17 ธันวาคม 2548 09:41 น.
ใบคา
พ่อเลี้ยงใจยักษ์
ขืนใจลูกเลี้ยง
นานนับ ๕ ปี
เธอวางหนังสือพิมพ์แปะลงบนโต๊ะไม้เล็กๆ ภายในร้านกาแฟทันที ที่อ่านพาดหัวข่าวของหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง พร้อมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนที่จะบ่นพึมพำ แล้วจึงค่อยๆบรรจงโน้มหน้านำปากอันแตกและแห้งกรานอันเนื่องจากปราศจากการตกแต่งจากเครื่องสำอางแต่อย่างใด เธอเผยอ ริมฝีปากอันแห้งกรานนั้นคาบหลอดกาแฟปั่น อย่างช้าๆ ในร้านกาแฟที่เธอมักจะมานั่งสั่งกินประจำทุกๆวัน หลังจากที่ตื่นนอนในบ่ายแก่ๆย่ำเย็นไปค่อยข้างมากปล่อยใจและสิ่งต่างๆให้ผ่านจมหายไปในสายตาและโสตประสาทขังมันไว้อย่างนั้นโดยที่มีรสขมอมหวานของกาแฟปั่นที่เคลื่อน
จากหลอดพลาสติกเข้าสู่หลอดคอเป็นตัวช่วยกระตุ้นเป็นระยะๆ
จริงๆแล้วเธอก็อยากจะใช้ชีวิตประจำวันเหมือนหลายล้านคนเขาทำกัน และเธอก็อยากจะตื่นเช้าเหมือนกับหลายๆคนที่เขาทำหรือเป็นกัน อยากตักบาตรตอนเช้า อยากนอนตั้งแต่หัวค่ำให้ร่างกายพักผ่อนในยามค่ำคืนได้อย่างเต็มที่ เฉกเช่นสังคมรอบๆข้างเธอเป็นกัน แต่นั้นมันก็เป็นเพียงความต้องการที่มักจะแย้งกับความเป็นจริงอยู่เสมอ เพราะว่าขณะที่คนเหล่านั้นเขาตื่นนอนกัน เธอเพียงแต่จะเริ่มนอนเท่านั้น และในขณะที่เขาตักบาตรกัน เธอก็เคลิ้มหลับไปแล้ว
เธอหยิบหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นขึ้นมาอ่านดูพาดหัวอีกครั้ง ในใจคิดเพียงแต่ว่าทำไมสังคมเราช่างแหลกเหลวได้ถึงเพียงนี้ ข่าวข่มขืนกระทำชำเรามีมาดาหน้าจ่อแถวรอคิว เหมือนกับเด็กน้อยเข้าแถวรออาหารกลางวันอยากใจจดใจจ่อ เข้าแถวเพื่อจะนำตัวเองมาปรากฏกายเป็นพาดหัวตัวใหญ่ในหน้าหนังสือพิมพ์รายวันได้เขียนได้พิมพ์กันอย่างไม่มีจบสิ้น เธอได้แต่เพียงปล่อยให้ความคิดหยุดนิ่งเพียงเท่านี้ ด้วยรสกาแฟปั่นอึกใหญ่เต็มๆคำ หยุดด้วยอาการเสียวฟัน ทันทีที่เกร็ดน้ำแข็งปั่นมาออกันเต็มปากเธอ และหยุดด้วยคำถามในใจว่า ทำไม!
ทำไม! ทำไมสังคมไทยจึงเป็นเช่นนี้ ทำไมพระเจ้าจึงสร้างให้ผู้หญิงอ่อนแอกว่าผู้ชายและสร้างให้เกิดมาเป็นเครื่องเล่นของผู้ชาย มันช่างเป็นเรื่องที่ไม่มีความยุติธรรมเอาเสียเลย หากว่าวันใดเธอได้ลาจากโลกนี้ไปไม่ว่าด้วยสาเหตุและวิธีใดก็ตาม เธออยากจะเจอพระเจ้าอีกสักครั้ง (หากว่าพระเจ้ามีจริง) และเธอจะถามพระเจ้าด้วยข้อข้องใจของเธอนี้เพื่อให้คำว่า ทำไม! หายไปจากเธอเสียทีแต่ถ้าหากว่าเธอตกนรกละ เธอจะได้เจอพระเจ้าหรือเปล่า แต่คงไม่เป็นไรมันต้องมีสักวันหนึ่งละที่พระเจ้าต้องมาเที่ยวนรกบ้าง แล้ววันนั้นเธอก็จะได้สางความสงสัยเสียที
หนังสือพิมพ์ถูกหยิบแล้ววาง วางแล้วหยิบ อ่านเฉพาะพาดหัวข่าว ๓ บรรทัดนั้นกลับไปกลับมา โดยที่ไม่ต้องการอ่านและรับรู้เนื้อหาข้างในเพิ่มอีก เพียงเท่านี้มันก็ทำให้เธอรู้สึกหดหู่ใจมากพออยู่แล้ว รู้สึกเศร้าสลดใจ รู้สึกเข้าไปถึงในอดีตครั้งที่ยังเยาว์วัยอายุเพียง ๑๔ พองามๆ
เธอเพียงแค่บ่นพึมพำกับตัวเองว่า ก็ยังถือว่าดี ดีอย่างไรคนถูกข่มขืนนานนับหลายๆปีเธอยังมีรอยยิ้มแบบยิ่งๆแถมความเห็นใจปนอยู่ในรอยยิ้มนั้น
ก็ยังถือว่าดีในความรู้สึกของเธอต่อเด็กน้อยในพาดหัวข่าวครั้งนี้ก็ยังนับว่าเด็กคนนั้นยังโชคดีกว่าเธอมากนัก ดีกว่าในแง่ของความรู้สึก ในแง่ของความนับถือและศรัทธา เด็กน้อยคนนั้นถึงแม้ว่าจะโดนข่มขืนจากพ่อเลี้ยงเป็นเวลานานแต่เหตุการณ์อย่างนั้นแต่ก็เคยประสบพบเจอมาเช่นกัน แต่เนื่องด้วยระยะเวลาและความกร้านโลกเป็นได้แปรสภาพตัวของมันเองเป็นเตาหลอมตัวใหญ่หล่อหลอมให้เธอไม่รู้สึกกับมันเสียแล้วเหมือนกับมันไม่เคยเกิดขึ้นกับเธอเลยในชีวิตนี้ ทำให้อดีตที่โหดร้ายต้องยอมจำนนเป็นได้แค่เพียงฝันร้ายในคืนหนึ่งของเธอ ด้วยความร้ายกาจนั้นทำให้เธอต้องสะดุ้งเฮือกตื่นขึ้นมาด้วยเหงื่อดันแตกพรัก และหายไปกับความแห้งระเหยของเหงื่อแห่งความน่ากลัวนั้นและช่วยย้ำดับความน่ากลัวนั้นลงไปด้วย ยานอนหลับอีก ๒ เม็ด ตามด้วยน้ำเปล่าเต็มแก้วก่อนจะล้มตัวลงนอนต่อไปเพื่อต้อนรับเย็นของวันใหม่
แม้ฝันร้ายอันนั้นจะโบกมือลาเธอไปอย่างถาวรแต่ทว่าความทรงจำยังไม่เคยตามฝันร้ายนั้นไปด้วยเลย มันยังคงแวะมาทักทายเธอทุกครั้งที่รู้สึกว้าเหว่เหมือนจะคอยเตือนเธอว่าอย่างน้อยเธอก็ยังมีมันเป็นเพื่อนอยู่ เธอยังคงทักทายกับความทรงจำของฝันร้ายนั้นต่อไปภายในร้านกาแฟถึงลูกค้าจะเข้าออกมากน้อยเพียงใดหรือจะมีคนทักทายเธอแต่เหตุการณ์เช่นนี้ก็ไม่อาจทำให้เธอไล่ความทรงจำนี้ออกไปเหมือนกับว่าเธอยังต้องการสนทนากับเพื่อนคนนี้ต่อไป
กาแฟปั่นพร่องไปกว่าครึ่งแก้วแล้ว ในขณะที่เธอกำลังขุดคุ้ยความทรงจำของฝันร้ายนั้นขึ้นมาจากเบื้องลึกของหัวใจโดยมีพาดหัวข่าวตัวใหญ่ ๓ บรรทัดนั้น เป็นจอบและเสียมอย่างเยี่ยมให้เธอใช้ขุดคุ้ยได้โดยไม่เปลืองแรงแต่อย่างใด ก็ยังถือว่าดี กลับเข้ามาช่วยเธอขุดคุ้ยด้วยอีกแรง ก็ยังถือว่าดีในความหมายที่นิยามจากความรู้สึกของเธอนั้น มันช่วยบอกเธอว่า เมื่อเทียบกับเธอแล้ว ยังดีที่ปีศาจร้ายในคราบของมนุษย์นั้นเป็นเพียงบิดาภายในนามมันจึงได้เพียงสร้างตราบาปให้กับเด็กสาวคนนั้น แค่ความรู้สึกจากการถูกแย่งชิงของรักของหวงโดยที่ไม่เต็มใจ ตราเข้าไปในจิตใจแม้จะลึกเพียงใด เมื่อปล่อยให้เวลามาชะล้างออกไปก็จะหายไปเองโดยอัตโนมัติ เหมือนกับรอยคราบสกปรกบนสิ่งของอันเกาะแน่นเมื่อใช้แรงน้ำฉีดเข้าไปนานๆก็อาจจะหลุดออกไปได้
และ..ความรู้สึกเช่นสาวน้อยคนนั้น เธอก็เคยรับรู้มาไม่ต่างกัน มิหนำซ้ำยังจะมีมากกว่าด้วยเพราะเหตุการณ์ของเธอมันมรความรู้สึกที่เข้มข้น เข้มข้นเหมือนเลือดที่โดนมีดเฉือนเนื้อเป็นแผลหยดลงมาเป็นสาย โปรยปรายเหมือนสายฝนที่กระทบกับหลังคาและพากันไหลลงมาตามร่องของกระเบื้องหลังตกลงมาเป็นสาย น้อยบ้างมากบ้างตามกระแสของฝน และการกักเก็บน้ำของร่องกระเบื้องบนหลังคา มันคือเลือดและเนื้อที่สร้างเธอมา คือมนุษย์ในร่างแฝงของจอมปีศาจ คือบุพการีผู้ให้กำเนิด และผู้ทำลายให้ป่นปี้ไปในตัว
เธอโดน พ่อบังเกิดเกล้าข่มขืนมานานหลายปี พอๆกันกับระยะเวลาของเด็กหญิงในพาดหัวข่าวนั้นโดยที่มีแม่รู้เห็นเป็นใจ
ทำไมทำกับหนูอย่างนี้ หรือหนูไม่ใช่ลูกแท้ๆคำถามอย่างนี้เคยกรูกันออกจากปากของเธอหลายต่อหลายครั้งแต่คำตอบที่ได้กลับทำให้เธอต้องช้ำใจหนักหลายเท่าตัว มึงเป็นลูกกู กูให้มึงเกิดมา กูจะทำอย่างไรก็ได้ แต่ได้แต่รำพึงแค่ว่าหากรู้ว่าจะต้องเกิดมาเป็นลูกของสังคมเช่นนี้จะไม่ขอเกิดมาแน่เลย
และ..ทุกครั้งที่บ้านมีงานเลี้ยงเธอมักจะต้องเป็นผู้ต้อนรับ พวกเพื่อนๆของพ่อเธอภายในห้องของเธอโดยที่พวกผู้ใหญ่นั้นพลัดเปลี่ยนกันเข้าทีละคนทุกครั้งหลังจากที่ทุกคนเมามายได้ที่แล้วจึงทำให้เธอรู้สึกว่างานเลี้ยงที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะนั้นมันช่างไม่น่า โสภาเลยสำหรับเธอ
ทำไมทำกับหนูอย่างนี้ หรือหนูไม่ใช่ลูกแท้ๆ หลังจากงานเลี้ยงเลิกราและหลังจากเธอต้อนรับเพื่อนพ่อและพ่อเอง แล้วคำถามนี้มักจะตามมาเสมอและคำตอบนั้นก็เป็นอย่างเคย เธอได้แต่เพียงโทษฟ้า โทษดิน และโชคชะตา ก้มหน้ารับกรรมที่เธออาจจะเป็นคนก่อไว้แต่ชาติปางไหน ก้มหน้าทดแทนบุญคุณที่ ผีห่า ซาตาน ให้เธอกำเนิดมาอย่างระทมทั้งกายใจ จนกระทั่งเธอสามารถรับรู้ด้วยวัยอันแข็งแกร่งทางด้านความคิดและแรงกายรับรู้ได้ว่า ไม่ว่าฟ้าหรือดิน หรือโชคชะตาไม่อาจขีดเขียนเส้นชีวิตเธอได้หรือแม้แต่บุพการีก็ไม่มีสิทธิ์มาวาดขีดเส้นเธอได้
เธอยังจำได้ดีที่ เธอสามารถทำให้ตัวเองเป็นบุคคลสูญหายจากครอบครัวจำแลงจากภูตผีนั้นได้ มาหางานทำในเมืองอันศิวิไล ด้วยค่าเดินทางเพียงพันต้นๆ โดยทิ้งอดีตที่ข่มขืน ขมจนไม่อาจจะทนกลืนกินลงไปได้อีกแล้วทิ้งมันไปคู่กับคำด่า คำสาปแช่งคำตัดเยื้อไย ของผู้ให้กำเนิดทั้งสองของเธอ แต่คำเหล่านั้นกลับเป็นเหมือนดั่งคำอวยพรจากสวรรค์มอบแต่เธอ
เธอได้งานทำได้ชื่อใหม่จาก แมวเป็น แคท ในเมืองหลวง ได้หนีจากการถูกกระทำที่เธอไม่ต้องการ ได้งานที่เธอได้เลี้ยงปากท้องเป็นงานสบายๆ และได้ยืนหยัดเพียงลำพัง เพราะไม่อยากให้ไอ้ตัวน้อยของเธอ เป็นอย่างเธอหรืออย่างเด็กในพาดหัวข่าว
กาแฟปั่นเหลือเพียงเกร็ดน้ำแข็งจืดชืด ซึ่งเธอได้ดูดกินไปพร้อมๆกับอดีตที่เธอระลึกจนหมดรสชาติ ทั้งรสกาแฟและอดีตต่างก็ขมทั้งคู่แต่ทั้งคู้นี้ก็มีสิ่งที่ทำให้หายขมได้ด้วยกัน กาแฟเติมครีมน้ำตาลลงเป็นใช้ได้ ส่วนอดีตนั้นเติมอนาคตและปัจจุบันลงไปก็หายสิ้น....กาแฟหมดแต่เออยากได้มันอีกจึงชูมือ เอ่ยปากสั่งเจ้าของร้าน เพียงแค่ริมฝีปากเริ่มเพยอออกมาเท่านั้นเอง เสียงที่เธอคุ้นเคยก็พลันมาขัดเสียก่อน
อี แคท เย็นแล้วนะโว้ย ไม่รีบเข้าร้านไปแต่งตัวอีกเดี๋ยวแขกมา ไม่ทันบริการเขา แม่ก็ด่าอีกหรอก เสียงเพื่อนของเธอตะโกนออกมาเรียกจาก ร้านคาราโอเกะข้างๆเธอได้ยินแต่ทำเฉยไม่สนใจ จนเจ้าของเสียงนั่นต้องเดินหนีไปและเธอก็เริ่มชูมือเรียกเจ้าของร้านต่อไป
เก็บตังค์คะ
*****
16 ธันวาคม 2548 14:37 น.
ใบคา
ยามเช้าของเดือน ตุลาคม เดือนที่สายฝนยังโปรยปรายเป็นสายบ้างเป็นห่าบ้างแล้วแต่อารมณ์และความพอใจของเทวดาแต่ไม่เคยทิ้งช่วงห่าง
เกิน ๓ วัน แสงอาทิตย์แทงกลีบเมฆดำที่เกาะกลุ่มกันอย่างหนาแน่นมาตั้งแต่เดือนที่แล้วโดยไม่มีทีท่าว่าจะคลายความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แสงอาทิตย์ที่เล็ด
ลอดออกมาได้ก็พอจะช่วยขับไล่ความเปียกชื้นไปได้บ้างเล็กน้อย เด็กวัดเดินตามเณร เณรเดินตามพระ ออกบิณฑบาตรแล้วตั้งแต่เช้ามืด เสียง หมาเห่าหอน
ตั้งแต่ก่อนที่พระยังไม่ออกบิณฑบาตร มันเป็นหมาที่สั่งเข้ามาเลี้ยงจาก ญี่ปุ่นเห่าหอนได้ไม่เลือกเวลาข้าวก็ไม่กิน กินแต่เบนซินเป็นอาหารหลักและน้ำมัน
เครื่องเป็นอาหารเสริมที่สำคัญมันไม่รู้ด้วยว่าใครคือเจ้าของมัน มันถูกเจ้าของสั่งให้ลากเลื่อนออกไปตลาดเพื่อซื้อของมาเตรียมขายในร้านขายของตรอกเล็ก
ซอยน้อย
ในยามเช้าที่แสนจะวุ่นวายของผู้คนในอำเภอเมืองอันไกลปืนเที่ยงแห่งนี้ "ลัดดา" สาวน้อยจากเมืองหลวงผู้หลงไหลกลิ่นไอ ของชนบทเดิน
ออกมาจากซอยเล็กๆข้างโรงพยาบาล ลัดเลาะซอกตึกร้านเรือนซึ่งมีความสูงไม่เกิน ๓ ชั้นมุ่งหน้าสู่ ศูนย์เยาวชนอันเป็นสถานที่ออกกำลังกายของคนเมือง
นี้ มีถนนกั้นรอบรั้วของศูนย์อีกริมฝากถนนนั้นเป็นตึกรวงซึ่งนั่นก็มีความสูงเพียง ๓ ชั้นเช่นเดียวกัน
นี่เป็นเช้าที่ ๓ แล้วที่เธอมาออกกำลังกายในสวนแห่งนี้ ที่ๆเป็นที่เล่นกีฬาของกลุ่มเยาวชน อันซึ่งรัฐบาลจัดให้และใช้ชื่อเรียกว่า "ลานกีฬาต้าน
ยาเสพย์ติด" แต่รู้จักในนามของกลุ่มวัยรุ่นว่า "ลานกีฬาพร้อมยาเสพย์ติด" เพราะเมื่อเล่นกีฬาเสร็จไม่เกาะกลุ่มกันกินเหล้าต่อก็นั่งบ่นควันอยู่ริมสนามจน
ชินตา แต่ตอนเช้าอย่างนี้ก็กลายเป็นที่ออกกำลังกายของวัยกลางคนเพราะวัยรุ่นนั้นกลัวว่าตื่นขึ้นมาแล้วจะไม่มีอะไรจะให้กินเลยต้องนอนกินบ้านกินเมือง
ไปก่อนเพราะอย่งน้อยตื่นขึ้นมาก็ไม่ต้องตาลีตาเหลือกหาของกินอย่างไม่ลืมหูลืมตา
ลัดดา ชอบเมืองนี้มากและนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกของเธอที่เดินทางมาพักผ่อนที่นี่ เธอจะมาพักผ่อนและเยี่ยมพี่ชายทุกๆปิดภาคเรียนเนื่องจากพี่ชาย
ของลัดดา เป็นหมออยู่ ณ ที่แห่งนี้ ที่ๆไกลความเจริญทั้งๆที่เป็น อ.เมืองแต่ก็ยังเล็กกว่าตำบลหรือเขตของกรุงเทพฯหลายเท่าโดยไม่ฟังเสียงค้านของแม่พ่อ
แม้แต่น้อยและโดยสาเหตุอันใดนั้น "ลัดดา" ก็ไม่อาจทราบได้นั่นเป็นเพราะว่าความเป็นคนเงียบขรึมของพี่ชายนั่นเอง ลัดดา ชอบที่เมืองไร้คนยากไร้คนรวย
เพราะแทบทุกคนมีฐานะไม่ต่างกันนักถึงจะมีคนรวยอยู่บ้างแต่นั่นก็ช่วยเหลือกันดี ไม่มีขอทานที่ทำให้ ลัดดา ต้องควักกระเป๋าควานหาเศษเหรียญออกมาให้
เป็นประจำเหมือนอยู่เมืองหลวงทั้งๆที่รู้ว่าขอทานพวกนี้มีนายหน้าอยู่เบื้องหลังแต่เนื่องด้วยความใจอ่อนรักเพื่อนมนุษย์ของเธอจึงไม่อาจปฏิเสธคำร้องขอนั้น
ได้
ยามเช้าอย่างนี้การออกกำลังกายที่ดีคงหนีไม่พ้นกายวิ่งเหยาะๆและมันก็เหมาะกับร่างกายของเธอสาวน้อยจากรั้วมหาวิทยาลัยมีชื่อแห่งหนึ่งของ
เมืองหลวงซึ่งเหลือเวลาในนั้นเพียงปีเดียว หลังจากนั้นเธอก็คงวิ่งแจ้นหาชนบทที่ห่างไกลเพื่อสานต่ออาชีพครูของเธอ
ทุกๆเช้าที่ผ่านมาทุกอย่งเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะเป็นจำนวนคนที่น้อยบ้างมากบ้าง สีเสื้อที่ใส่ของแต่ละคนก็เปลี่ยนกันอยู่ทุกวัน เมื่อวานป้าคนหนึ่ง
ใส่เสื้อสีเหลืองแต่ทว่าวันนี้ใส่เสื้อสีขาว เมื่อวานมาคนเดียวแต่วันนี้กลับมากับหลานบ้าง ไม่มีใครที่ทำอะไรซ้ำๆแม้กระทั่งตัว ลัดดา เองก็ยังแต่งตัวไม่ซ้ำวัน
เช่นกัน แต่นั่นก็เป็นการกระทำของคนส่วนใหญ่
ชายชราคนหนึ่งนั่งอยู่ที่ม้านั่งข้างสนามบอลให้ต้นไม้ใหญ่ ด้วยเสื้อลายสก็อตกางเกงลูกฟูกขายาวขาดริ่ว ท่าทางซอมซ่อ จากการสังเกตุของ ลัดดา
ลุงคนนี้ทั้งท่าทางการนั่งเครื่องแต่งกายไม่เปลี่ยนไปเลยตลอดระยะเวลา ๓ วันที่ลัดดามาใช้บริการลานวิ่งข้างสนามฟุตบอลแห่งนี้
"สวัสดีค่ะ" ลัดดา ปล่อยให้ความสงสัยหยุดแค่นั้นเดินเข้าไปทักทายทันที
คำตอบรับที่เธอได้คือความเงียบ
เธอไม่สนใจว่าคำตอบรับที่ได้จะเป็นอย่างไร ลัดดา เข้าไปนั่งใกล้ทันที
"โทษนะค่ะ ! หนูเห็นลุงมานั่งตรงนี้ทุกวันเลยคอยใครหรือเปล่าค่ะ"
เหมือนเดิมคำตอบที่ได้คือความเงียบ
ไม่ว่าเธอจะชวนคุยอย่างไรก็ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาจากปากของชายชราคนนั้นเลยแม้แต่น้อย จน ลัดดา ไม่รู้จะขุดเอาคำพูดอะไรมาชวนคุยอีก
เธอก็นั่งเงียบไปสักพัก ไม่ช้าท้องฟ้าก็มืดครึ้มฝนตั้งเค้าจะตกลงมาแต่แปลกที่ไม่มีลมโกรก ผู้คนก็ไม่มีใครแตกตื่นหนีฝนกัน ลัดดาจึงไม่สนกับเหตุการนั้นเมื่อ
นั่งอยู่ครู่หนึ่ง ลัดดา ก็จนปัญญาจึงลุกขึ้นขณะที่ชันตัวยืนขึ้นนั้นหน้าของเธอก็ค่อยๆเงยขึ้นพร้อมกับการชันตัวท้องฟ้าที่ทำท่าจะมืดครึ้มเมื่อไม่นานมานี้พลัน
ดำสนิททำให้ ลัดดา งงอยู่พักใหญ่เธอหันไปมองชายชราข้างก็ไม่มีไม่รู้หนีฝนไปตั้งแต่เมื่อไหร่เธอยกมือทั้งสองขึ้นขยี้ตาครั้งหนึ่งเพื่อให้แน่ใจว่าเธอไม่ได้
หน้ามืดตาลายไปเอง
ทันทีที่ ลัดดา ลืมตามองดู ที่ๆเธอยืนอยู่กลับไม่ใช่ที่เดิมแล้วไม่มีตัวเธอไม่มีใครมีแต่ป่ารกร้าง ฝัน! จิตสำนึกแรกที่โพล่งเข้ามาในตัวเธอ
"เอาจริงๆหรือ" เธอรีบหันมองไปตามเสียงทันที่ ภาพที่เธอเห็น เป็นภาพชายวันรุ่น ๒ คนกำลังนั่งคุยกันอยู่ในกระท่อมกลางป่า
"เฮ้ย!" เสียงแรกย้ำเรียกหาคำตอบหลังจากที่ไม่ได้รับคำตอบจากเพื่อน
"แน่นอน" เสียงชายใส่เสื้อลายสก็อตกางเกงลูกฟูกขายาวใหม่เอี่ยมตอบ
"มันหยามกูมากเลยนะเว้ยไอ้ ดำ มันข่มขืนเมียกูแล้วยังเอาไปขายต่ออย่างนี้จะให้กูทำไงว่ะ มันจ้างเราไปเก็บคู่อริให้แต่พอ ให้น้อยเมียกูไปทวง
เงินมันกลับทำอย่างนี้มไมันก็กูต้องตายกันไปข้างล่ะ" เขาตอบด้วยความเครียดแค้น
หลังจากตั้งใจฟังอยู่นาน ลัดดา จับใจความได้ว่าทั้งคู่เป็นมือปืนและได้รับงานฆ่าคนให้กับนายจ้างแต่ต้องหลบตำรวจจึงส่งให้เมียไปรับเงินค่าจ้าง
ที่เหลือแทน
ทันใดทั้นเองรามศูรก็พลันทำขวานหล่นลงมาเป็นสายฟ้าผ่าจ้าไปหมด ทำให้ ลัดดา มองอะไรไม่เห็นอีกเมื่อหายจากอาการแสบตาจากแสงฟ้าผ่าฟ้า
แลบภาพที่ลัดดาเห็นคือ ชายผู้สวมเสื้อลายสก็อต กับ นายดำเพื่อนของเขากำลังใช้ปืนลูกโม้จ่อขนับคนๆหนึ่งอยู่ในห้องนอนโดยที่ทั้งคู่ไม่รู้เลยว่าหลังบ้านนั้น
มีวงเหล้าของลูกน้องเจ้าพ่อคนนั้นตั้งวงกันอยู่นับ ๑๐ คน
"มึงรู้ไหมกูเป็นใคร" ชายชุดสก็อตถามเบาๆแบบกัดกรามถาม
"ใคร" เสียงเสี่ยตอบมาเบาๆ
โป้ง!
"ชาติ" เขาบอกชื่อ "คนที่มึงเอาเมียมาทำของเล่นไง"
"ไป ดำ" ชาติ ชวนเพื่อนออกไปอย่างช้าโดยไม่ทิ้งนิสัยโจรที่จะต้องหยิบของมีค่าติดไม้ติดมือไปด้วย
แต่ช้าเสียแล้ววงเหล้าหลังบ้านได้ยินเสียงปืนรีบแห่กันมาดูเห็นทั้งคู่กำลังหนีออกจากบ้านไปทางป่าละเมาะหน้าบ้าน
เปรี้ยง!
เสียงลูกซอง แฝดดังตามหลังทันทีตะกั่วทั้ง ๙ เม็ดพุ่งตรงเข้ากลางหลังชาติครบทุกเม็ดแต่เนื่องด้วยระยะที่ไกลพอดูจึงทำให้ตะกั่วทั้ง ๙ นั้นบานออก
ไม่เกาะกันเป็นก้อนแต่นั่นก็ทำให้ ชาติ หยุดการเคลื่อนไหวในทันที
"ไหวไหม" ดำถาม
"อือ" ชาติคราง
"อย่งนี้ไม่ไหวแน่ แต่ไม่เป็นไรเดี๋ยวกูจะล่อมันหนีไปที่อื่นแล้วกลับมาช่วยมึง"
ชาติเพียงแต่จับมือ ดำ เบาๆเป็นสัญลักษณ์ว่า อย่างทิ้งกูนะ
"กูเคยทิ้งมึงหรือ มึงคอยอยู่นี่อย่าไปไหนนะเดี๋ยวกูมา บางทีกูอาจจะไปหาหัวหน้าเก่ากูมาช่วยอยู่ใกล้ๆนี่เองโดนแค่นี้ไม่ถึงตายหรอก"
"อย่าไปไหนนะมึง" ดำกำชับ
แล้วดำก็ยิงปืน ดัง ปัง เพื่อล่อให้กลุ่มนั้นตามเขาไป
ผ่านไปครู่ใหญ่ ก็มีเสียงเรียก "ชาติๆ" เบาๆ
ชาติ ขานรับ โป้งๆๆๆๆๆ เสียงปืนดังถี่ยิบร่างของ ชาติ พรุน
ลัดดาอยากจะตะโกนอยากจะร้องแต่ก็ทำไม่ได้ เหมือนมีอะไรมาบีบไว้ให้ดูเฉยๆ
"ลัดดาๆ" เธอหันกลับไปตามเสียงเรียกทันที ภาพที่เธอเห็นคือพี่ชายของเธอเดินเข้ามาหาจากกลางสนามฟุตบอล(เดินลัดสนามมา)ท้องฟ้ายังคง
มัวฟ้ามัวฝนเหมือนเมื่อตอนที่เธอออกจากบ้านมา ทุกคนต่างวิ่งออกกำลังกายหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ชายชราคนนั้นก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม เธอหันไปมองพร้อม
ยิ้มอย่าง งงๆ แต่ไม่ทันได้คิดอะไรต่อพี่ชายเธอก็เดินเข้ามาถึงแล้ว "พี่จะมาบอกว่าวันนี้พี่ไม่กลับบ้านเพราะต้องไปสัมมนาเอ้า!นี่กุณแจบ้าน" พี่ชายเธอยื่นกุญแจบ้านให้
พร้อมเดินไปทันทีด้วยความรีบ ตอนนี้ ลัดดา ก็อยากกลับบ้านแล้วเช่นกันเพราะรู้สึกสับสนเรื่องเมื่อกี้มากแต่เธอก็คิดแค่ว่าคงเผลอนั่งหลับไปเพราะเมื่อคืน
นอนดึกไปหน่อยไม่ทันโบกมือลา ชายชราคน นั้น แกก็พูดออกมาลอยๆว่า "ลุงชื่อ ชาติมานั่งคอยเพื่อนนานแล้วยังไม่มาเลย"
*************