12 มกราคม 2550 13:43 น.
ใบคา
เป็นไงมั้งว่ะเด่น กรุงเทพฯ มีเมียหรือยัง วันหลังกลับมาเอาเมียมาเยี่ยมบ้างสิว่ะ แน่ะๆ ทำยิ้มอย่างนี้แสดงว่ามีแล้วแน่ๆ กับข้าไม่ต้องทำเป็นปิดหรอก แค่เอ็งยิ้มข้าก็เห็นทะลุเข้าไปข้างในแล้ว
โธ่! ลุงเสริม มีน่ะมี แต่จะเรียกว่าเมียได้หรือเปล่าน่ะสิ ยังไม่อยากพามา เอาแบบให้แน่ใจก่อนดีกว่า อีกอย่างผมก็ยังเรียนไม่จบ พอจบแล้วไม่รู้ว่าต่างคนต่างจะไปไหนกัน ของอย่างนี้ไม่แน่ใจก็ไม่อยากแนะนำให้ใครๆ รู้จัก เสียเวลาเปล่าๆ อีกอย่างไม่อยากให้ลุงมานั่งจำอยู่ไงว่าคนไหนชื่ออะไร อย่างน้อยๆ ก็ปีหนึ่งตั้ง 2 คน ปิดเทอมทีผมก็กลับมาบ้านที พาแฟนกลับมาที แล้วแบบนี้จะจำได้ไหมเกิดทักชื่อผิดผมไม่แย่เหรอ ขี้คร้านจะตามง้อ ดีไม่ดี โดนฝาดกบาลเข้าไปอีก
ไอ้นี่! ช่างพูดนะเอ็ง ถ้าขืนพามาแบบนั้นก็สมควรโดนแล้วโว้ย ฮ่าๆ เอาๆ สักกรึ๊บก่อนโว้ย ฝนตกอย่างนี้จะได้ทำให้อบอุ่นถึงภายใน นี่เป็นเหล้าเถื่อนที่ไว้ใจได้ เจ้านี้ข้าซื้อประจำไม่ต้องห่วงไม่มีการผสมยาฆ่าหญ้าแน่นอน ไม่มีเมาค้างตื่นมาทำงานต่อได้ทันที เอาไว้ให้ฝนหยุดก่อนแล้วเราค่อยไปดูเบ็ดกัน
แรงไม่ใช่เล่นนะลุงเหล้าเจ้านี้ กระดกลงไปนี่รู้หมดเลยว่าไส้มีกี่ขด ฝนคืนนี้ทำท่าจะตกหนักเหมือนกันเนาะ แต่ไม่เป็นไรผมไม่รีบอยู่แล้ว ฝนตกอย่างนี้ลุงเสริมก็ไม่ต้องกังวลเรื่องต้องตื่นไม่กรีดยางแต่เช้าน่ะสิ งั้นคืนนี้เราก็เรื่อยๆ ได้อย่างฝนเลยสิ นานๆ ทีได้มานั่งกระต็อบกลางสายฝนแบบนี้ เมื่อก่อนผมยังจำได้เลยนะลุง สมัยเด็กๆ ครั้งแรกเลยที่ผมรบเร้าให้ลุงพามาวางเบ็ดด้วยน่ะ ลุงไม่เป็นอันวางเบ็ดเลยต้องคอยอุ้มผมตลอดเวลา จะปล่อยไว้บนกระต็อบผมก็ไม่ยอม จริงๆ นะครั้งนั้นผมกลัวจริงๆ กลัวไปหมดทุกอย่างไม่คิดว่ามันจะมืด จะวังเวงขนาดนั้นเสียงกบเขียดนี่ร้องน่ากลัวจะตาย บนต้นไม้ก็กลัวงูจะห้อยหัวลงมาฉกเหมือนในหนัง นึกแล้วยังขำตัวเองไม่หาย
หลังจากนั้นเอ็งก็กลายเป็นมือหนึ่งของละแวกนี้เลยนะโว้ย แต่คืนนี้เอ็งไม่ไปกับข้า ข้าไม่ยอมนะเว้ย! ดูสิยกเอาๆ ข้ากลัวจะหมดก่อนว่ะ
ก็ได้ลุงนั่นแหล่ะที่ช่วยแนะนำผมถึงได้กล้า แต่ว่าก็ว่าเถอะลุง เอามาตั้งสองขวด กินแค่นี้ทำบ่น
ข้าไม่คิดเลยนะว่าเอ็งจะมากับข้าคืนนี้ นึกว่าไปอยู่เมืองกรุง แล้วจะไม่กล้าจะจับไส้เดือน ถือพร้าออกวางเบ็ดเมื่ออย่างแต่ก่อนอีก ข้าเห็นเพื่อนๆ เอ็งหลายคน เห็นเข้าหน่อยทำปากแหยตามๆ กัน บางคนถ้าเป็นหลานข้าเหมือนอย่างเอ็งนะโดนเตะตกกระไดบ้านแล้ว แหมส่งไปเรียนในเมืองเข้าหน่อย ภาษาใต้บ้านตัวเองทำเป็นพูดไม่ได้
ผมก็ไม่อยากมานักหรอก สู้นอนอยู่บ้านยังจะดีกว่าอีก แต่นี่ผมนึกสนุกอยากมากินเหล้ากับลุงมากกว่า เสียงฝนกระทบใบหญ้า กระทบหลังคามุงจากของกระต็อบหลังนี้ เพราะกว่าเสียงดนตรีในผับอย่างในเมืองหลวงตั้งเยอะ และผมว่ามันน่าฟังกว่าเสียงจอแจของเครื่องยนต์ที่ติดเครื่องไว้แต่ไม่ขยับไปในตามท้องถนนของกรุงเทพฯ เสียอีก อีกอย่างนะอากาศเย็นๆ อย่างนี้มันให้บรรยากาศร่ำสุราเสียเหลือเกิน อย่างที่ลุงบอกผมประจำไงว่าใครนะที่ว่าไว้น่ะ โกๆ นี่แหล่ะ อ๋อ! โกวเล้งที่บอกว่าไม่ได้ชอบสุราแต่ชอบบรรยากาศที่ร่ำสุรานั่นแหล่ะ แต่คืนนี้ผมไม่คิดว่าฝนจะตกหนักอย่างนี้ ครั้นจะออกไปดูเบ็ดทั้งฝนก็กลัวจะไม่สบาย กะว่าปลาที่ได้มาจะเอามาย่างทำแกล้มกินสักหน่อย นี่ก็ชวนพวกไอ้จ้อยให้ตามมาทีหลังแล้วด้วย ฝนอย่างนี้คงไม่มีใครมา แต่ไม่เป็นไรขอให้มีเหล้าเป็นพอ แกล้มผมก็มีเสียงฝนกับหน้าลุงแล้วนี่นา
เอ็งนี่มันปากดีไม่ส่าง เอ้า! งั้นคืนนี้ไม่ต้องดงต้องดูมันแล้วเบ็ด ไหนนั่งให้ถนัดสิไอ้เด่น เข้ามาซดเหล้าแกล้มสายฝนกับข้านี่ เฮ้ย! ในแก้วเป็กนั่นมันเหล้านะโว้ยไม่ใช่น้ำหอมจะได้นั่งดมอยู่ได้ มัวแต่พร่ำเสียยืดยาว ข้าว่าเหล้าในแก้วหน้าเอ็งมันเหมือนจะเพิ่มขึ้นนะ จะว่าฝนหยดลงก็ไม่ใช่ อ๋อ! ข้ารู้แล้วน้ำลายเอ็งนี่เอง ยกๆ ข้าจะกินมั่ง
ได้ทีใส่ใหญ่เลยนะลุง เอาแก้ว
ข้าว่าจบแล้วบวชให้พ่อแม่เลยดีกว่านะเด่น บวชตั้งแต่จบใหม่ที่แหล่ะดีแล้ว ไหนๆ ก็ไม่ได้หวังจะเอาดีทางธรรมอยู่แล้วนี่ จะได้ให้เขาสบายใจคนมีลูกชายก็หวังตรงนี้แหล่ะจะได้เกาะชายผ้าเหลืองขึ้นสวรรค์
ไม่ล่ะลุงเสริม ผมไม่คิดจะบวชอีกแล้ว ตั้งแต่ที่เคยบวชเณรมาผมก็ไม่ขอเข้าไปมีส่วนร่วมกับวัดอีกเบื่อ ในนั้นแก่งแช่งชิงดีมากกว่าสังคมชาวบ้านธรรมดาเสียอีก เพราะผมเป็นเณรถึงได้รู้อะไรมากมายอย่างนี้ เนื่องจากไม่ค่อยมีใครถือสาอะไรผมมาก มีอะไรหลวงพี่ก็ระบายให้ฟัง นินทาให้ฟัง บางครั้งหมายจะเอาเณรเข้าเป็นพวกให้มากๆ เสียอีก พระบางองค์นะเจ้าอาวาสบอกให้ช่วยถากหญ้าตัดไม้ที่รกๆ ภายในวัด เพราะจะหวังพึ่งชาวบ้านทั้งหมดก็ไม่ได้ อยู่ว่างๆ ก็ช่วยๆ กันกลัวพระจะอ้วนเสียเปล่าๆ บางท่านพอถูกวานหน่อยก็บอกไม่ได้ๆ พรากของเขียวอาบัติ ทีนี้เจ้าอาวาสท่านก็ไม่ว่าอะไรปล่อยไป แต่พอตกเย็นไปนั่งดูละครหัวเราะคิกคักๆ ผมถามว่าไม่อาบัติเหรอ รู้ไหมหลวงพี่ท่านนั้นตอบว่าอย่างไร ท่านตอบว่าอ๋อไม่เป็นไรหรอกเราดูแค่นั้นเองไม่ได้ยึดติดกับมัน ดูเพื่อฝึกตนเองไปในตัว เป็นงั้นไป แต่หลวงพี่ท่านนี้ท่านขยันนะตื่นมาแต่เช้าท่านจะกวาดลานวัด ทำโน้นทำนี่ ก็ตอนเช้านี่แหล่ะชาวบ้านส่วนใหญ่มักมาถวายสังฆทาน อาหารต่างๆ พอซาชาวบ้านหน่อยแกหายไปนั่งดูละครในกุฏิเสียนี่ พระรูปใดมีคนนับถือมากกว่าตนหน่อยก็นินทาให้ร้ายต่างๆ หลวงพี่ที่ถูกนินทาก็คอยหาทางกลั่นแกล้งจับผิดเรื่อยไป โอ้ย! อย่าให้ผมบวชเป็นพระเลย ผมกลัวบาป
บาปอะไรของเอ็งวะไอ้เด่น
ก็กลัวจะไปเตะพระด้วยกันน่ะสิ สมัยลุงบวชไม่เป็นอย่างนี้บ้างเหรอ
สมัยข้าน่ะเหรอ มันไม่มีอย่างนี้หรอก สมัยนั้นเขากลัวบาป ที่สำคัญไอ้ทีวี เครื่องบันเทิงต่างๆ ยังไม่มากขนาดนี้ ข้าว่าก็อย่าไปถือสาเลยพระแบบนี้ก็มีมาก พระก็คนธรรมดานั่นแหล่ะแค่รักษาศีล 227 ข้อเท่านั้นเอง ด้วยศีลทั้งหมดนี้แหล่ะที่ทำให้เหนือกว่าคนธรรมดา แต่ใช่ว่าเมื่อนับถือศีลแล้วจะตัดกิเลสได้ทันที มันก็ต้องฝึกฝนไปเรื่อยๆ เรื่องการชิงดีชิงเด่นก็มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล เอ็งลองไปอ่านพุทธประวัติดูก็น่าจะรู้ ขนาดพระพุทธเจ้าเองยังถูกพระด้วยกันคิดร้ายเลย แล้วนับประสาอะไรกับกาลสมัยที่ล่วงเลยมามากกว่า 2500 ปี ข้าว่าทำตัวเองให้ดีเอาไว้ก่อนดีกว่า แล้วคนรอบข้างก็จะเกรงใจและรักเอาไปเองโดยอัตโนมัติ
แน่ะลุงรถไฟเสียเวลาเหรอ
ทำไมว่ะ
ก็จอดสถานีชุมทางลุงเสริมนานแล้วนะ ไม่มาสถานีเด่นบ้างเลยคอยอยู่นา
ว่ะ! เอาคืนจนได้นะเอ็ง
ฮ่า! ขอน้ำหน่อยครับลุง... ไม่น่าเชื่อฝนอย่างนี้เหงื่อผมแตกซิกเลยนะเนี่ย พูดถึงเรื่องนี้แล้วจริงๆ นะลุงผมไม่อยากบวชเลย ไม่อยากแม้กระทั่งมีศาสนาอยู่เลย
เมาแล้วเหรอวะเด่นยังไม่หมดขวดเลย ไหนๆ เอาแก้วมาเดี๋ยวหาว่าข้าช้าอีก กินกับพวกวัยรุ่นก็งี้แหล่ะ เร่งจริงๆ
งั้นลุงก็วัยรุ่นไม่ใช่เล่นน่ะสิ เมื่อกี้เร่งผมเชียว ผมไม่ได้เมานะลุง ผมเคยอ่านหนังสือเกี่ยวคำธรรมะมีไว้ว่าหากใครทรยศต่อศาสนาหันหลังไปนับถือศานาอื่นก็จะไม่มีโอกาสได้ขึ้นสววรค์ ถ้าอย่างนั้นผมไปนับถือศาสนาอื่นผู้นำศาสนาก็จะบอกว่ามานับถือศาสนาชั้นเถอะดีเจ้าจะได้ขึ้นสวรรค์ คราวนี้พอผมเบื่ออยากจะไปนับถือศาสนาอื่นบ้างผมก็ไม่มีโอกาสได้ขึ้นสวรรค์ของเขาอีกแล้ว ถ้าอย่างนั้นหากผมไม่มีศาสนาก็เท่ากับว่าผมไม่มีนรกไม่มีสวรรค์ใช่ไหมลุง ก็ไม่ต้องกลัวตกนรกน่ะสิ
เอ็งนี่เลี่ยงบาลีได้ตลอดเลยนะ เอ็งไม่นับถือศาสนาก็เท่ากับเอ็งไม่มีที่อยู่ ไม่มีบ้าน ไม่มีประเทศของใจเอ็ง เหมือนร่างเอ็งตอนนี้นั่งกินเหล้าอยู่กับข้า ในกระต็อบริมสวนยางซึ่งคอยให้ฝนหยุดแล้วเอ็งกับข้าก็จะไปดูเบ็ดในป่าพรุข้างสวนยางด้วยกัน นี่ก็คือศาสนาของเอ็งถ้าเอ็งไม่มีเอ็งก็จะยืนตากฝนหนาวสั่นอยู่โน่น! ข้างนอก น้ำเหล้าในแก้วนี้ก็คือคำสั่งสอน เอ็งกระดกมันลงไปก็หายหนาว ใช่! ถึงเอ็งจะไม่มีนรกสวรรค์จริง แต่เอ็งก็จะเป็นผีเร่ร่อนอยู่ในความหนาวเย็นตลอดกาล ข้าว่าให้ข้าอยู่อย่างนั้นข้าสู้ลงนรกเสียดีกว่าว่ะ เอ็งนี่ความคิดไม่เข้าท่าเสียแรงไปเรียนตั้งไกล เงินทองก็เสียไปหลาย ยังจะให้ข้าสอนอีก เมืองหลวงเขาสอนเอ็งอย่างนี้เหรอวะ ที่เขาสอนว่าการหันหลังให้ศาสนานั้นจะไม่มีทางได้ขึ้นสวรรค์ก็จริง หันหลังในที่นี้คือไม่เชื่อฟังคำสอนของศาสดา ไปฆ่าคนบ้าง หรือเปลี่ยนไปนับถือลัทธิผีบ้าอะไรบ้างเอ็งก็ตกนรกแน่นอน ส่วนเอ็งจะนับถือศาสนาอะไรที่มันสอนให้เป็นคนดี เอ็งก็ได้ขึ้นสวรรค์ของศาสนานั้น ขึ้นชื่อว่าสวรรค์แล้วข้าว่าสวยงามทั้งนั้นละว่ะ แต่ต้องไม่ทำให้ใครเดือดร้อนนะ ข้าขอเตือนเอ็งหน่อยว่าอย่าพูดแบบนี้กับใครเขาโดยเฉพาะในวงเหล้าอย่างนี้ เดี๋ยวจะเป็นเรื่องเอา เรียนมาตั้งสูงก็น่าจะรู้อะไรเป็นอะไร
ผมพูดแบบนี้ในกลุ่มเพื่อนทุกคนก็เห็นงามกับผมนะ พวกมันเห็นดีกับผมด้วยว่าศาสนาน่ะกลายเป็นเครื่องมือหวังผลประโยชน์ของคนกลุ่มหนึ่งเสียแล้ว เอาผลบุญเรื่องนรกสวรรค์เข้ามาอ้างเพื่อจะกอบโกยเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง อย่างเวลามีงานวัดมัคนายกวัดก็ป่าวประกาศว่าบริจาคเงินเยอะๆ นะจะได้มีบุญเอาไว้มากๆ จะได้อยู่สุขสบายในสวรรค์หรือโลกหน้า แต่ผมว่าคนที่สุขสบายโดยไม่ต้องถึงโลกหน้าก็คือพวกมัน อย่างผมเคยอ่านประวัติเทวดาบางองค์เช่นพระอินทร์ เขาได้เป็นพระอินทร์เพราะว่าได้ไปสร้างศาลาริมทางไว้ให้คนที่เดินทางเหนื่อยได้พักผ่อนก็ได้ขึ้นสวรรค์แล้วไม่เห็นต้องทุ่มเงินมากมายอะไรเลย ขอแค่มีจิตใจอันบริสุทธิ์หน่อยเถอะ ผมเห็นบางคน คนโซเดินเข้ามาขอข้าวกินพอประทังความหิวมื้อเดียวยังขับไล่ แต่พอพระเดินมา โห! กราบไว้ถวายเท่าไหร่เท่ากัน แต่หารู้ไม่ว่าคนในผ้าเหลืองบางคนพอตกดึกหน่อยก็กลายเป็นหนุ่มเพลย์บอยหัวล้านไปโน้น ผลบุญที่ได้ทำบุญให้วัดผมเห็นมีแต่วัดนั่นแหล่ะเจริญเอาๆ โบถส์สวยเลิศ แต่ข้างๆ กุฏิขวดเหล้า บ้องกัญชาวางเกลื่อน
คนเขาทำแล้วสบายใจเราก็ปล่อยเขาไปเถอะ อีกอย่างใช่ว่าพระทุกรูปจะเป็นอย่างที่เอ็งว่า ข้าว่าฝนหยุดแล้ววะ เราไปเดินดูเบ็ดกันสักรอบกันดีกว่า เผื่อฝนตกมาอีก อย่างน้อยก็มีกับแกล้มไว้กินกันมั้ง ข้าเบื่อแกล้มที่เอ็งป้อนให้แล้ว มีแต่เรื่องอะไรก็ไม่รู้จะชวนข้าลบล้างศาสนาอย่างนั้นเหรอ เอ็งนี่พูดยังกะพวกกคอมมิวนิสต์ หรือเอ็งคิดว่าเราทำเพื่อส่วนรวมแล้วจะได้กุศลมากกว่าทำบุญกับศาสนา ความเชื่อของคนน่ะเข้าไม่ยุ่งเข้าหน่อยมันจะเป็นเรื่อง คนเลวมันจะกลายเป็นเอ็ง แล้วจะหาว่าข้าไม่เตือน
ผมคิดอย่างนั้นนะลุงเสริม ผมว่าเราช่วยคน ให้การศึกษาดีๆ ปลูกจิตสำนึกที่ดีๆ เอาไว้เริ่มตั้งแต่เด็กๆ ผมว่าไม่ต้องตายก่อนหรอกเราก็อยู่บนสวรรค์ได้
เอ้า! ยกสิวะ ไปกันข้าว่าฝนหยุดอย่างนี้เพื่อนเอ็งต้องรีบมาแน่มันคงไม่คิดหน้าคิดหลังอยู่หรอก เพราะนี่ก็ยังไม่ดึกมากนัก ขืนมัวช้าฝนตกมาอีก ข้าเห็นแต่ละคนเปรี้ยวปากกันทั้งนั้น แต่ข้าบอกก่อนนะข้ามีเพียงแค่นี้ถ้าหมดแล้วฝนยังตกมาอีก ก็ตากฝนไปหาซื้อกันเอง ข้าคอยกินอย่างเดียว
ดีเหมือนกันครับลุง จะได้มีแกล้มให้พวกมันด้วย ขืนมันมาแล้วไม่เห็นมีอะไรลุงจะเสียชื่อแย่เลย ว่าเป็นถึงมือวางอันดับหนึ่งเรื่องหาปลา แต่กลับไม่มีปลาให้กิน ปะไปกัน
ก็ลุกสิวะ
10 มกราคม 2550 10:55 น.
ใบคา
ตอน...เปิดเทอม
และแล้วฉันก็พบกับคำว่าสมหวังกับเขาสักทีหนึ่ง เพราะว่าฉันได้ศึกษาต่อมหาวิทยาลัยอย่างสมใจนึกแล้ว ทั้งๆ ที่ฐานะทางบ้านไม่เอื้ออำนวย ด้วยเหตุผลนี้เองจึงทำให้ฉันพบกับความผิดหวังเสมอมา
ความผิดหวัง
เป็นคำที่ฉันคุ้นมากกว่าคำว่ารัก ฉันไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม แต่ทุกครั้งที่ฉันมีความรักไม่ว่ากับใคร คนนั้นมักจะทำให้ฉันเสียใจเสมอ และเรื่องที่น่าเศร้าคือเขาคนนั้นมักจะเป็นเพื่อนสนิทของฉันเอง ชาติที่แล้วฉันคงทำบุญมาน้อย จึงต้องเป็นแบบนี้
ฉันเกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะที่ค่อนข้างจน แต่ฉันก็ไม่เคยท้อแท้กับมันแม้แต่ครั้งเดียว แต่ความจำเป็น ฉันต้องทำงานหนักเพื่อจุนเจือครอบครัว ทั้งๆ ที่เพื่อนบางคนได้เรียนหนังสืออย่างสบาย มีเวลาทำการบ้านอ่านหนังสือมากกว่าฉัน บางครั้งฉันก็นึกอิจฉาที่พวกเขาเกิดมามีฐานะดี ได้อยู่อย่างสบาย และมีครอบครัวที่อบอุ่น มันช่างแตกต่างอะไรกันเช่นนี้ทั้งๆ ที่อยู่บ้านใกล้กันแท้ๆ ยิ่งพี่สาวตัวดีของฉัน ถึงแม้ว่าจะแต่งงานมีลูกมีผัวไปแล้ว แต่ก็ยังทำตัวเป็นปลิงคอยดูดเลือดฉันอีก ไหนจะค่าใช้จ่ายในบ้าน ค่าน้ำค่าไฟ ฯลฯ ของคนในบ้านแล้วฉันจะต้องมารับผิดชอบกับค่าใช้จ่ายของครอบครัวพี่สาวตัวแสบ ฉันนี่ซวยจริงๆ ทั้งๆ ที่ยังเรียนไม่จบ ฉันไม่เคยคิดว่าจบแล้วจะได้เรียนต่อ เพราะฉันต้องรับผิดชอบค่าใช่จ่ายในการเรียนระดับปริญญาตรีทั้งหมด เนื่องจากพ่อกับแม่ส่งเสียได้แค่ระดับมัธยมศึกษาตอนปลายเท่านั้น แต่โชคยังเข้าข้างฉันอยู่บ้าง คงเป็นเพราะความดีจากความเพียรของฉันมั้ง ทำให้ได้รับทุนจนสามารถเข้าเรียนต่อในระดับปริญญาตรีได้ ฉันดีใจมาก และที่ดีใจมากกว่านั้นฉันจะได้อยู่กับเพื่อนรักต่อไป ไม่กี่วันชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยจะเข้ามาถึงแล้ว ฉันตื่นเต้นมาก เพราะจะได้ใส่ชุดนักศึกษาและใช้ชีวิตแบบผู้ใหญ่เสียที
************
ณ กรุงเทพมหานคร
ฉันเช่าห้องอยู่กับ ปอฟาง เพื่อนรักคนเดียวที่ไม่เคยทิ้งกัน ปอฟางเป็นคนที่เรียบร้อย จนบางครั้งออกจะซื่อบื้อด้วยซ้ำไป ขนาดฉันว่าฉันเป็นคนซื่อบื้อแล้วนะเนี่ย พอมาเจอ ยัยฟาง เข้า ฉันจึงรู้สึกว่าฉันฉลาดขึ้นเยอะเลย ฟางจัดว่าหน้าตาน่ารักทีเดียว แต่ยัยนี่ชอบทำตัวลึกลับไม่ค่อยคุยกับใครนอกจากฉัน จึงมักได้ยินเธอบ่นนี่บ่นโน้นให้ฟังอยู่บ่อยๆ บางครั้งก็ทำให้รำคาญไม่น้อย แต่กับคนอื่นเธอกลับเงียบ หนักไปทางขรึม จนทำให้คนอื่นเข้าถึงเธอไม่ได้ ถ้าเธอเปิดใจช่างคุยกว่านี้ ฉันรับรองได้เลยว่าเธอต้องป๊อบปูล่ามากๆ แต่ช่างมันเถอะเพราะยังไงฉันก็คิดว่าฉันหน้าตาดีกว่ายัยฟางตั้งเยอะ เพียงแต่อาจจะไม่ใช่อย่างคนอื่นเขาคิดกัน เลยไม่มีใครใคร่จีบฉัน
อืม...ฉันมั่นใจจริงๆ นะ
ฉันตื่นนอนแต่เช้ามืด ใช้เวลาหมกมุ่นอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งนานทีเดียว ก็กลัวนี่ว่าจะดูไม่ดี ขณะที่กำลังแต่งสวยอยู่เพลินๆ นี่เอง เสียงยัยฟางร้องลั่นว่า ตายแล้ว ดังลั่นทั่วห้อง ทำเอาสะดุ้งตกใจไม่ใช่เล่น
ฉันตกในถึงขนาดทิ้งเครื่องสำอางทั้งหมด แล้วรีบไปหา ยัยฟาง นี่เธอเป็นอะไรหรือเปล่า ร้องซะดังลั่นเชียว ฉันถามอย่างตระหนก แล้วสำรวจรอบๆ เตียงนอน ก็ไม่เห็นมีอะไร อาการตกใจก็เปลี่ยนเป็นโมโหทันที นี่ยัยฟางเธอเป็นอะไรของเธอย่ะ ร้องซะดังเชียว เธอรู้ไหมว่าฉันกำลังแต่งหน้าอยู่ตกใจแทบแย่ เกิดฉันไม่สวยขึ้นมาจะว่าไงหา!
เออคือว่า... ยัยฟางอ้ำอึ้ง
อะไรของเธอย่ะ นี่หรือว่าเธอละเมอใช่ไหม...หรือว่าฉี่รดที่นอนฮ่ะ บอกมาเดี๋ยวนี้ ว่าเป็นอะไร
ปอฟางหน้าซีด พูดตะกุกตะกักว่า คือ...ฉัน...ฉันละเมอน่ะ...โทษทีนะ
ฮึ! เธอเนี่ยนะเป็นอย่างนี้ทุกทีเลย ฉันต้องใช้สมาธิมากแค่ไหนในการแต่งหน้าเนี่ย รู้ไหม
ปอฟางลุกขึ้นนั่งกุมมือฉันแน่นแล้วทำหน้าซึ้งๆ เสียงอ้อนๆ ว่า ฉันขอโทษนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ...นะนะ
เจอลูกนี้เล่นเอาโกรธไม่ลงเหมือนกัน แต่เพื่อไม่ให้เสียฟอร์ม ฉันจึงทำแค่พยักหน้าให้เท่านั้น
แต่ว่านี่มันเพิ่งจะตี 5 เองนะ เมย์! เธอจะรีบแต่งหน้าแต่งตัวไปไหนของเธอเนี่ย บ้าหรือเปล่า
ฉันตื่นเต้นกับการเปิดเทอมมากไปหน่อยวันนี้ฉันเลยตื่นตั้งแต่ตี 4 อาจจะดูเว่อร์ๆ ไป แต่ฉันก็ตื่นเต้นจริงๆ นี่ ทำไงได้ล่ะ ฉันยิ้มแหยๆ ตอบกลับไปว่า ก็วันนี้มันเปิดเทอมไง เธอจำไม่ได้หรือไง ฉันก็ต้องตื่นแต่เช้าสิ เธอนั่นแหล่ะนอนขึ้นอืดอยู่ได้ ฉันตื่นตั้งตี 4 นะรู้ไหม
เธอจะบ้าเหรอ ตื่นตั้งแต่ตี 4 นี่นะ วันนี้มีเรียน 9 โมงนะ ตื่น 8 โมงก็ยังไปทันเลย มหาวิทยาลัยก็อยู่ใกล้ๆ แค่นี้เอง
เธอนั่นแหล่ะบ้า! ไปเรียนวันแรกก็ต้องไปก่อนเวลาสัก ชั่วโมง 2 ชั่วโมงสิ เพื่อได้รู้จัก ทักทายเพื่อนใหม่ๆ นี่เธอไม่คิดจะรู้จักกับใครเลยหรือไง เธอนี่มนุษย์สัมพันธ์แย่จัง ฉันแกล้งว่าไปงั้นแหล่ะ เพราะฉันก็ตื่นเช้าเกินไปจริงๆ ก็ถ้าไม่พูดอย่างนั้นยัยนี่ก็ต้องหาว่าฉันบ้าน่ะสิ เอ! หรือฉันบ้าจริงๆ นี่ เริ่มสับสนแล้วซี แต่คำพูดของฉันก็ทำให้ยัยฟางคิดขึ้นมานิดหนึ่ง ฮึ! ยังไงฉันก็เป็นต่อเธอวันยังค่ำแหล่ะ ยัยฟาง
แต่ฉันว่าไม่เห็นจะต้องตื่นตี 4 เลยนี่นา...เฮ้อ! งั้นก็ช่างเธอแล้วกัน ฉันง่วงนอน เชิญเธอแต่งตัวของเธอตามสบาย ปอฟางหาวฟอดใหญ่ แล้วก็ล้มตัวลงนอนเหมือนเดิม
ยัยบ้านี่ แล้วฉันก็กลับไปแต่งหน้าต่อ
************
เมย์! ไฟไหม้ ตื่นเร็ว...ไฟไหม้แล้ว
ฉันสะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงยัยฟางตะโกนข้างหู
โอ้ย! ยัยบ้า จะมาตะโกนเสียงดังข้างๆ หูฉันทำไมเนี่ย จะบ้าเหรอ
อ้าว! เธอไม่ตกใจเหรอ ไฟไหม้นะ ไฟไหม้
ฉันเอามือปิดหูขณะมองยัยฟางพูดและทำหน้าทะเล้นใส่ ทำไมต้องทำหน้าตาน่ารักใส่ฉันด้วย ฉันกำลังโมโหเธอนะ เกิดฉันหูแตกขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ
นี่ 8 โมงครึ่งแล้วนะ ไหนบอกว่าจะไปรู้จักเพื่อนใหม่ก่อนเวลาเรียนไง อิๆ ฉันตื่นมาก็เห็นเธอนอนหลับอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง จนฉันอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ เธอก็ยังไม่ตื่น ฉันเดินมาเรียกเธอก็ไม่ตื่น จึงต้องตัดสินใจตะโกนใส่เธอ มาโทษฉันได้ไง ฉันอุตส่าห์ปลุกเธอนะ ยัยฟางพูดงอนๆ
เรียกดีๆ ก็ได้นี่นา ฉันคิดว่าจะหลับนิดเดียวเอง อุ๊ย! ตายแล้ว รีบไปกันเลยดีกว่า พูดจบฉันก็กระชากมือยัยฟางออกมา วิ่งแจ้นไปที่มหาวิทยาลัยทันที
***************
นี่ๆ ยัยบ้า! เมื่อกี้เกือบโดนรถชนเลยนะ เธอจะรีบไปไหน เดินมาดีๆ ก็ทัน เธอนี่ท่าจะบ้า ยัยฟางบ่นตลอดทาง
เถอะน่า ฉันตัดความรำคาญ
พอถึงหน้ามหาวิทยาลัย ฉันเดินนำปอฟางไปที่ห้องเรียนอย่างรวดเร็วโดยไม่รอเธออย่างมั่นใจ ส่วนปอฟางนั้นเดินตามฉันมาอย่างเซ็งๆ ระหว่างทางขึ้นไปที่ห้องเรียน มีนักศึกษาหลายคนเดินสวนทางมา คนเหล่านั้นมองฉันอย่างตะลึง ก็แหม! จะไม่ให้ตะลึงได้ไงล่ะ เล่นตื่นมาแต่งหน้าตั้งแต่ตี 4 ถ้าไม่สวยก็ไม่รู้จะว่าไงแล้วล่ะ แถมยังมียัยหน้าจืดเดินตามฉันมาอีก ยิ่งทำให้ฉันดูโดดเด่น เหมือนเจ้าหญิงกับนางสนมยังไงยังงั้น ฉันยิ้มแต่พองามให้กับคนเหล่านั้น ดั่งกับเจ้าหญิงโปรยยิ้มให้กับข้าทาสบริวาร ช่างมีเสน่ห์อะไรอย่างนี้ ไม่นานเราก็มาถึงหน้าห้องเรียน ทันทีที่ฉันก้าวพ้นธรณีประตู เสียงจอแจในห้องก็หายไปทันที คงเหลือไว้แต่ความเงียบ และอาการตกตะลึง สักครู่เสียงก็กลับมาดังอีกครั้ง แต่หนนี้รู้สึกเหมือนว่าจะดังกว่าเก่า ฉันสังเกตุเห็นกลุ่มผู้ชายมองมาที่ฉัน แล้วก็หันไปซุบซิบพร้อมกับหันมาที่ฉันแล้วยิ้ม ทันทีที่เห็นรอยยิ้มจากหนุ่มๆ เหล่านั้น จิตใจฉันพองโตเหมือนกับมันจะล้นออกมานอกอกจนแทบเก็บอาการไว้ไม่ไหว ก็แหม! มีแต่คนหล่อๆ ทั้งนั้นเลยนี่ ฉันรู้สึกตื่นเต้นมากอย่างบอกไม่ถูก ถึงขนาดไม่กล้าเดินเข้าห้องไปคนเดียว ฉันหันไปหาเพื่อนรักก็ไม่ยักจะเจอยัยฟาง เอาล่ะสิหายไปไหนเนี่ย ฉันรู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก อาการใจสั่นก็ยิ่งรุนแรงขึ้น ทำยังไงดี ทำยังไงดีล่ะเรา
กว่าจะมาได้นะแม่เต่าน้อย ฉันประชดทันทีที่เห็นยัยฟางเข้ามาใกล้
โอ้ย! เหนื่อยนะ...ลิฟท์มีทำไมไม่ขึ้นฮ่ะ เธอบ่นพร้อมแลบลิ้นออกมา เหมือนหมาเหนื่อย
พูดมากน่า เร็วๆ เข้าเถอะ
ฉันเหนื่อยมากเลยนะ
ฉันรู้...แต่ถึงเวลาเรียนแล้วนะ
ปอฟางจ้องหน้าฉัน เงียบ...แล้วก็หัวเราะอย่างน่าเกลียด ดีนะที่เบา ไม่งั้นมาดสาวขรึมคงแตกกระจาย
ขำอะไรของเธอ ฉันดุ
ฉันว่า เราไปห้องน้ำกันก่อนดีกว่า แล้วเธอก็ลากมือฉันเข้าห้องน้ำทันที
ว้าย! ฉันร้องเสียงหลงเมื่อเห็นตัวเองในบานกระจก หน้าตาฉัน ก็หน้าตาฉันน่ะสิ มาสคาร่าไหลเยิ้มลงมาที่ขอบตา ดำยิ่งกว่าผีดิบเสียอีก ส่วนแป้งรองพื้นก็ลบเป็นจุดๆ ดูตลกอย่างน่าเกลียด ที่ปากก็เป็นคราบน้ำลายผสมกับลิปสติกดูน่าเกลียดจัง สงสัยเป็นตอนที่ฉันหลับไปแน่เลย ตายแล้วทำไงนี่ ฉันลนไปหมดแล้ว ทำอะไรไม่ถูกเลย แป้งพับก็ไม่ได้ติดตัวมาด้วยสิ ทำไงดีๆ ทุกคนก็เห็นฉันในสภาพนี้หมดแล้ว ทีนี้ฉันจะทำไงล่ะนี่
ไม่รู้จะทำยังไงฉันหาที่ระบายทันที ยัยปอ! เพราะยัยนี่คนเดียวทำให้ฉันต้องซวยอย่างนี้ ทำไมฉันต้องมาเจอแต่เรื่องแย่ๆ แบบนี้ด้วย นี่ยัยเพื่อนตัวแสบ ทำไมเธอไม่บอกฉันฮ่ะ ว่าหน้าตาฉันเป็นแบบนี้ ปอฟางหัวเราะอย่างบ้าครั่ง หัวเราะฉันแน่ๆ เลย เพื่อนกันทำกันได้ลงคอ ฮึ! คอยดูนะถึงคราวเธอฉันจะไม่เตือนบ้างคอยดู
ฉันทำหน้าเศร้าได้ผล ยัยปอ เงียบทำตาสำนึกทันที ฉันกำลังจะบอกเธอแล้วนะ โอ๋ๆ แต่เธอก็ฉุดฉันวิ่งมาเอง จนฉันไม่มีโอกาสได้เตือน ข้ามถนนก็เกือบจะโดนรถชนด้วยซ้ำ พอมาถึงเธอก็เดินลิ่วๆ ไป ฉันตามก็ไม่ทัน ไม่รู้จะรีบไปไหน ขึ้นมาก็เหนื่อยแทบแย่ นี่ก็รีบบอกแล้วนะ ฮึ! ทำคุณบูชาโทษแท้ๆ
ขอบใจจ้า ฉันประชด โอ้ย! ฉันอุตส่าห์วาดภาพไว้ซะสวยหรู ว่าวันนี้ฉันจะต้องโดดเด่นกว่าใครๆ แต่ดูสิ ฮือๆ
โอ๋ๆ วันนี้เธอก็ดูโดดเด่นแล้วไง ใครว่าเธอไม่เด่น พูดจบปอฟางก็หัวเราะขึ้นมาอีก
นี่เธอหัวเราะอะไรนักหนา ปอฟางหยุดหัวเราะแล้วส่งกระดาษทิชชู่ให้ฉันเช็ดหน้าตาอันทุเรศของฉัน ฉันรีบล้างหน้า และเช็ดคราบต่างๆ ออกจนหมดสิ้น
ปอฟางยืนดูแล้วยิ้มให้พร้อมกับเอ่ยชม เธอนี่ไม่ต้องแต่งหน้าก็น่ารักดีออก จะตื่นมาแต่งหน้าทำไมก็ไม่รู้ตั้งเช้ามืด เชื่อเขาเลย ประโยคสุดท้ายเธอกล่าวอย่างเอือมระอา
เชอะ! เรื่องนั้นมันแน่อยู่แล้ว ฉันมันสวยแต่กำเนิดย่ะ ไม่ต้องมาพูดดีเลยนะ แทนที่จะเตือนกันบ้างไม่มีเลยนะ ฉันยังงอนอยู่
เถอะน่า รีบไปเรียนกันเถอะนะ เดี๋ยวเกิดอาจารย์เข้าล่ะก็คราวนี้เธอเด่นอีกครั้งแน่ๆ ยัยฟางตัดบท แล้วเดินนำหน้าฉันไปห้องเรียน
พอถึงหน้าห้องฉันก็พยายามก้มหน้า เผื่อว่าคนอื่นจะจำฉันไม่ได้ ก็ตอนแต่งหน้ากับไม่แต่ง หน้ามันต่างกันจะตายไป พวกนั้นเห็นฉันแป๊บเดียวคงจำไม่ได้หรอกหน่า ฉันกับปอฟางเลือกที่นั่งโต๊ะแถวท้ายๆ พอนั่งปุ๊บเพื่อนโต๊ะข้างๆ ก็เข้ามาทักฉันทันที ถ้าไม่เกิดเรื่องเมื่อกี้ขึ้นฉันคงรู้สึกดีกว่านี้แหล่ะนะ แต่ตอนนี้ฉันรู้สึกว่าไม่อยากคุยกับใครเลยจริงๆ ให้ตายสิ ทักทำไมเนี่ย
สวัสดีจ๊ะ เธอชื่ออะไรเหรอ ฉันชื่อแป้งนะสาวคนผมหยิกทักฉัน
สวัสดี ฉันเมย์แล้วนี่เพื่อนฉันปอฟางจ๊ะ
ยินดีที่ได้รู้จักเธอทั้ง 2 คนนะ นี่เพื่อนฉัน จุ๋ม นัด แอน เธอพูดพร้อมกับหันไปแนะนำเพื่อนในกลุ่ม
ฉันรู้สึกหมั่นไส้ยัยนี่จัง ทำไมต้องทำเสียงดัดจริตอย่างนั้นด้วย แล้วดูแต่งตัวสิ รัดติ้วซะขนาดนั้น ดูกระกระโปรงสิสั้นจุ๋ดจู๋ เอ! ไม่ใช่สิ ต้องสั้นจุ๋ดจิ๋มถึงจะถูกก็หล่อนเป็นผู้หญิงนี่ ยังไงก็ช่างเถอะเป็นอันว่าสั้นขนาดฉันเองก็ตกใจก็แล้วกัน หน้าก็จัด คิดว่าสวยตายล่ะ ยัยลิงทั้ง 4 เอ๋ย ถ้าพวกหล่อนไม่แต่งหน้า หน้าตาจะเป็นไงน้า
ขณะที่ฉันนินทาและคิดอะไรเรื่อยๆ อยู่นั้น แป้งก็พูดขึ้นมาอีกว่า เธอไปลบหน้าแล้วเหรอ เมื่อกี้พวกเราตกใจหมดเลย แหม! เธอนี่ตลกดีนะ กล้าแต่งแบบนั้นมาด้วย โดดเด่นไปเลย พูดจบพวกเธอก็หัวเราะขึ้นมาอีก
เธอพูดถึงอะไรเหรอ ฉันงงไปหมดแล้ว เมื่อกี้นี้พูดถึงฉันหรือเปล่า แผนของฉันได้ผล พวกนั้นหยุดหัวเราะทันที พร้อมกับทำหน้างงๆ
ทันใดนั้นแอนก็พูดขึ้นว่า ก็เมื่อกี้คนที่แต่งหน้าจัดๆ มาสคาร่าเยิ้มๆ ไม่ใช่เธอเหรอ ฉันจำได้นะเธอนี่แหล่ะ
ฉันทำหน้างง ทำแบบว่าไม่รู้เรื่องที่พวกนี้พูดกัน อะไรของเธอเหรอ ฉันเพิ่งเข้ามาเมื่อกี้เองนะ เธอพูดถึงเรื่องอะไรกันเหรอฉันงงเหมือนกันนะเนี่ย ฉันดัดเสียงเลียนแบบแป้ง
ก็มีคนหน้าตาเหมือนเธอมากๆ เลย แต่แต่งหน้าตลกๆ เดินมาก่อนเธอสัก 10 นาทีได้มั้ง ไม่ใช่เธอเหรอ งั้นฉันก็ขอโทษด้วยจริงๆ นะ แป้งพูดพร้อมกับทำหน้าสำนึกผิด แต่แววตากำลังซอกซอนเข้ามาในสายตาฉันเหมือนค้นหาอะไรบางอย่าง
ฉันทำหน้าใสซื่อพร้อมกับพูดว่า ไม่เป็นไรจ๊ะ ทันใดนั้นเสียงเพื่อนๆ ก็เงียบลง และพวกเราก็เงียบทันทีที่อาจารย์เดินเข้ามาในห้อง