25 กุมภาพันธ์ 2551 12:20 น.
ใบคา
ผมหลงรักเธอตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น
ตอนนั้นผมยังเรียนชั้นประถม 6 อายุเพียง 12 ขวบ
ตั้งแต่บัดนั้นจนบัดนี้ภาพเธอไม่เคยเปลี่ยนแปลง ยังคงตราตรึงในเบื้องลึกของหัวใจตลอดมาและผมจะทำเพื่อเธอตลอดไป แม้ไม่เคยได้ยินคำว่ารักจากปากเธอก็ตาม
เพราะเมื่อเห็นเธอแย้มยิ้มอย่างร่าเริง ผมก็เริงร่า เมื่อเธอมีความสุข ผมสุขยิ่งกว่า
เราอยู่กันคนละโรงเรียนแต่ให้บังเอิญมาพบกันในวันเข้าค่ายลูกเสือ เพราะการเข้าค่ายลูกเสือของโรงเรียนประถมในอำเภอเล็กๆ ชายขอบประเทศมักจะรวมตัวกัน เพื่อสร้างความสามัคคีให้ก่อเกิดแก่เด็กต่างโรงเรียน และเพิ่มจำนวนลูกเสือน้อยเสริมกิจกรรมนันทนาการให้สนุกยิ่งขึ้น
เธอรักการเต้นรำ ส่วนผมไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย ในคืนเล่นรอบกองไฟ เธอสนุกสนานกับเพื่อนใหม่และเก่า จนลืมสังเกตว่ามีเด็กชายคนหนึ่งนั่งมองเธออย่างไม่ละสายตา เพียงเธอสังเกตสักหน่อยเธอจะแปลกใจว่าเหตุใดแววตาของเด็กคนนั้นจึงมีแต่เธอ
สิ้นสุดกิจกรรมเข้าค่าย พวกเรายืนล้อมวงและเดินวนสัมผัสมือเพื่อการจากลา ลาเพื่อพบกันใหม่ เพลงลูกเสือว่าอย่างนั้น ผมใจเต้นไม่เป็นจังหวะ มันไม่เต้นเปล่า แต่เหมือนมันกำลังถีบผนังหน้าอกออกมาเต้นร่าภายนอก ผมยื่นมือรอสัมผัสฝ่ามือเรียวของเธอ แต่ผิดหวัง
เธอไม่สัมผัสมือเด็กชายคนใด แต่เด็กหญิงเธอไม่ปฏิเสธ
************
ผมกับเขา สนิทกันมากแม้จะรู้จักกันแค่ปีเดียว ปกติผมเป็นคนเข้ากับใครได้ยาก และยากยิ่งกว่าถ้าจะให้เปิดฉากทักทายใครที่ไม่คุ้นเคย แต่กับเขาเป็นข้อยกเว้น จริงๆ แล้วผมเป็นคนสร้างสัมพันธไมตรีก่อนด้วยซ้ำไป
ดึกหนึ่งขณะที่เขากำลังเดินเข้าซอยซึ่งไร้ผู้คน และผมบังเอิญผ่านไปในซอยนั้นพอดีเพราะหลงทาง เขาร้องขอความช่วยเหลือเพราะกำลังโดนรุมทำร้าย นักเลง 3 คนกำลังเมามันกับการได้บรรจงเท้าลงบนตัวเขา แสงไฟในซอยสว่างจ้าไยหนอไม่เกรงกลัวต่ออาญาแผ่นดิน
ผมคว้าไม้ท่อนยาวใกล้ๆ วิ่งเข้าไปหวด 1 ใน 3 พวกมันหยุดและวิ่งหนีไป
ผมพยุงเขาออกมานั่งหน้าปากซอย สอบถามนิดๆ หน่อยๆ
เป็นอะไรมากหรือเปล่า แจ้งตำรวจไหม
ไม่เป็นอะไรมากหรอก ขอบคุณมากครับไม่ได้คุณผมคงแย่ เขาเว้นนิดหนึ่ง คงไม่แจ้งความละครับ ผมจำหน้าพวกมันได้ อย่าให้เจออีกละกัน ประโยคหลังเขาบ่นพึมพำ แต่ผมได้ยิน
ผมไปส่งดีกว่า ผมอาสา
เขาไม่ปฏิเสธ และขอเป็นเจ้ามือเลี้ยงมื้อดึกผม แล้วเราก็แลกเบอร์โทร. กัน และติดต่อเหมือนเพื่อนซี้กันตลอดมา
เทียบกับผมแล้วเรื่องหน้าตาเขากินขาดหลายร้อยกิโลเมตร ไม่แปลกใจเลยสักนิดว่าเหตุใดเขาถึงควงแฟนสาวมาไม่ซ้ำหน้า
กิ๊ก โว้ย! ไม่ใช่แฟน
ไม่ใช่แฟนแล้วจะทำแทนได้เหรอ ผมแหย่
ฮ่า ฮ่า ฮ่า เขาหัวเราะ ชีวิตยังอีกยาวไกล เก็บความบริสุทธิ์เอาไว้ให้เมียคนเดียวหรืออย่างไรกัน ลูกหลานถามจะตอบพวกเขาได้อย่างไร เดี๋ยวก็โดนหาว่าไร้น้ำยาหรอก แล้วคุณล่ะไม่เคยเห็นพามาบ้างเลย
ผมไม่ตอบ ในใจผมยังมีแต่เธอ และคอยเธอเรื่อยมา
*********
ตั้งแต่จบมัธยมต้น ผมกับเธอไม่ค่อยได้ติดต่อกัน นานๆ ทีเธอถึงจะต่อสายมาหาบ้าง ล้วนแต่เป็นเรื่องทุกข์ใจเสียทั้งสิ้น ผมไม่เคยคิดน้อยใจที่เธอคิดถึงยามเศร้าโศก ตรงกันข้ามกลับดีใจมากกว่าที่เธอยังคิดว่าผมพึ่งพาได้
เวลาเศร้าขอให้คิดถึงเรานะ ผมบอกเธออย่างนี้เสมอ
วันแรกของการเปิดภาคเรียนมัธยม 1 ของโรงเรียนมัธยมประจำอำเภอ เธอกับผมสอบได้ห้องเดียวกัน เคยอย่างครั้งที่ผ่านมา ผมได้แต่จ้องเธออย่างแอบๆ
จนเราสนิทกัน ผมเริ่มเผยว่ารักเธอ เธอสนองด้วยสายตารังเกียจ จนผมต้องบอกว่า เราแค่เพื่อนนะ อย่าเข้าใจผิด ผมไม่ใช่แค่หลอกเธอ ผมยังหลอกตัวเองด้วย เพราะไม่อย่างนั้นเธอจะไม่ยอมคุยกับผมอีกเลย ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงรังเกียจผมในฐานะคนแอบรัก แต่ในฐานะเพื่อนแล้วเราสนิทกันมากทีเดียว
ตลอดเวลา 3 ปีในรั้วโรงเรียนผมทำให้เธอทุกอย่างไม่ใช่แลกความรัก แต่แลกรอยยิ้ม เวลาพิสูจน์แล้วว่าผมไม่อาจเป็นคนรักของเธอได้ ฟ้าแค่ส่งผมมาเป็นเพื่อนที่ดีของเธอเท่านั้น
ผมขอแค่แอบรัก ฟ้าคงไม่ลงทัณฑ์
แสลมดั้งการ์ตูนที่เธอชอบ ผมแสวงหามาให้แม้แต่ภาพระบายสี ส.ค.ส. ของขวัญที่ได้จากเธอเพียงชิ้นเดียว ยังคงเก็บไว้อย่างดีไม่มีรอยช้ำ บางคืนผมเอามันมานอนกอด คืนนั้นหลับฟันดีทั้งคืน
จวบจนจบมหาฯ ลัย เราติดต่อกันแทบนับครั้งได้ หลักใหญ่ใจความเป็นเรื่องความทุกข์ใจของเธอ ล่าสุดปีที่แล้วเธอมาหาด้วยอาการอิดโรย เธออกหัก
เธอฟูมฟาย เธอรักเขามาก และเขาก็บอกว่ารักเธอเพียงคนเดียว เธอเชื่ออย่างนั้น และคงเชื่อตลอดไป ตราบใดที่ยังไม่เห็นเขาควงคนอื่น ณ ที่อื่น
เธอบอกว่าเขาคบหลายคนในเวลาเดียวกัน ทั้งๆ ที่เธอรักเขาหมดใ
จ
ผมเจ็บแสนเจ็บ มันไม่น่าทำลายดวงใจอันแสนบริสุทธ์ของเธอ
ผมปลอบเธอ เป็นสิ่งเดียวที่ทำได้ เธอขอเข้าห้องน้ำ เป็นโอกาสเหมาะที่ผมจะค้นกระเป๋าเพื่อหาสิ่งหนึ่งสิ่งใด และผมก็เจอ
รูปเขาคนนั้น ของหลังภาพเขียนว่า รักมาก
*********
ผมชื่ออนุสรณ์ หากเอาการันต์ออกก็จะกลายเป็น อนุสรณ อ่านว่า อะ นุ สะ ระ ณะ อนุ แปลว่า เล็ก ส่วน สรณ แปลว่า ที่พึ่ง เท่ากับชื่อผมนอกจากจะแปลว่า ที่ระลึกแล้วยังมีคำแปลแฝงว่า ที่พึ่งเล็กๆ อีกด้วย
ผมคงเป็นที่พึ่งจริงๆ เสือผู้หญิงอย่างเพื่อนผม ที่ผมเคยช่วยเขาจากอันธพาล และคบหากันมาได้ 1 ปีเต็ม โทร. มาปรึกษาปัญหาหัวใจ ผมไม่สงสัยหรอกถ้าเขาจะโทร. มาปรึกษาเรื่องอื่น ที่แปลกใจก็เพราะว่าเรื่องที่ไม่สบายใจดันเป็นปัญหาหัวใจนี่สิ
เขาบอก หญิงจะทิ้งผมไป
หญิงไม่ใช่คนอื่นไกล เป็นเพื่อนสนิทผมอีกคนหนึ่ง เรารู้จักกันมาตั้งแต่อยู่มหาฯ ลัย ปี 1 หญิงเป็นคนที่เอาใจเก่ง จนผมเกือบตกหลุมรัก ถ้าหัวใจผมไม่รอใครคนนั้นอยู่ผมคงรักหญิงไปนานแล้ว สมัยเรียนหญิงออกค่ายกับผมทุกครั้ง เรียกได้ว่าไปไหนไปกัน สนิทกันยิ่งกว่าแฟนเสียอีก
ผมรักหญิงจริงๆ นะ เธอเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ผมรัก ผมไม่เคยเจอใครที่สมควรจะฝากชีวิตเท่ากับหญิงอีกแล้ว ผมสาบานได้เลยว่าผมเลิกหมดแล้วนิสัยเดิมๆ ที่คบกิ๊กทีละหลายๆ คน แต่หญิงก็จะไปจาก เขาบ่นมาตามสาย
ผมได้แต่เป็นผู้ฟังที่ดี มีแทรกบ้าง แต่ก็แค่ถามย้ำๆ ให้เขาเล่าต่อ เพราะผมรู้ดีว่าการที่ใครคนหนึ่งโทร. มาปรึกษาเรื่องใดก็แล้วแต่ ไม่ใช่ต้องการคำแนะนำ แต่ต้องการระบายออกมากกว่า
หลักใหญ่ใจความคือหญิงแอบจับได้ว่าเขายังไม่เลิกกิ๊กเสียทั้งหมด ก็พานหาเรื่องทะเลาะ เขายืนยันว่าเลิกหมดแล้ว วันนั้นที่มีสายสาวๆ โทร. มาหาเขา เป็นเพียงสายตกค้าง เขาบอกหนักแน่นว่าเลิกหมดแล้ว
ผมเป็นคนแนะนำให้เขารู้จักกับหญิงเอง วันนั้นเป็นวันเกิดหญิงผมชวนเขาไปด้วย หายไปหลายเดือนไม่รู้ทำอีท่าไหนทั้งคู่เป็นแฟนกันเสียแล้ว ท่าทางรักกันมากปานจะกลืนกินกันเลยทีเดียว ผมยังสงสัยอยู่เลยว่าเขาจะคบหญิงได้นานแค่ไหน กลัวหญิงจะต้องช้ำใจ แต่การณ์มันกลับกัน
ผมไม่รู้ว่าหญิงใช้วิธีไหนทำให้เขาหลงเสน่ห์จนหัวปักหัวปำ แต่ก็เจอมาหลายแล้วล่ะเสือผู้หญิงต้องมีสักคนแหล่ะที่ปราบจนอยู่หมัดกลายเป็นลูกแมวเชื่องๆ ตัวหนึ่ง ผมแอบชื่นชมหญิงที่สามารถมัดเขาอยู่หมัด แต่หญิงไม่น่าทิ้งเขาเลย น่าจะให้โอกาสเขาอีกครั้ง ผมกลัวเขาจะคิดสั้น เพราะน้ำเสียงไม่ปกติ
เห็นเพื่อนทุกข์ผมก็เศร้า ในฐานะเพื่อนสนิททั้งสองฝ่าย ผมอาสาเป็นตัวกลางนัดหญิงมาคืนดีกับเขา
*********
ผมนั่งอยู่ก่อนแล้ว กับหญิง และเพื่อนผู้ชายอีกคน ที่ร้านกาแฟริมถนน
เขายืนอ้าปากค้าง ทำอะไรไม่ถูก เพราะไอ้คนที่ทำร้ายเขาคืนนั้น คนที่เขาบอกว่าจำได้ขึ้นใจ นั่งอยู่โต๊ะเดียวกับผม
*****
ผมสุขเมื่อเธอหมดทุกข์
ผมจะทำเพื่อเธอ เพื่อแลกกับรอยยิ้ม
และผมก็ทำให้เธอแล้ว แม้จะนานไปหน่อยก็ตาม
***จบ***
22 กุมภาพันธ์ 2551 17:13 น.
ใบคา
เสียงประกาศจากสถานีรถไฟสุไหงโก-ลก บอกกำหนดรถด่วนทักษิณซึ่งเดินทางจากกรุงเทพมหานครสู่อำเภอแห่งนี้ เข้าช้ากว่ากำหนดเดิม 2 ชั่วโมง นั่นเท่ากับว่าการปล่อยตัวรถด่วนเที่ยวต่อไปที่เวลา 14.00 น. ต้องเลื่อนออกไปอีกอย่างน้อย 2 ชั่วโมง
ผู้โดยสารหลายคนเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาแขวนเรือนกลมโต ที่อยู่บริเวณโถงของห้องขายตั๋วอย่างเอือมระอา และก้มหน้ารอคอยกันต่อไป ใครมีลูกหลานญาติพี่น้องมาส่งเป็นจำนวนมาก ก็อาศัยเขาเหล่านั้นพูดคุยฆ่าเวลา ผู้โดยสารท่านใดมาคนเดียวมีสัมภาระน้อยชิ้นก็อาจจะหาร้านสงบๆ นั่งจ่อมกับเครื่องดื่มมึนเมา หรือน้ำชากาแฟเรื่อยไปตามแต่ศาสนาของใครจะอนุญาต แต่ก็มีหลายคนที่เป็นฝ่ายให้เวลาฆ่าตัวเอง
ไม่ว่าใครจะอยู่ในสภาวะใด แก่นของทุกคนคืออาการเบื่อหน่ายต่อการไม่ตรงเวลาของรถไฟไทยเท่าๆ กัน แต่เขาไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น เพราะเขาไม่ได้มาคอยรถไฟ
เขามาคอยคน
เดือนที่แล้ว เหตุการณ์คล้ายๆ กัน หลังจากที่คอยรถด่วนทักษิณมุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯ
เมื่อช่วยอาที่กลับมาเยี่ยมบ้านเนื่องจากงานทำบุญเดือนสิบ หรือวันชิงเปรตของชาวใต้ ยกข้าวของเครื่องใช้ทั้งสะตอ เนื้อหมูป่าแช่แข็ง และของที่อาบอกขาดไม่ได้คือน้ำบูดู ขึ้นขบวนรถเรียบร้อยแล้ว ไม่นานระฆังดังส่งสัญญาณได้เวลาล้อเคลื่อน การเดินทางไกลของคนบนรถก็เริ่มขึ้น
เขายังไม่อยากกลับบ้าน ทั้งๆ ที่แม่กำชับให้รีบกลับ จริงๆ แล้วแม่บอกให้กลับทันทีที่ส่งอาถึงสถานี โดยให้เหตุผลว่าอันตราย เพราะสภาวะบ้านเมืองอย่างที่เป็นอยู่ เราไม่มีทางรู้หรอกว่าผู้ไม่หวังดีคือใคร และไหนคือชาวบ้านธรรมดา
ยิ่งกลุ่มก่อความไม่สงบฆ่าคนโดยไม่เลือกหน้าแล้วด้วย ไม่น่าไว้วางใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ที่เดียวที่เราจะปลอดภัยนั่นคือบ้าน แต่เขาเห็นว่ารถไฟเสียเวลาพอดูจึงนั่งเป็นเพื่อนอาพูดคุยอะไรเรื่อยไป คุยไปคุยมาก็ตกอยู่ที่เรื่องของการสอบเข้านักเรียนนายร้อยของเขาเมื่อช่วงปลายเทอมที่ผ่านมาเป็นส่วนใหญ่ ทั้งๆ ที่เขาพยายามลืมมัน
ตลอดระยะเวลา 1 ปีการศึกษาชั้นมัธยม 4 แม้จะอยู่ในชนบทห่างไกลความเจริญ แต่ด้วยใจรักในอาชีพทหาร และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะนำอำนาจนั้นมาพัฒนาถิ่นกำเนิด เขามุ่งมั่นอ่านหนังสือ ฟิตร่างกาย หมายเป็นหนึ่งในนักเรียนเตรียมทหารให้ได้ ตลอดเวลานั้นเขาพร่ำบอกกับใครๆ ว่า
จะไปเป็นทหารแล้วนะ
ด้วยความขยันบวกกับความหัวดีของเขาที่สร้างให้คนในหมู่บ้านประจักษ์มาแล้วจึงทำให้คำพูดนั้นเป็นจริงไปแล้วเกินกว่าครึ่ง รวมทั้งคำเชียร์ส่งเสริมทำนองอิจฉาในตัวเขาที่เลือกทางเดินนี้ ทำให้เขาฮึกเหิม และมีกำลังใจมากขึ้น นั่นเท่ากับว่าเขาเชื่อแล้วล่ะว่าได้แน่นอน
เมื่อผลสอบรอบแรกออกมาปรากฏว่าไม่ผ่านข้อเขียน
ไม่เป็นไรถือว่าเก็บประสบการณ์ ปีหน้าค่อยเอาใหม่ นั่นคือคำปลอบของพ่อที่นึกขึ้นครั้งใดน้ำตาคลอเบ้าทุกที
แม้จะดูเหมือนว่าทำใจได้ แต่เมื่อถูกถามย้ำ รอยแผลที่กำลังสมานก็ย่อมปริออกอย่างง่ายดาย
อาไปแล้ว แต่เขายังอยู่ ยังไม่ควบมอเตอร์ไซค์กลับบ้าน ซึ่งห่างออกไปร่วม 30 กิโลเมตร เขาเลือกนั่งคิดอะไรในร้านน้ำชาริมสถานีคนเดียว
เป็นร้านเดียวกันกับร้านที่เขานั่งวันนี้
ครั้งนั้นเขาเดินดุ่มเข้าไปโดยไม่สนสายตาลูกค้าอื่นที่มองเขาอย่างระแวดระวัง เจ้าของร้านเข้ามาถามว่าต้องการอะไรเป็นภาษายาวี เขาทำหน้าเหรอหราแสดงอาการว่าไม่เข้าใจ ทั้งๆ ที่ตัวเองเติบโตมาท่ามกลางชนชาวมุสลิม เพราะฉะนั้นเป็นไปได้ยากที่จะสื่อภาษาท้องถิ่นไม่ได้
เขาไม่อยากแสดงว่าเข้าใจด้วยเหตุผลบางประการ
เขาเคยบอกกับเพื่อนทุกครั้งที่เจอคำถามว่าทำไมต้องแกล้งพูดยาวีไม่เป็น
เพื่อประโยชน์ทางข่าวสาร หลายครั้งที่เจ้าของภาษาไม่ระวังคำพูดเนื่องจากเข้าใจว่าคนรอบข้างไม่เข้าใจความหมาย อะไรดีๆ ก็หลุดออกอย่างง่ายดาย เหมือนกับครั้งนั้น
เจ้าของร้านเปลี่ยนเป็นภาษาไทยแปล่งๆ ว่า เอาอะไร
ชาร้อน เขาตอบ
ชายวัยรุ่น 2 คนในร้านนั่งพูดคุยกันเบาๆ แต่เขาดันได้ยิน
สักครู่ 2 คนนั้นลุกขึ้นเดินออกไปนอกร้าน คนหนึ่งล้วงโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง เขาทำท่าจะกดหมายเลขโทร. ออก แต่แล้วก็หันมายิ้มให้กับชายอีกคน แล้วแบมือทั้งสองออกข้างตัว
คนที่ถูกยิ้มให้ หัวเราะลั่น พร้อมกับล้วงเอาเศษกระดาษในกระเป๋ากางเกงยีนต์มอซอออกมาส่งให้
ชายที่มีโทรศัพท์กดหมายเลขอยู่สักครู่แล้วเอาแนบกับหูเดินออกไปอย่างช้าๆ ไม่นานเสียง ตูม! ก็ดังขึ้นที่สถานีรถไฟ ผู้คนแตกตื่นวิ่งหนีกันอลหม่าน เขาเองเข้าไปนอนหมอบใต้โต๊ะตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เมื่อตั้งสติได้ เขารีบควบรถกลับบ้านทันที มาทราบทีหลังจากรายการข่าวภาคค่ำว่าไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ เพราะแรงระเบิดนั้นอ่อนมาก คาดว่าน่าจะเป็นการก่อกวนเท่านั้น
นั่นคือเรื่องราวเมื่อ 1 เดือนก่อน และเขามั่นใจว่าใครคือคนร้าย
และรู้แน่ว่าสาเหตุใดบ้านของเขาถึงโดนลอบยิงแล้วเผาอย่างโหดเหี้ยม ร่างพ่อและแม่รวมทั้งน้องชาย นอนตายอยู่ในบ้าน พวกเขาเสียชีวิตก่อนที่ไฟจะผลาญร่างกายให้ดำงอ ส่งกลิ่นเหม็นสะอิดสะเอือน ทั้งสามนอนตายรวมกันในห้องนั่งเล่น หัวของพวกเขาพรุนไปด้วยรอยกระสุน ไม่ใช่นัดเดียว แต่มันเกิดจากการกระหน่ำยิงอย่างไม่ยั้งและแม่นยำ นัดแล้วนัดเล่าจนศพกลายเป็นร่างดำๆ ไม่มีหัว เขาร้องไห้แทบจะบ้าตาย เกลือกกลิ้งลงเบื้องหน้า ปากพร่ำบ่นว่า ไม่น่าเลยๆ กูน่าจะอยู่ด้วย กูไม่น่าไปอยู่เวรให้โรงเรียนเลย ทำไม ประโยคหลังเหมือนประท้วงต่อผู้มีอำนาจเบื้องบน บนสรวงสวรรค์
ไหนแม่บอกว่าบ้านคือที่ปลอดภัยที่สุดของเราไง เขาบ่นพึมพำขึ้นมาเบาๆ และเรื่อยๆ หลังจากที่เหนื่อยอ่อนกับการเกลือกกลิ้งเหมือนเด็กร้องขอซื้อของเล่น ใครได้เห็นสภาพนั้นต่างกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว เวลาไม่นานเรื่องราวก็เข้าสู่สายตาคนทั้งประเทศ
วันรุ่งขึ้นรายการข่าวยามเช้าโทร. เข้ามาสัมภาษณ์ สอบถามถึงความรู้สึก เขาตอบไม่กี่คำเพราะพูดไม่ออก ผู้ดำเนินรายการถามคำถามสุดท้ายว่าอยากให้ทางรัฐช่วยเหลืออะไรเพิ่มเติมบ้าง เขาบอกเขาอยากเป็นทหาร ตกเย็น ผบ.ทบ. เดินทางมาเยี่ยมเขาถึงที่ พร้อมด้วยคณะผู้ว่าราชการจังหวัด ท่าน ผบ.ทบ. มอบเงินให้จำนวนหนึ่งและรับปากจะบรรจุเขาเข้าเป็นนักเรียนนายร้อยทันที
วันนี้เขามานั่งอยู่ที่เดิม นั่งมองจับกังขนของหนีภาษีขึ้นขบวนรถไฟท้องถิ่นอย่างขะมักเขม้น ไม่ว่ากี่ครั้งที่มา เขายังไม่เคยเห็นกำหนดรถไฟตรงเวลาเสียที และคนที่คอยก็ยังไม่มา
ไม่เป็นไรเขายังคอยได้
หลังเหตุการณ์ระเบิดสถานีรถไฟ เมื่อเดือนที่แล้วผ่านไป 3 วัน มีเวลาว่างเมื่อไหร่เขาจะมานั่งร้านน้ำชาแห่งนี้ทันที เขาจะควบมอเตอร์ไซค์คู่ใจโดยไม่กลัวอันตรายใดๆ มานั่งคอยคนคนนั้นจนเจอ คนที่กดโทรศัพท์ในวันนั้น
เขาถือวิสาสะเข้าไปคุย ยื่นข้อเสนอบางอย่างให้มัน และวันนี้ข้อเสนอนั้นก็ถึงคราวที่จะต้องจ่ายค่าตอบแทน
เขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเป้ ซองเงินสีน้ำตาลยังอยู่ เงิน 1 หมื่นบาทที่เขาทำงานสะสม ได้มาจากพ่อบ้าง ช่วยแม่กรีดยางบ้าง ได้มาจากการรับจ้างจิปาถะแล้วแต่ใครจะออกปากตามแต่ความเหมาะสมบ้าง วันนี้มันจะถูกใช้แล้ว
โฆษกประกาศบอกเวลาที่รถไฟเสียเวลาอีกครั้ง ครั้งนั้นมันก็เสียเวลาเหมือนหนนี้ มันเป็นการเดินทางไกลครั้งแรกของเขาโดยมีพ่อเป็นผู้นำทาง พ่อก็เสียใจไม่น้อยไปกว่าเขาเมื่อรู้ว่าสอบเข้าโรงเรียนนายร้อยไม่ติด เงินที่เสียไปกับการเดินทางครั้งนั้น รวมทั้งค่าที่พักมันมากโขเลยทีเดียว มากกว่าเงินก้อนในซองนี้ด้วยซ้ำ พ่อบอกว่า เอาใหม่ ปีหน้าต้องได้แน่
พ่อครับผมอยากเป็นทหาร เขาบ่นออกมาเบาๆ
*****************
18 กุมภาพันธ์ 2551 12:13 น.
ใบคา
ทุกๆ เย็นก่อนเข้างานในตำแหน่งเด็กยกกระเป๋า หรือ Bell boy ของโรงแรมระดับสี่ดาวย่านธุรกิจอย่างสุขุมวิท พันธ์มักจะหาเวลาว่างมานั่งทอดใจไปกับรางรถไฟของสถานีบางซื่อเป็นประจำ เพราะนั่นคือ 1 ในกิจวัตรประจำวันก่อนเริ่มงาน ซึ่งมีอยู่เพียง 2 อย่าง อย่างหลังเพิ่งเพิ่มเข้ามาเป็นส่วนสำคัญในชีวิตได้เพียง 5 เดือนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่ามันเป็นแรงบันดาลใจในทุกๆ ด้านเลยก็ว่าได้ ความสุขในการได้ส่งยิ้มให้ ทักทาย และโอภาปราศรัย กับ นุช พนักงานรุ่นพี่ที่เข้ามาใหม่
ทางเส้นขนานของรางรถไฟชุมทางบางซื่อทอดยาวไปสู่สายใต้ เป็นเส้นทางที่พันธ์จากลา เป็นเส้นทางที่สร้าง และเกือบทำลายพันธ์ในเวลาไล่เลี่ยกัน แต่ด้วยพื้นฐานพลังใจที่พ่อได้สั่งสอนเขา มันเป็นกำแพงที่กางกั้นกองทัพความโศกเศร้าจากการจากไปของพ่ออย่างไม่หวนคืนได้เป็นอย่างดี
ด้วยเหตุนี้การได้มานั่งมองดูรางรถไฟก็เปรียบเหมือนการระลึกถึงพระคุณพ่อที่อุตส่าห์เลี้ยงมา แม้จะไม่ตลอดรอดฝั่งก็ตาม มันเป็นแรงใจที่จะเผชิญหน้ากับความกดดันที่พร้อมจะเกิดจากร้อยพ่อพันแม่ซึ่งคอยท่าเขาอยู่เบื้องหน้าทุกรูปแบบ
ด้วยความเป็นคนค่อนข้างเปิดเผยของนุช จึงทำให้พันธ์หลงเสน่ห์ได้ง่าย แม้จะได้แค่ส่งยิ้มให้ เวลาเดินผ่านหน้าแคชเชียร์ จะได้คุยกันบ้างก็เฉพาะเวลาเดินสวนทางหรือพักนิดหน่อยเท่านั้น แต่นั่นก็มากพอแล้วที่ทำให้พันธ์ขอเบอร์โทรฯ และเวลาว่างต่อสายคุยกับนุชเป็นเวลา 1 ชั่วโมงเป็นประจำทุกวัน
คนสองคนแม้จะไม่ได้สนิทสนมกันด้วยการพบปะสังสรรค์ เห็นหน้าค่าตา และนัดออกเดทหรือเที่ยวกันตามประสาคนเริ่มจีบกันใหม่ๆ เพราะความสนิทของพันธ์กับนุชดำเนินไปด้วยการพูดคุยกันทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์อย่างโทรศัพท์มือถือ มันย่อมถ่ายทอดความเป็นตัวตนของกันและกันออกมาได้ดีกว่าการพบปะซึ่งๆ หน้า หน้ากากใดๆ ที่ต้องพยายามสับเปลี่ยนหมุนเวียนมาสวมใส่ในขณะที่สนทนาระหว่างกันยามหน้าต่อตาจึงไม่จำเป็นต้องใช้ เปรียบเสมือนการเปลือยกายเข้าหากัน ย่อมทำให้รู้เรือนร่างของอีกฝ่ายได้อย่างละเอียด
ด้วยเหตุนี้นุชเปิดเผยกับพันธ์ทุกเรื่องแม้กระทั่งเรื่องบนเตียงกับคนรักเก่า กับปัจจุบันเรื่องที่ว่ายามวางสายของพันธ์แล้วสายต่อไปจะเป็นใคร ก่อนหน้ารับสายพันธ์นั่นใครเป็นคนหว่านคำหวานให้ และสายประปรายคือใครบ้าง ถ้อยคำเหล่านั้นแทนที่จะทำให้เขาก่อเกิดความรังเกียจ แต่กลับทำให้พันธ์นึกรักนุชขึ้นมากเป็นทวีคูณ แม้นุชจะบอกกับเขาเพียงแค่ว่า ขอคบเป็นพี่น้องดีกว่า ก็ตาม
เพราะนอกจากนุชจะเป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมาแล้ว เธอยังมีความทะยานอยาก อยากเป็น คุณหญิงนุช เธอจะไม่ยอมหยุดไขว่คว้าแม้จะเสียตัวสักกี่ครั้งก็ตาม ถ้าตราบใดยังไม่มีคนรักเป็น นายร้อยห้อยกระบี่ หรือข้าราชการเชิดหน้าชูตา
ดูนั่นสิเธอ นักเรียนนายร้อยเท่ห์จังเลย ถ้าได้เดินควงแขนก็ดีสิเน๊าะ นุชมักจะเอ่ยกับเพื่อนเป็นทำนองชวนฝันทุกครั้งที่เจอนักเรียนนายร้อยเดินผ่านตา
และพันธ์ก็รับรู้เรื่องราวเหล่านี้ทุกคำ จากปากนุชนั่นเอง
จริงๆ แล้วตอนนี้ก็มียุทธ์ที่เป็นทหารเรือ เขาโทรฯ มาจีบนุชเหมือนกัน นุชคุยกับพันธ์ในกลางดึกคืนหนึ่งผ่านโทรศัพท์มือถือ
แล้วรู้จักกันได้ไงเหรอ พันธ์ถามอย่างไม่รู้สึกรู้สา แต่ออกมาจากความอยากรู้จริงๆ
อ๋อ เป็นเพื่อนของเพื่อนอีกทีนะ จริงๆ แล้วนุชก็ไม่ได้รู้จักกับเขาหรอกพอดีว่าเพื่อนของนุชเก็บรูปนุชไว้ในกระเป๋าสตางค์ แล้วบังเอิญยุทธ์เห็น เพื่อนจึงติดต่อให้
พันธ์เงียบไป
แต่นุชก็ไม่อะไรกับเขาหรอกนะ แค่คบๆ กันไปเท่านั้นแหล่ะ
คบกันมานานแล้วเหรอ
ก็หลายเดือนเหมือนกันนะ แต่เราก็ไม่เคยไปเที่ยวด้วยกันเลย ก็แหม! เขาอยู่ตั้งสัตหีบนี่ เออ! เขาจบนายร้อยแล้วด้วยนะ ไกลกันออกอย่างนั้น อีกอย่างนุชก็ไม่ค่อยว่างด้วย พันธ์ก็รู้ทำงานโรงแรมอย่างเราหาเวลาว่างได้ยากเต็มที
คุยทางโทรศัพท์นี่นะ ไม่เรียกว่าคบหรอกมั้ง พันธ์แย้ง
ไม่นะ เราคุยกันตลอดเลย เมื่อกี้ก็โทรฯ มา แต่นุชคุยกับพันธ์อยู่เลยไม่ได้รับ จริงๆ แล้วก็เคยไปเที่ยวด้วยกันครั้งหนึ่งแล้วล่ะ แต่ก็ไม่อยากไปอีก
อะไรเหรอ พันธ์ถามด้วยความอยากรู้ว่าตรงกับที่ตัวเองเดาหรือเปล่า
ก็ยุทธ์นะสิพยายามปล้ำนุช เธอหยุดไปนิดหนึ่ง แต่นุชขอไว้ เขาเป็นสุภาพบุรุษดีนะ
แล้วระหว่างเราล่ะ จะขยับเป็นแฟนได้ไหม พันธ์ร้องขอสิทธ์
ก็คุยกัน คบกันเป็นเพื่อน เป็นพี่เป็นน้องอย่างนี้ก็ดีแล้วนี่พันธ์ นุชย้ำคำเดิมที่เคยบอกพันธ์ครั้งแรกๆ
แต่นุชแก่กว่าผมแค่ปีเดียวเองนะ และผมก็ไม่มีใครด้วย พันธ์เรียกร้องความเห็นใจ
นุชเงียบ
เป็นแบบนี้ดีกว่านะ อีกอย่างนุชก็ยังไม่อยากมีแฟนตัวดำด้วยสิ
ดำแต่ดำหวานนะ ฮ่าฮ่าฮ่า พันธ์แก้เขิน งั้นแค่นี้ก่อนนะนุช มันดึกแล้ว นอนหลับฝันดีนะ บาย
อย่างไรถึงเรียกว่าฝันดีล่ะ นุชเย้า
ก็ฝันเห็นผมไง นอกจากนั้นอย่าไปฝันนะ เพราะนั่นเรียกว่าฝันร้าย
สวัสดีจ้ะ หลับฝันดีเช่นกันค่ะ
แล้วพันธ์ก็ตาค้างเพราะนอนไม่หลับคิดถึงนุช ส่วนนุชยังไม่ได้นอนเพราะต้องรับสายอีกหลายคน
ความเป็นคนเปิดเผยของนุชนั้นนอกจากจะทำให้ชายหลายคนโดยเฉพาะพันธ์หลงใหลได้ปลื้มแล้ว ในทางกลับกันยังสร้างความหมั่นไส้ในหมู่เพื่อนฝูงขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย เริ่มจากเหตุการณ์ที่เธอพลาดท่าเสียตัวให้กับแฟนคนแรก และนับเป็นครั้งแรกสำหรับนุช รุ่งขึ้นเธอจะต่อสายไปหาเพื่อนที่สนิทที่สุดแล้วเล่าเรื่องราวความเป็นมาอย่างละเอียดทุกขั้นตอน เริ่มตั้งแต่การเล้าประโลม และเยื่อพรมจารีย์ที่กลายสภาพเป็นหยดเลือดสีแดง ตบท้ายด้วยการปรึกษาหาคำแนะนำ และย้ำแล้วย้ำอีกว่า อย่าบอกใครนะ นุชอาย
ไม่กี่อึดใจเดียวเพื่อนรายที่ 1, 2, 3 ก็โทร. ถามกัน เพื่อหาความจริงว่า นุชพูดจริงหรือเล่นอย่างไร (เพราะเธอต่อสายไปปรึกษากับเพื่อนทุกคนไล่ระดับความสำคัญลงไป แล้วตบท้ายด้วยประโยคจบเดียวกัน)
เพื่อนๆ เลยลงมติเป็นเอกฉันท์ว่า นุช มันอวด! แต่ใครจะรู้ว่าที่เธอทำลงไปก็เพื่อระบายความในใจเท่านั้นเอง
*********
พันธ์ปล่อยให้น้ำแร่จากแม่ริมอึกสุดท้ายไหลรินลงคออย่างช้าๆ แล้วถอนหายใจอย่างแผ่วเบา บรรยากาศยามเย็นของเมืองหลวงช่วยเสริมให้รอบกายเขาค่อยๆ ขยับอย่างเนิบนาบ รถบนถนนตรงสี่แยกข้างสถานีรถไฟบางซื่อแห่งนี้ก็เคลื่อนที่อย่างเชื่องช้า มองเผินๆ มันแทบจะไม่เขยื้อนเลยด้วยซ้ำ จิตใจของผู้คนในเก๋งคันงาม ปิกอัพคันโก้หรือสปอร์ตคันหรู คงล้ำหน้าไปไกลหลายสิบลี้ มีแต่เพียงพันธ์เท่านั้นที่ทั้งจิตใจและร่างกายสัมพันธ์กัน คือ เฉื่อยชา
2 เดือนแล้วที่กิจวัตรประจำวันก่อนเข้างานของเขาขาดหายไปหนึ่งอย่าง รอยยิ้มหวานจากนุชหน้าแคชเชียร์ของโรงแรมหายไปด้วยข้อหาว่าเธอทำงานผิดพลาดอยู่เป็นประจำ ไม่มีการปรับปรุงตัว แต่นุชบอกเขาว่า นุชโดนกลั่นแกล้ง เพราะไม่ถูกกับพี่ที่ทำงานอยู่ก่อน ไม่ว่าด้วยเหตุผลกลใดผลลัพธ์ก็ออกมาแล้วนั่นคือไม่มีนุช
การสนทนาทางสายก็เริ่มขาดหายลดน้อยลงไป จากทุกวันเหลือสัปดาห์ละครั้งโดยปริยาย ยามเย็นของการนั่งปล่อยใจไปกับรางรถไฟจึงเคลื่อนคล้อยอย่างเชื่องช้า และต้องการความเนิ่นนาน ตอนนี้ไม่มีอะไรที่จะช่วยเพิ่มความเข้มแข็งให้กับตัวเองได้เท่ากับการจ่อมจมอยู่กับรางรถไฟอีกแล้ว เส้นทางเหล็กขนานเส้นที่สร้างและเกือบทำลายชีวิตของพันธ์
วันนั้นเป็นวันทำงานปกติของพ่อในตำแหน่งนายด่านสถานีรถไฟสุไหงโก-ลก พ่อจะเดินตรวจตราความเรียบร้อยรอบๆ เสมอ เพราะเหตุการณ์ขณะนั้นไม่สู้ดี พ่อมักบอกว่า
เราต้องช่วยๆ กัน
วันนั้นเขาคงไม่ต้องเสียพ่อไป ถ้าพ่อไม่เจอเพื่อนเก่าซึ่งเป็นนายหน้ารับเหมาก่อสร้างกำลังยกของบางอย่างขึ้นกระบะรถปิกอัพที่จอดรอรับอยู่บริเวณที่จอดรถของสถานี พ่อเดินเข้าไปทักตามประสาของเพื่อนที่ไม่เจอกันนาน ไม่ทันที่จะถามสารทุกข์สุกดิบได้เต็มคำ เพราะทันทีที่พ่อเดินเข้าไปใกล้เพื่อน ระเบิดแสวงเครื่องจากมอเตอร์ไซค์ข้างๆ ทำงานตามหน้าที่ของมันทันที
ยมทูตวิ่งปราดออกมาตามแรงดันของระเบิด กระชากร่างของพ่อออกเป็นชิ้นๆ อย่างรวดเร็ว ไม่ปล่อยโอกาสให้พ่อได้รู้ตัว แม้กระทั่งเสียงร้องก็ไม่ยอมให้เล็ดลอดออกมา แรงระเบิดแยกร่างพ่อและเพื่อนพ่อของเขาออกเป็นชิ้นๆ มอเตอร์ไซค์ที่จอดข้างๆ กระเด็นไปคนละทิศละทาง ร่างพ่อของพันธ์ไหม้ดำ แขนขาด ขาขาด เนื้อหลุดเป็นจุดๆ เสียงระเบิดดังไปไกลกินระยะทางเกือบกิโลเมตร
เสียงของมันเปรียบเสมือนเสียงคำรามของปีศาจร้าย ปีศาจแห่งความขัดแย้ง มันแผดเสียง ตูม! เป็นระยะทางไกล มันกระทืบเท้าเสียงดัง ถึบ! แผ่นดินรอบข้างสนั่นสะเทือนด้วยแรงโกรธกริ้วจองล้างจองผลาญของปีศาจ ผู้คนที่อยู่ในรัศมีเอื้อมมือแห่งมัจจุราชตนนี้น้อยนักที่จะมีชีวิตรอดออกมาได้
แม่เศร้าโศกอยู่แรมปี เขาเองก็ไม่ต่างกัน ไม่เป็นอันเรียน มุ่งแต่จะแก้แค้น ไม่ยอมกลับไปเรียนรามฯ ตามเดิม แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไปคำพ่อเคยสอนก็ผุดขึ้นมา
คนเราต้องทำหน้าที่ของตนให้ถึงที่สุดลูก อยู่ไหนมันก็ตายเหมือนกัน แต่ทำหน้าที่ในที่ที่คนอื่นไม่อยากทำก็เท่ากับช่วยเหลือคนอื่นแล้วล่ะ อีกอย่างพ่อก็เต็มใจและมีความสุขกับที่นี่ อย่าลืมว่าไม่มีที่นี่ลูกก็ไม่มีข้าวกินนะ พ่อบอกพันธ์หลังจากที่เขาแนะนำให้พ่อย้ายออกนอกพื้นที่เพราะกลัวเหตุร้ายจะเกิดขึ้น
เมื่อขาดเสาหลักไปครอบครัวก็ย่ำแย่ แม้พ่อจะรับราชการและได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล แต่ใช่ว่าจะได้ทันทีที่ยื่นมือขอ มันใช้ขั้นตอนดำเนินงานอย่างเอื่อยเฉื่อยจนล้าที่จะคอย และถึงได้มาก็ใช่ว่าชดเชยสภาพจิตใจที่เสียไปได้หมด มิหนำซ้ำยังจะช่วยย้ำเตือนให้หวนนึกถึงเรื่องราวความเลวร้ายเก่าๆ ที่เกิดขึ้นกับพ่อและครอบครัว เมื่อการติดต่อขอรับเงินถูกบอกปัดครั้งแล้งครั้งเล่า นานไปเข้าก็หายไปกับสายลมไม่มีใครพูดถึงมันอีกเลย แต่เขายังรู้สึกว่ามันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง
พันธ์รับรู้เรื่องราวด้วยเสียงจากโทรศัพท์ที่สั่นเครือจากผู้เป็นแม่ แม้แม่ยังไม่เอ่ยถ้อยคำใดๆ ออกมา เขาก็พอเดาออกว่า สารที่จะได้ในการกดรับโทรศัพท์จากแม่ครั้งนี้ ไม่ใช่เรื่องดี
พ่อเสียแล้ว แม่กลั้นใจพูดได้แค่นี้ แล้วก้อนสะอื้นก็ติดคอ
อะไรนะ เขาเค้นคำ แต่กลับได้คำตอบเป็นเสียงโฮออกมา
พันธ์ต้องตัดสายแม่ทิ้งแล้วโทรฯ กลับไปหาเพื่อนบ้านของพ่อ เพื่อจะให้ได้สารที่ถูกต้อง
พ่อเอ็งตายแล้ว โดนระเบิดหน้าสถานีเมื่อเช้านี้เอง คำตอบที่เขาได้รับแทบทำให้เป็นลม
หลังพ่อตาย พันธ์ตัดสินใจหางานทำด้วยความเก่งทางภาษาที่เขาสามารถพ่นออกมาได้มากกว่าภาษาพ่อภาษาแม่ คือ อังกฤษ และญี่ปุ่น เขาสมัครทำงานที่โรงแรม แห่งเดียวกันกับที่ทำอยู่ ณ ขณะปัจจุบันนี้ แต่ด้วยวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรี ที่ต้องใช้เวลาอีก 2 ปีถึงจะใช้งานได้ เขาจึงได้รับหน้าที่ Bell Boy หรือเด็กยกกระเป๋า เพราะความสามารถทางภาษา แม้จะได้หน้าที่เล็กๆ ที่ช่วยสร้างความประทับใจให้แขกที่เข้ามาใช้บริการ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ ถึงเป็นเพียงตำแหน่งน้อยๆ แต่รายได้ใช่ด้อยตาม ต่างเป็นที่อิจฉาของเพื่อนร่วมงานในตำแหน่งอื่น บางครั้งก็ไม่เว้นแม้กระทั่งตำแหน่งเดียวกัน
ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่อนาทรร้อนใจเกี่ยวกับค่าครองชีพนัก ปล่อยให้แม่หาเลี้ยงตัวเองด้วยการขายขนมหน้าสถานีรถไฟสุไหงโก-ลก ไปพลางๆ เขาเรียนจบเมื่อไหร่จะกลับมาเลี้ยงแม่เต็มรูปแบบ
แม่ต้องระวังตัวด้วยนะ อย่าประมาท เขามักพูดแบบนี้เสมอหลังหมดธุระจากการโทรฯ หาแม่
***********
ผ่านไป 2 เดือน หลังจากหันหลังให้กับโรงแรม นุชได้รับเงินเดือนล่วงหน้า 2 เดือนเพื่อเป็นทุนเตะฝุ่นและหางานใหม่ เงินที่ได้รับมาใกล้หมดลงแล้วแต่นุชยังไม่มีงานทำ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานุชหางานแทบไม่เว้นวัน มีบ้างที่เพื่อนชวนไปเที่ยวพักผ่อน และเธอก็เต็มใจไปเพื่อผ่อนคลายจากความเครียดของการเดินตรากตรำหางานเลี้ยงชีพ
ปัญหาทางบ้านรุมเร้านุชอย่างหนัก การไม่มีงานทำก็นับเป็นหนึ่งในปัญหารุมล้อมนั้นเช่นกัน พ่อบอกนุชว่าเพราะช่วงนี้ดวงของเธอไม่ดี ต้องแก้เคล็ดด้วยการเปลี่ยนชื่อ และต้องเดินทางกลับต่างจังหวัดเพื่อให้หมอดูที่เป็นพระซึ่งเป็นรูปที่นับหน้าถือตาของคนในหมู่บ้าน ด้วยเหตุนี้นุชจึงไม่ค่อยมีเวลาติดต่อพูดคุยกับกิ๊กหน้าไหนเลย จะมีบ้างก็นานๆ ครั้ง เพราะบ้านต่างจังหวัดของเธอนั้นอยู่กลางสวนยาง จ.ตรัง เครือข่ายของอดีตตราส้มยังเข้าไม่ถึง
ระหว่างที่ว่างงานอยู่นั้นเพื่อนๆ จากมหาลัยฯ มักชวนนุชออกไปสังสรรค์อยู่เสมอ แต่เธอก็ปฏิเสธไปด้วยเหตุผลว่า ตอนนี้ไม่ค่อยมีเงิน ไม่อยากไปไหนขอโทษด้วยนะ
กินหมูกระทะแค่นี้เอง จะสักเท่าไหร่เชียว นานๆ เจอกันที ไม่ได้ว่างพร้อมกันบ่อยๆ นะเธอ เพื่อนพยายามชักจูงให้นุชออกมาเจอกันให้ได้ เพราะเธอปฏิเสธมาแล้วหลายครั้ง
ไม่มีเงินจริงๆ เธอบอกเหตุผล และเสนอแนวทางว่า เลี้ยงไหมล่ะ
ตกลง เพื่อนรับคำ
เพื่อนเลี้ยงนุชตามคำที่รับปากไว้แต่อดไม่ได้ที่จะกระแนะกร
ะแหน
อย่ากินเยอะนะนุช เดี๋ยวอ้วน
อ่ะ พอแล้วๆ เงินไม่ออกเขาให้กินแค่นี้
นุชไม่พอใจ และพาลทำให้ไม่อยากติดต่อกับใคร ถ้าไม่จำเป็น เธอคิดว่าเหตุใดต้องบอกว่าจะเลี้ยงด้วยในเมื่อไม่เต็มใจจะทำ ในเมื่อออกมาแล้วทำไมต้องกระแหนะกระแหนกันด้วย
อดีตและความทรงจำล้วนเป็นเรื่องราวที่เกิดและผ่านเราไปแล้วทั้งสิ้น แต่ทั้งสองมีความแตกต่างกันตรงที่ว่าอดีตคือเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเรา ไม่ว่าจะดีหรือเลว ทุกข์หรือสุก สิ่งเหล่านั้นคืออดีต แต่ความทรงจำ คนเรามักเก็บเอาไว้เฉพาะเรื่องความดีๆ ความรู้สึกดีๆ โดยที่กักขังความรู้สึกร้ายๆ เอาไว้ในห้วงเหวของอดีต คราใดที่เจ้าความรู้สึกร้ายๆ นี้ตะเกียกตะกายออกมาจากหลุมดำนั้นได้ก็จะทำให้เราเศร้าชั่วคราว ทีนี้ก็เป็นหน้าที่เจ้าของจิตใจว่าจะทำอย่างไรกับมันดี
เวลาอยู่คนเดียวและเรื่องราวคืนนั้นหวนขึ้นมาในภาพความทรงจำเธอจะบ่นออกมาเบาๆ ว่า กูไม่เคยขอใครกินโว้ย และมันก็ช่วยทำให้เธอสบายใจขึ้น
หลังจากเปลี่ยนชื่อแล้วทุกอย่างดีขึ้น นุชได้งานทำในไม่กี่สัปดาห์ ตำแหน่งเสมียนของหน่วยงานราชการแห่งหนึ่ง
ถัดจากนั้น 3 วัน เธอถูกพ่อเรียกตัวให้กลับไปทำธุระกรรมเกี่ยวกับที่ดินของแม่ เพราะพ่อกับแม่ทะเลาะกันถึงขั้นแยกทางเดิน แยกบ้านอยู่ แต่เจ้าของกรรมสิทธิ์ผืนดินซึ่งเป็นสวนยางพารา 40 ไร่ มีชื่อแม่ของนุชเป็นเจ้าของ พ่อกลัวว่าสามีใหม่ของแม่จะใช้เล่ห์กลกอบโกยไปหมดจนไม่เหลือไว้ให้ลูก นุชจึงถูกเรียกตัวกลับ เพื่อเรียกร้องสิทธ์ที่ควรจะได้จากแม่มาเป็นของตัวเองก่อนที่จะไม่มีอะไรเหลือไว้ให้ เพราะแม่ค่อนข้างจะหลงสามีใหม่พอสมควร อีกทั้งติดการพนันด้วย สาเหตุหลังนี้นี่เองที่ทำให้พ่อและแม่ของนุชต้องเลิกรากัน
เป็นปัญหาที่หนักเอาการเพราะเท่าที่ฟังคำบอกเล่าจากพ่อแล้ว นุชพอจะเข้าใจอยู่บ้างว่าแม่จะไม่ยอมยกที่ผืนนั้นให้ใคร แม้แต่นุชก็ตาม เรื่องนี้มันหนักเกินกว่านุชจะรับไว้ได้ เธอโทรฯ ปรึกษาเพื่อนทุกคนที่รู้จักแต่ความช่วยเหลือก็ไม่เพียงพอต่อความต้องการ เธอได้รับแค่คำปลอบใจ
เหรอนุช แย่จัง ไหนๆ ก็ลองกลับไปคุยกันดูนะ แม่เขาคงเข้าใจแหล่ะ
แม้กระทั่งกิ๊กอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นนายทหารเรือ หนุ่มวิศวกร หนุ่มหล่อขาวหน้าตี๋ ต่างให้คำปลอบไม่ต่างจากเพื่อนก่อนหน้านี้
เนื่องจากพันธ์ยังคงเป็นนักศึกษาอยู่ นุชจึงตัดสินใจต่อสายหาเป็นเบอร์สุดท้าย
***********
พันธ์เหรอ นุชเองนะ นุชโทรฯ หาพันธ์ ในตอนเย็นซึ่งคาดว่าเขายังคงไม่เข้างานกะดึก อันเป็นกะประจำของเขา
จ้ะๆ เขารับเสียงสั่น สั่นแบบตื่นเต้นปนดีใจ
นุชมีปัญหา ปรึกษาหน่อยสิ
อะไรเหรอ ใจเขาตุ้มๆ ต่อมๆ กลัวนุชจะปรึกษาหัวใจ ซึ่งคนที่จะพูดถึงไม่ใช่พันธ์
คือที่บ้านนุชมีปัญหา พ่อกับแม่เลิกกัน แล้วแม่ก็มีผู้ชายคนใหม่ ทีนี้พ่อกลัวแม่จะยกสวนยาง 40 ไร่ให้แฟนใหม่ไปหมด เพราะแม่หลงเขามาก พ่อกลัวว่านุชจะไม่ได้อะไรเลย อีกอย่างที่ดินสวนนั้นก็เป็นชื่อแม่ นุชต้องกลับบ้านคืนนี้เลย นุชไม่รู้จะปรึกษาใครแล้ว พันธ์ว่านุชควรทำอย่างไรดีล่ะ
เดี๋ยวผมกลับไปด้วย อย่าลืมสิว่าผมเรียนรัฐศาสตร์ รามฯ นะ ถึงยังไม่จบก็เหอะ แต่ก็รู้เรื่องแหล่ะ ใครไม่ยอมผมจะพานุชไปฟ้องมันเอง เขาอาสา
เอ่อ... นุชพูดไม่ออกว่าจะให้พันธ์กลับในฐานะอะไรดี
แต่นุชต้องรับผมเป็นแฟนก่อนนะ แล้วเราก็ต้องกลับกันในฐานะแฟนด้วย ผมจะได้โทรฯ ไปลางานเลย กี่วันค่อยว่ากันทีหลัง เขาเสนอ
เฮ้อ! นุชถอนหายใจ คุยกับพันธ์นี่เหนื่อยใจจัง
แน่ล่ะ คุยกับผมต้องใช้ใจพูดนี่ ย่อมเหนื่อยเป็นธรรมดา พันธ์ได้โอกาสยิงลูกโดดเม็ดโต
ตกลงจ้ะ
****************************จบ****************************