนไป พึงบั่น ทลายฤๅ
ชาติจักดำรงหล้า ไป่สิ้นสูญสลาย