11 มกราคม 2546 22:36 น.
ใบบอนแก้ว
ยอดเยี่ยม..กับ..เยี่ยมยอด..คู่หูประจำหมู่บ้านนั่งคุยกันขณะอ่านหนังสือพิมพิ์รายวันเสร็จ...ก็มานั่งถกเถียงกันเกี่ยวกับเนื้อหาของข่าวในหนังสือพิมพิ์เกี่ยวกับผลผลิตทางการเกษตร
ยอดเยี่ยม : แกว่ารัฐมนตรีกระทรวงเกษตร..คนก่อนดีมั้ย...
เยี่ยมยอด : ข้าว่า ก็น่าจะดีนะ..ไม่งั้นคงไม่ได้เป็นรัฐมนตรีหรอก..
ยอดเยี่ยม : แล้วแกว่าเขามีส่วนร่วมในการคอร์รัปชั่น ผลิตผลทางการเกษตร ตามหนังสือพิมพิ์เขียนมาให้อ่านมั้ย...
เยี่ยมยอด : ข้าว่า..เขาไม่น่าเกี่ยวนะ..เพราะไม่มีหลักฐานที่แสดงว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องในการโกงนี่หว่า..
ยอดเยี่ยม : เรื่องยางพาราล่ะ..
เยี่ยมยอด : ข้าว่า..เขาไม่น่าเกี่ยวนะ..เพราะไม่มีหลักฐานที่แสดงว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องในการโกงนี่หว่า..
ยอดเยี่ยม : เรื่องลำใยอบแห้งล่ะ..
เยี่ยมยอด : ข้าว่า..เขาไม่น่าเกี่ยวนะ..เพราะไม่มีหลักฐานที่แสดงว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องในการโกงนี่หว่า..
ยอดเยี่ยม : แล้วเรื่องข้าวที่จัดซื้อเพื่อแจกให้กับเกษตรกรล่ะ..
เยี่ยมยอด : ข้าว่า..เรื่องข้าวเนี่ยน่ะ ข้าว่าเขาต้องเกี่ยวนะ ถึงจะไม่มีหลักฐานก็ตามเถอะ...
ยอดเยี่ยม : เพราะอะไรแก..ถึงคิดอย่างนั้น
เยี่ยมยอด : ก็แก..ลองคิดดูซิ ถ้าเขาไม่เกี่ยวข้าวแล้วเราจะเอาข้าวที่ไหนกินล่ะ..ถ้าปลูกข้าวแล้วไม่เกี่ยวจะปลูกข้าวไปทำไม...ยังไงๆข้าว่าเรื่องข้าวเนี่ย..ต้องเกี่ยวแน่ๆร้อยเปอร์เซ็นต์..เพราะถ้าไม่เกี่ยวก็ไม่มีข้าวให้กิน..แกว่าจริงมั้ย...ต้องเกี่ยวแน่ๆเลยเรื่องข้าวเนี่ย...
11 มกราคม 2546 22:28 น.
ใบบอนแก้ว
ฉันขับรถผ่านตามท้องถนน...วันนี้เป็นวันเด็ก...ผู้ปกครองส่วนใหญ่จะพาลูกหลานเที่ยวอย่างสนุกสนาน...หลายเวที..ล้วนให้มีการแสดงความสามารถของเด็กๆ...แล้วก็มีการแจกสิ่งของเล็กๆน้อยๆให้กับเด็กๆ ในวันนี้ใครที่เป็นเด็กคง
ดีใจที่ผู้ใหญ่ให้ความสำคัญ..ถึงแม้จะเป็นเพียงวันเดียว..เสาร์ที่สองของเดือนมกราคมของทุกปี..และเป็นเพียงวันเดียวที่ผู้ใหญ่นึกถึงเด็ก...
ยังมีเด็กอีกส่วนหนึ่งที่ฉันเห็น...เด็กน้อยคนนั้น..มีเวทีคือท้องถนนที่รถชนิดต่างๆ วิ่งสวนกันไปมา...มีความสามารถมากล้นในการหลบหลีกจากการถูกรถชน...ด้วยรางวัลเล็กน้อยที่ยังมีคนเมตตา..กรุณาหยิบยื่นให้...สายตาเด็กน้อยคนนั้นสอดส่ายหา..ผู้เมตตา...เด็กน้อยคนนั้นไม่ใช่ขอทาน...แต่เมื่อชีวิตต้องการอาหารและความกตัญญูที่จะตอบแทนผู้มีพระคุณ ซึ่งเป็นยายแก่ๆคนหนึ่ง...ซึ่งลูกของแกก็ทิ้งแกไปนานแล้ว..มีเพียงหลานคือเด็กน้อยผู้นี้เป็นผู้ดูแลยายแทน...
ความสนุกของเด็กน้อย..คือการหลบหลีกรถราที่วิ่งสวนกันไปมา...ปากก็เรียกหาผู้ปราณี...พวงมาลัย..หนังสือพิมพิ์มั้ยคร้าบ...และเหมือนทุกวัน...ไม่ว่าวันนี้ซึ่งเป็นวันเด็ก..หรือว่าวันพรุ่งนี้ที่ไม่ใช่วันเด็ก...เด็กน้อยผู้นี้ยังคงมีเวทีแสดงเป็นตัวเอกของเรื่อง...จนกว่าจะมีตัวโกงคือ..ผู้ใหญ่ที่ขับรถโดยไม่มีความเมตตาสงสาร..จะพาดวงวิญญาณของเด็กน้อยผู้นี้ไป...และเสียงน้อยๆ...ที่คอยออกจากปากว่า..พวงมาลัย..หนังสือพิมพิ์มั้ยคร้าบ.....จะสิ้นสุดลง....
ทำให้ฉันคิดว่าเด็กแบบไหนคือผู้ใหญ่ที่ดีในวันข้างหน้า...เด็กที่ผู้ใหญ่พาไปเที่ยวในวันนี้..หรือว่า..เด็กน้อยผู้นี้ที่ต้องทำงานหาเลี้ยงตัวเอง...
11 มกราคม 2546 12:02 น.
ใบบอนแก้ว
ในงานวันเด็กปี 2546 ที่จัดขึ้นอย่างใหญ่โตมโหฬาร..มีการแข่งขันตอบคำถามในข้อสุดท้าย...ซึ่งใช้เป็นข้อตัดสิน...ระหว่างเด็กที่เข้ารอบสุดท้ายจำนวนสามคน...โดยจะมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น..ที่จะเป็นผู้ชนะเลิศ...
พิธีกร บนเวทีประกาศเรียกชื่อ ผู้เข้ารอบสุดท้ายทั้งสามคนออกมายืนอยู่หน้าเวที...ซึ่งประกอบด้วย...เด็กชายดี...เด็กชายแดง..และ..เด็กชายดำ...
พิธีกร : พ่อแม่พี่น้องที่เคารพ..นี่คือสุดยอดของเด็กบนเวทีนี้..ที่ขับเคี่ยวกันมาจากแปดสิบโรงเรียนในอำเภอนี้...เด็กชายดี..เด็กชายแดง..และเด็กชายดำ..รู้มั้ยครับ..คำขวัญวันเด็กปีนี้มีว่าอย่างไร..บอกให้พ่อแม่พี่น้อง..ของเราให้รู้อีกครั้งซิครับ...
เด็กทั้งสาม : คำขวัญวันเด็กปีสองพันห้าร้อยสี่สิบหก มีว่า...เรียนรู้ตลอดชีวิต คิดอย่างสร้างสรรค์ ก้าวทันเทคโนโลยี...
พิธีกร : ดีมาก...ใช่ครับ...เรียนรู้ตลอดชีวิต คิดอย่างสร้างสรรค์ รู้ทันเทคโนโลยี...เอาล่ะครับ..ต่อไปเป็นคำถามข้อสุดท้าย...เพื่อเป็นการยุติธรรมต่อหนูๆ...ทางพี่..ป้า..น้า..อา..ที่ตัดสินจะใช้คำถามเดียวกันเพื่อตัดสิน...ผู้รับชมที่ยืนอยู่รอบเวทีช่วยตัดสินด้วยนะครับ..เด็กคนใดจะเป็นสุดยอดของเด็กในวันนี้...ด้วยคำถามที่ว่า...หนูอยากเป็นอะไรเมื่อโตขึ้น...ตามคำขวัญในวันเด็กปีนี้...
...และเพื่อเป็นการยุติธรรม..ทางคณะกรรมการจะให้หยิบหมายเลขตามลำดับตอบก่อนหลัง..โดยให้หมายเลขสามตอบก่อน..และ..สอง..หนึ่ง..ตามลำดับ
พิธีกร : เด็กชายแดง..ในฐานะที่หนูจับได้หมายเลขสามจึงต้องตอบก่อน...หนูอยากเป็นอะไรเมื่อโตขึ้น..ตามคำขวัญในวันเด็กปีนี้...
เด็กชายแดง : ผมอยากเป็นตำรวจครับ..
พิธีกร : เพราะอะไรครับถึงอยากเป็นตำรวจ...
เด็กชายแดง : เพราะตำรวจคอยทำหน้าที่รักษาความเรียบร้อยของสังคม คอยจับบุคคลที่ทำผิดกฏหมายของบ้านเมือง...คอยจับกุมสิ่งไม่ดีต่อสังคม เช่นยาเสพติด..แหล่งก่อเกิดอาชญากรรมทั้งหลาย ครับ...
พิธีกร : เอาล่ะครับ..ท่านได้ฟังสิ่งที่เด็กชายแดงอยากจะเป็นเมื่อโตขึ้น...ท่านว่าเป็นอย่างไรบ้าง...ต่อไปถึงทีของ..เด็กชายดี..ที่จับได้หมายเลขสองแล้วล่ะครับท่าน...เด็กชายดีครับ...หนูอยากเป็นอะไรเมื่อโตขึ้น...ตามคำขวัญในวันเด็กปีนี้...
เด็กชายดี : ผมอยากเป็นหมอครับ...
พิธีกร : เพราะอะไรครับถึงอยากเป็นคุณหมอ...
เด็กชายดี : เพราะจะได้ช่วยเหลือผู้ที่เจ็บไข้ได้ป่วย..ให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ...อย่างที่ผู้ใหญ่พูดว่า..คนไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ...ผมจึงอยากเป็นหมอ..เพื่อให้สังคมนี้ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บครับ...
พิธีกร : เอาล่ะครับ..ท่านได้ฟังสิ่งที่เด็กชายดีอยากจะเป็นเมื่อโตขึ้น...ท่านว่าเป็นอย่างไรบ้าง...และต่อไป..ไม่ใช่ใครที่ไหน..เด็กชายดำ..นักเรียนประจำโรงเรียนที่ได้ชื่อว่าชนบทที่สุด...หลังคามุงจาก..ฝากั้นด้วยไม้ไผ่..ต้องนั่งเรียนกลับพื้น..เพราะไม่มีโต๊ะและเก้าอี้...แต่เด็กชายดำคนนี้..ก็ฝ่าฟันจนถึงรอบสุดท้าย...นั่นไม่ได้หมายความว่า...สภาพโรงเรียนที่แตกต่างกัน..จะทำให้เด็กของเราที่จะเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในอนาคต..จะแตกต่างกัน...เด็กชายดำครับ..หนูอยากเป็นอะไรเมื่อโตขึ้น...ตามคำขวัญวันเด็กปีนี้...
เด็กชายดำ : ผมอยากเป็นนายกรัฐมนตรีครับ..
พอสิ้นเสียงของเด็กชายดำ..เสียงฮือฮารอบเวที..ดังขึ้นอย่างไม่ได้นัดหมาย...
พิธีกร : อย่าพึ่งตกใจครับพ่อแม่พี่น้องที่เคารพ...เรามาฟังสาเหตุกันดีกว่าว่าทำไม..เด็กชายดำถึงอยากเป็นนายกรัฐมนตรี...
เด็กชายดำ : ที่ผมอยากเป็นนายกรัฐมนตรี..เพราะว่า..นักเรียนในโรงเรียนของผมไม่เคยมีใครเคยเป็นนายกรัฐมนตรีเลย..หากผมได้เป็นนายกรัฐมนตรีรับรอง...โรงเรียนของผมจะไม่มีสภาพเป็นอย่างนี้แน่นอน...สิ่งเจริญทั้งหลายจะเข้ามา..ไม่ว่าจะเป็นถนนหนทาง..ไฟฟ้า..ประปา..โทรศัพท์...ตลอดจนอุปกรณ์เทคโนโลยี..คอมพิวเตอร์เพื่อใช้ในการเรียนการสอนและสิ่งดำรงชีวิตทั้งหลาย...จะไม่ไปยัดเยียดอยู่ในแต่ตัวเมืองซึ่งมีแต่ความเจริญ..ไม่ใช่ผมใช้ตำแหน่งหน้าที่ไปบังคับ...แต่ทุกสิ่งจะไปหาเองในฐานะที่โรงเรียนนี้เคยสอนให้เด็กคนหนึ่ง..เป็นถึงนายกรัฐมนตรีครับ...
พิธีกร : เป็นอย่างไรบ้างครับ...สำหรับ..หนูอยากเป็นอะไรเมื่อโตขึ้น..ของเด้กชายทั้งสามคนนี้...ถ้าท่านเป็นคณะกรรมการ...ท่านจะให้ใครเป็นผู้ชนะเลิศครับ...
10 มกราคม 2546 19:11 น.
ใบบอนแก้ว
การกระทำบางอย่างอาจผิดพลาดจนทำให้บุคคลอื่นเดือดร้อนหรือเพียงเล็กๆน้อยๆ..ไม่มีการรู้จักขอโทษ...และรู้จักการให้อภัย...
ในสังคมที่มีการอยู่ร่วมกัน..ย่อมมีการพลาดพลั้งต่อกันบ้าง..เหมือนลิ้นกับฟัน...เมื่อรู้ว่าการกระทำที่ทำไปนั้นเป็นการกระทำที่ผิด..หากรู้จักขอโทษ...และบุคคลที่เสียหายในการกระทำนั้น...รู้จักให้อภัย...สังคมในวันนี้คงสวยงามขึ้นอีกมาก..และสุขสงบกว่าที่เป็นในวันนี้..
เพียงคนในสังคม..หมั่นกินอาหารประเภทนี้..ที่มีการให้อภัยเป็นส่วนประกอบหลัก...และรู้จักขอโทษเป็นเครื่องปรุงรส...อาหารของสังคมที่กินเข้าไปนี้จะมีคุณค่าทางชีวิตในสังคมมากขึ้น....