29 ธันวาคม 2553 14:14 น.

เพลิงวาต

ไชยกร

แสงเพลิงจะเริงร้อน   ลามไป
      ต้องพึ่งแรงปัจจัย               เร่งเร้า
      ไฟจักโชติสว่างไสว           รุจน์รุ่ง ได้นา
      เพราะว่าพระพายเจ้า        พัดให้ไฟเรือง
             ยามเคืองยามขุ่นข้อง   โกรธา
      เพลิงรุ่มร้อนแผดกล้า        ยิ่งล้ำ
      ยิ่งลมพัดเร่งมา                  ยิ่งลุก
      ลมพัดไฟดั่งค้ำ                   เดชให้โชนแสง
              วาตแรงเร่งเร้า          เตโช
      ฤๅจะดับโทโส                     สร่างข้อง
      เพลิงน้อยพระพายโอ่         ว่าดับ ได้นา
     ทว่าเพลิงมากต้อง               พ่ายแพ้แก่ไฟ
              หากใครเป็นดั่งคล้าย  สายลม
     จะอย่าหลงนิยม                    เดชเจ้า
     สำคัญว่าตนข่ม                     เพลิงมอด มลายฤๅ
     เพราะหากเพลิงเร่งเร้า        รุกร้ายจะลามลาญ
              กลกานท์จะกล่าวอ้าง    เปรียบเปรย
    คนที่คิดว่าเคย                      สยบได้
    อาจยังไม่เปิดเผย                 ฤทธิเดช
    พึงถนอมน้ำใจไว้                  อย่าเถี้ยวข่มเขา

      ลมกับไฟคือมิตรที่เกื้อกูลซึ่งกันและกัน ไฟรุ่มร้อนอาจดับได้ด้วยลมจริงหากแต่ก็ติดได้ด้วยลมดุจกัน แม้นรู้ว่ามีมิตรเป็นไฟ จงอย่าได้หลงใจว่าตัวเป็นลมข่มไฟให้ดับได้ เพราะชื่อว่าไฟแล้ว หากจะลามเมื่อไรก็มิมีใครรู้ เมื่อใดไฟเคืองลามรุกร้ายลมฤๅจักเอาอยู่ ลมยิ่งพัด ไฟก็ยิ่งโชนแสงมิอาจดับสิ้นได้อีกแล้วดังที่เคยเป็น...				
27 ตุลาคม 2553 19:19 น.

เมื่อความรักเพรียกหา...

ไชยกร

แรกเริ่มประจักษ์แจ้ง	เห็นกล 
แรกรักประจักษ์ยล		รุ่มร้อน
แรกโรมฤทธิ์ดั่งดล		แดดับ ดิ้นฤๅ
แรกริรักกลับซ้อน		ซ่อนไว้ลวงตา
	ดั่งว่าเพลิงแผดกล้า	กินทรวง
ดั่งดุจดลแดดวง		เดือดได้
ดั่งหลงเล่ห์หลอกลวง		นัยเนตร
ดั่งใจเต้นตกใต้		บาทนั้นยังยอม
	ถนอมมานมนัสไว้	แต่ไรมา
ถนอมรักไม่โรยรา		แต่น้อย
ถนอมแล้วหากจากลา		คงเจ็บ ใจเอย
ถนอมแต่วาทะถ้อย		เผื่อได้ทีเฉลย
	จนเอยจนโอษฐ์เอื้อน	เอ่ยคำ
จนจิตจึงจองจำ		รักไว้
จนทางจะกระทำ		จึงเก็บ ใจนา
จนกว่าจะบอกได้		เมื่อพร้อมไขขาน				
20 พฤษภาคม 2553 15:23 น.

เสียกรุง

ไชยกร

เมื่อเก้าค่ำข้างขึ้นในเดือนห้า
แต่ทิวาฟ้าหม่นสับสนแสน
เมื่อปีกุนปีนั้นช่างขาดแคลน
อันเมืองแมนมลายลับลงอับจน
เสียงปืนใหญ่ระดมยิงอย่างบ้าคลั่ง
เลือดไหลหลั่งดั่งคล้ายเป็นสายฝน
ที่ต่อตีตายตกโศกสกล
ต้องทุกข์ทนอยู่เป็นทาสชาติรามัญ
สูญสิ้นภินท์แล้วแก้วกรุงศรี
อโยธยาธานีบุรีสวรรค์
แสงเพลิงระเริงรุจดุจไฟกัลป์
ชาวประชาล้วนอกสั่นขวัญจร
ทุกสถานกลายเป็นเช่นสุสาน
ฝูงสุวานคอยเฝ้าจะเห่าหอน
อันแร้งกาโฉบทั่วพระนคร
เกิดทุกข์ร้อนลำเค็ญเป็นวุ่นวาย
ลางร้ายก่อนกาลจะเกิดเหตุ
มีอาเพศอาถรรพ์อันหลากหลาย
ทั้งดินฟ้าอากาศก็กลับกลาย
ประหนึ่งคล้ายวิปริตผิดฤดู
ณ ที่วัดพนัญเชิงเกิดนิมิต
พระประทานทรงสิทธิ์สถิตอยู่
น้ำพระเนตรรินหลั่งลงพรั่งพรู
ร่วงมาสู่ที่เบื้องพระนาภี
วัดพระศรีสรรเพชญในวันนั้น
ก็เกิดเหตุอัศจรรย์อันเร็วรี่
พระบรมไตรโลกนาถภูบดี
พระรูปมีรอยแตกที่พระอุรา
ยอดเจดีย์วัดราชบูรณะ
ในปุระยังเห็นกาฬปักษา
บินร่วงลงเสียบร่างมรณา
ทั้งฟ้าผ่าพาดลงตรงกลางวัง
อนิจจาชะตาขาดพินาศแล้ว
อันเวียงแก้วคงแต่แค่ความหลัง
อันอารามงามศิลป์ก็สิ้นพัง
ประดุจดั่งเมืองร้างว่างเปล่าดาย
ธาตรีนี้มีเพียงเสียงโหยไห้
เสียงครวญคร่ำร่ำไรไม่ขาดหาย
เสียงปะทะฆ่าฟันกันล้มตาย
เสียงสุดท้ายสั่งลาด้วยอาลัย
ถึงกรุงศรีอยุธยาจะเสื่อมสิ้น
คนไทยเสื่อมสูญถิ่นที่อาศัย
จะต้องเสื่อมต้องเสียซึ่งสิ่งใด
ไม่เสื่อมใจที่เป็นไทยก็เพียงพอ...

๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๓				
12 พฤษภาคม 2553 17:58 น.

แสงดาวในความมืด...

ไชยกร

ทางมืดที่ยืดยาว
ยังมีดาวพริบพราวแสง
ยามล้าไร้เรี่ยวแรง
ฤๅจักไร้ซึ่งไมตรี
ยังมีขาทั้งสอง
ขอจงตรองให้จงดี
อย่างน้อยอย่าถอยหนี
เผชิญหน้าอย่าหวั่นไหว
ปัญหาพาใจหม่น
ตั้งกมลทนก้าวไป
เปรียบดาวประดุจใจ
จงใช้สู้ดูสักครา
สับสนบนทางไกล
ขอหทัยมีศรัทธา
ดั่งดาวพร่างพราวตา
สาดแสงแผ่แม้ไร้จันทร์				
12 พฤษภาคม 2553 17:44 น.

ตะวัน จันทรา

ไชยกร

จันทร์จรัสแจ่มแจ้งกระจ่างฟ้า			
สุรีย์ลาไปลับดับแสงใส
มีเพียงจันทร์กระจ่างอยู่กลางใจ			
ที่ใครใครชื่นชมดั่งมณี
ทุกราตรีหากมีจันทรคราส				
มีอำนาจราหูทับอับศรี
จันทร์หม่นหมองต้องร้างจากราตรี			
แสงรวีคงมีคนชื่นชม
แสงศศิเย็นฤทัยชวนใฝ่ฝัน				
รัศมีจันทร์เป็นทองทอช่างงามสม
แสงของเจ้าโสภาน่านิยม				
จึงมิตรมหม่นหมองขุ่นข้องใจ
คงมิเป็นดั่งเช่นสุรีย์ศรี				
ทั่วธาตรีรังสีมิอ่อนไหว
แผ่กระทบธรนินทร์ทุกถิ่นไป				
สาดส่องให้ทุกสิ่งในโลกา
ทว่าเปรียบมนุษย์มักหลงรักจันทร์			
แสงนวลนั้นแสนระยับจับยี่หวา
มีแต่ผู้เมินใจในอาภา				
สุริยาผู้ให้ในชีวี
โอ้แสงภพแสงกล้าประภาภัทร			
เจิดจำรัสแจ่มแจ้งแผลงรังสี
แสงสะท้อนสู่จันทร์ในราตรี				
ใยมิมีผู้ใดเฝ้าใฝ่ปอง
อันแสงจันทร์จักกระจ่างอยู่กลางฟ้า			
ก็ด้วยแสงสุริยาหาหม่นหมอง
อันประโยชน์จากอาทิตย์หากคิดตรอง			
ชนทั้งผองจะเห็นชัดถนัดตา
แสงศศิหามีประโยชน์เท่า				
เทียมกับเจ้าสุรีย์แสงแรงหนักหนา
ชนมักพิศสองศรีที่กายา				
ว่าสุรีย์ร้อนกว่าไม่น่ามอง				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟไชยกร
Lovings  ไชยกร เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟไชยกร
Lovings  ไชยกร เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟไชยกร
Lovings  ไชยกร เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงไชยกร