3 ธันวาคม 2545 15:33 น.
ใบคา
บันทึกการเดินทาง
เป้ง ! เป้ง ! เป้ง! ติง ติ๋ง ติ้ง ต่อง ท่านผู้โดยสารโปรดทราบขณะนี้ได้กำหนดเวลารถเร็ว ต้นทางสุไหงโก-ลก ปลายทางสถานีกรุงเทพฯ ออกจากสถานีสุไหงโก-ลก และจะหยุดรับส่งที่ สถานีสุไหงปาดีเป็นสถานีต่อไป กรุณาตรวจสอบสำภาระและของที่นำติดตัวมาด้วย อย่าขึ้นหรือลงขณะรถวิ่งท่านอาจพลาดพลั้งตกลงมาได้ ผมในนามขององค์การรถไฟแห่งประเทศไทยขอให้ท่านเดินทางอย่างปลอดภัย ขอบคุณครับ
สิ้นเสียงระฆังเตือน พร้อมกับเสียงแหบๆห้าวๆจากนายสถานีที่ดังออกมาจากลำโพงกระจายเสียงตัวน้อยของสถานีรถไฟ รถไฟสิบกว่าโบกี้ก็เคลื่อนตัวออกจากสถานีอย่างช้าๆ
สวัสดีครับ ผมยกมือขึ้นไหว้แม่บังเกิดเกล้าของผมเองพร้อมกับสะพายเป้คู่ใจขึ้นบ่ากระโดดขึ้นเจ้าม้าเหล็กยักษ์ที่เคลื่อนตัวออกอย่างช้าๆทันทีพร้อมปล่อยให้คำว่า โชคดีนะลูกลอยเข้าหูโดยไม่หันกลับมามองแววตาที่อาลัยและห่วงอาทรจากเบื้องหลังผมเลย
เฮ้อ! ผมถอนหายใจใหญ่เฮือกหนึ่ง ก็แหงล่ะก็นี่มันเป็นการเดินทางไปสู่เมืองหลวงเพียงลำพังของผมนี่นา ย่อมต้องถอนหายใจเป็นธรรมดาอยู่แล้ว มีคนเคยถามผมว่า
เฮ้ย! แค่จะเรียนหนังสือ น่ะ เรียนใกล้บ้านไม่ได้หรือไงว่ะ จำเป็นต้องไปเรียนใกลๆด้วยหรือไง
ผมตอบเจ้าของคำถามนั้นไปว่า ถ้าจะเรียนอย่างเดียวข้าเรียนแถวนี้ก็ได้แต่นี่ข้าจะเรียนชีวิตด้วยสิข้าถึงต้องไปแล้วผมก็เดินจากไปโดยทิ้งให้ไอ้เจ้าของคำถามนั้น งง อยู่ลำพัง
ใช่ถ้าไม่ต้องการเรียนประสบการณ์ชีวิตที่มีแต่เมืองหลวงเท่านั้นที่สามารถให้เราได้ผมก็ไม่ตัดใจลาจากธรรมชาติที่งดงาม คนที่มีน้ำใจ มาได้อย่างแน่นอน และแล้ววันนี้ของผมก็มาถึง วันที่บทเรียนชีวิตบทแรกของผมจะเริ่มถูกเปิดอ่าน ไม่ซิ มันคงไม่ใช่บทแรกหรอกมันน่าจะเป็นคำนำมากกว่า คำนำที่จะนำไปสู่บทเรียนชีวิตที่ไม่ทราบว่าจะต้องเรียนสักกี่บทและจะต้องเรียนซ้ำอีกกี่ครั้งจึงจะจบ
ผมยืนอยู่หน้าประตู ตู้รถไฟชั้น 3 ก็ผมมันตีตั๋วชั้น 3 มาจึงต้องมายืนอยู่ ณ ที่นี่ ก็ไอ้ผมมันไม่มีปัญญาที่จะได้นั่งชั้นที่มันดีกว่านี้หรอกก็แค่ต่างกันที่เก้าอี้ที่นั่งล่ะหว่าถึงจะตีตั๋วชั้น 1 มาได้นอนสบายๆแต่ถึงยังไงมันก็ต้องถึงพร้อมกันอยู่ดีอีกทั้งผมว่าชั้น 3 น่าจะดีกว่าก็คนมันเยอะเลยไม่เบื่อง่ายๆไม่จำเจด้วย
ผมล้วงมือลงในกระเป๋าหลังข้างซ้ายของกางเกงยีนส์สีดำตัวเก่าๆเพื่อควานหาตั๋วรถไฟแล้วดึงมันขึ้นมาตรวจดูว่า ที่นั่งของผมมันอยู่ที่ไหน
เอ! เลขที่นั่ง 21 คันที่ 13 นี่มันคันที่ 9 นี่หว่า ต้องเดินฝ่าฝูงคนออกไปอีกแล้วตูผมบ่น
แล้วผมก็เดินดุ่มๆอย่างมั่นใจเต็มที่เพื่อไม่ให้เขิน แต่ เอ๊ะ แต่ทำไมคนมันน้อยนักว่ะ เขาคงขึ้นสถานีหน้ามั้งผมคิด พลางเดินก้าวไปพร้อมกับเป้สะพายหลัง
และแล้วผมก็มาถึงที่นั่งของผมซึ่งก็ว่างอยู่ที่นึงพอดีเบื้องหน้าผมมีผู้หญิงสาวสวยคนนึงมีทีนั่งติดกับผม ผมเริ่มยิ้มในใจอย่างมีเลศนัย แต่ตรงข้ามนั้นกลับเป็นคนแก่ๆสองคนตายายนั่งยิ้มเหงือก แดงอยู่ ผมส่งยิ้มให้ พร้อมกับวางเป้ไว้ข้างบนพร้องหย่อนก้นลงนั่งข้างๆแม่สาวสวยที่นั่งหน้าบูดเหมือนกัยเด็กที่แม่ไม่ซื้อของเล่นให้ยังไงยังงั้นผมพยายามจะส่งยิ้มให้แต่เจ้าหล่อนก็ไม่ยอมรับมันทำให้ผมจ่อยไปเลย
นั่งได้ไม่นานเพื่อนที่สนิทที่สุดของผมก็มาเยือนมันคือเอกลักษณ์แบบเฉพาะในชั้น 3 เท่านั้นที่หาดูได้และไม่มีที่ไหนจะมีได้เหมือนในโลกกว้างนี้ เพื่อนของผมคนนี้คือ กลิ่นอับๆ กลิ่นห้องน้ำ พร้อมด้วยอีกหลายๆกลิ่นที่มีจุดประสงค์เดียวกันก็ลอยเข้ามาเยี่ยมเยียนประสาทจมูกของผมโดยไม่ได้เชื้อเชิญแล้วยังแวะไปทักทายคนรอบข้างผมอีกด้วยแต่ก็ยังดีที่ผมก็ไม่ได้รู้จักมันเพียงอย่างเดียวเพื่อนผมอีกคนก็เข้ามาเพื่อไม่ให้น้อยหน้ามันก็คือ ลม ที่พัดอยู่ภายนอกก็เจ้าสองคนนี้มันไม่ถูกกัน จึงทำให้เจ้ากลิ่นเหม็นๆต้องบอกลาผมไปก่อนทันทีเพราะว่าเจ้ากลิ่นเหม็นนี้มักจะทานแรงของลมไม่ไหวนั่นเอง แต่ถึงมันจะลาผมไปแล้วมันก็ยังไม่ลาขาดคอยจ้องหาโอกาสดีๆเพื่อมาหาผมอยู่ทุกครั้งไปก็คงไม่อยากให้ผมว้าเหว่เมื่อขาดมันไปมั้ง ทั้งสองอย่างนี้เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของผมเสมอเพราะทุกครั้งมันต้องมาทักทายผมก่อนใครเพื่อนเลย
ไปไหนหรือลูกเสียงจากปากเหี่ยวๆก็ส่งคำถามนี้เข้าหูผม
กรุงเทพฯครับผมตอบไปด้วยเสียงสำรวม
แล้วป้าล่ะผมถามกลับบ้างเพื่อไม่ให้เสียเปรียบ
กรุงเทพฯเหมือนกันจ้ะแกตอบพร้อมรอยยิ้มแล้วก็เงียบไปผมก็เงียบตาม
พี่ไปกรุงเทพฯหรือเสียง ใสๆ เล็กๆของสาวยเจ้าข้างๆห็ลอยเข้ามาในโสตประสาทของผมแบบไม่คาดคิด
อือผมตอบสั้นๆห้วนๆ(ก็อยากไม่ยิ้มให้ดีนัก)
แล้วเธอก็เงียบโดยไม่ถามอะไรมาอีกเลยปล่อยให้ผมนั่งคอยคำถามเก้ออยู่ในใจลึกๆ
ว้าอด ไม่ถามก็อย่ามาถามนะ ไม่ถามก่อนให้เสียหรอกผมคิดและเธอก็คงคิดเช่นนี้เหมือนกันเลยทำให้ความสำพนธ์ที่น่าจะเป็นไปด้วยดีกลับหมดลง
ผมจึงหันมาคุยกับตายายสองคนข้างหน้าผมแทนเราคุยกันถูกคอดีคุยกับคนแก่ก็สนุกดีจนผมหมดเรื่องที่จะคุยเพราะผมเป็นคนเบื่อการพูดคุยง่ายด้วยแล้วผมก็ลุกขึ้นไปนั่งตากลมที่บันไดทางขึ้นตู้รถไฟหลังจากที่นั่งเมื่อยอยู่กับเก้าอี้ที่ทำมุมตั้งฉากกับพื้น ผมนั่งที่บันไดยังไม่ทันได้ปล่อยใจดวงน้อยๆของผมที่ชอบลอยตามแรงลมรถไฟไปไกลเท่าไหร่เลย พลันก็เกิดมีมารผจญขึ้นจนได้มีกลุ่มวัยรุ่น 4-5 คนมามุงอยู่ทีผมนั่งเล่นคุยกันน่ารำคาญมากเท่านั้นยังไม่พอยังมาเบียดผมอีกแต่ดีที่ยังส่งยิ้มกลับมาให้บ้างไม่งั้นล่ะก็.....อะไรน่ะหรือผมก็จะลุกกลับไปนั่งที่เดิมน่ะสิใครจะไปหาญกล้าต่อกรกับกลุ่มชนที่มีคนมากกว่าเล่า แล้วผมก็ต้องแปลกใจที่อยู่พวกมันก็เงียบเพราะผมนั่งหันหลังให้จึงไม่สามารถรู้ได้แต่มีกลิ่นหอมเมาๆมาแทน ผมสะดุ้งพร้อมคิดในใจว่าเฮ้ย กัญชานี่หว่า แล้วก็หันกลับไปดูแต่ล่ะคนตาเยิ้มนั่งยิ้มอยู่นาน จะอยู่ไปทำไมผมก็ลุกกลับไปที่นั่งเดิมน่ะสิดีไม่ดีถูกจับซวยเลยดีนะที่เคยมาบ้างไม่งั้นแย่แน่ แล้วความกลัวของผมก็เป็นผลเมื่อพวกมันเดินตามตำรวจรถไฟมาเป็นแถวก้มหน้าเงียบปล่อยให้คนทั้งโบกี้มองด้วยสายตาเดียวกันคือ งง
ทำไมน่ะ ลุงกับป้าตรงข้ามถามผมเป็นเสียงเดียวกัน
ผมไม่ตอบแต่ส่ายหัวแทน
ผมแปลกใจทำไมสาวข้างๆผมจึงไม่มีทีท่าว่าสนใจนะเพื่อคลายความสงสัยผมจึงเหล่ดู อ้าว หลับ
ผมปล่อยให้ความเงียบเข้ามาอีกครั้งจนรถไฟจอดที่สถานีแห่งหนึ่งในตอนเย็น
มีกลุ่มวัยรุ่น 7-8 คนเดินขึ้นรถไฟมาด้วยเสียงคุยที่ดังทำเอาความเงียบญาติห่างๆของผมต้องหนีลาไปพวกเขาเข้ามานั่งอยู่เยื้องๆกับผมอายุก็ประมาณผมนี่แหล่ะแล้วก็คงจะเดินทางไปเรียนหนังสือที่เมืองหลวงเช่นเดียวกันเมื่อนั่งเสร็จพวกเขาก็ไม่พูดอะไรมากความ กลับดึง ขวดน้ำสีแดงมีแสตมป์ติดอยู่บนฝาข้างขวดมีรูปหงส์แปะอยู่ตัวหนึ่ง ผมยิ้มพร้อมคิดในใจว่า มันต้องชวนตูแน่แล้วกพวกเขาก็ลงมือรินแจกกันเวียนไปมาหลายรอบโดยไม่สนใจสายตารอบข้างโดยเฉพาะสายตาของผมที่คอยให้เชิญชวนอยู่ เฮ้ เพื่อชีวิตวัยเรียนในกรุงเทพฯคนหนึ่งในกลุ่มเอ่ยนำขึ้นพร้อมเสียงเฮก็ดังตามมาทีหลัง เจริญแน่ล่ะมึงเอ๋ยขนาดยังไม่ได้เริ่มเรียนเลยมันผลาญขนาดนี้แล้วต่อไปข้างหน้ามึงไม่ผลาญไปมากกว่านี้หรือไง น่าสงสารคนที่อาบเหงื่อต่างน้ำแลกเงินมาให้มึงเผาเล่นจริงๆน้อผมด่าในใจซะเลยอยากไม่ชวนดีนัก
ขวดที่ 1 แล้ว ขวดที่ 2 แล้ว ขวดที่ 3 แล้วแต่ขวดนี้มันต่างจากขวดก่อนๆนี้มากมายนักขวดนี้ไม่มีสีแต่มีแสตมป์ติดปนฝาเหมือนกันแต่ล่ะคนก็เมาเต็มที่ทั้งร้องทั้งรำแต่ก็ยังดีที่ไม่กวนใคร
มาแล้วสิ่งที่ผมคอยมานานก็มาจนได้พวกมันเริ่มมิงมาที่ผมคนนึงก็เดินมาพร้อมกับแก้วเหล้ายื่นส่งมาให้ผมก่อนที่ผมจะรับผมเหลือบไปเห็นสายตา 3 คู่จับตามองมาที่ผมเหมือนกับจะลุ้นให้ผม ปฎิเสธแต่พวกเขาก็ต้องผิดหวังเพราะผมรับมาแล้วกระดกทันที
เฮ้ย เพื่อนไปนั่งกินด้วยกันไหมมันชวน
ไม่ล่ะผมปฏิเสธด้วยเสียงเรียบๆ
แล้วมันก็เดินกลับไปเข้ากลุ่มทีเหล้าแดงไม่ชวนพอเหล้าขาวแล้วเสือกชวนกินไม่หมดแล้วล่ะสิถึงมาชวนน่ะเมื่อกี้ถ้าไม่เกรงใจไม่กินหรอกโว้ยผมพูดในใจอีกตามเคย
น้ำไหมครับ มะม่วงไหมค่ะ ก็แทรกเข้ามาในความคิดที่ผมกำลังด่าพวกนั้นอย่างสนุก
เสียงพ่อค้าแม่ค้าก็ดังเข้ามาแทนที่แต่ผมก็ไม่กล้าซื้อหรอกเพราะว่าแม้แต่คนขายก็ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองขายอะไรยังต้องมาถามคนซื้ออีกว่า มะม่วงไหม น้ำไหม
ข้าวครับข้าว ได้ยินเสียงนี้ผมรีบเรียกทันที
เท่าไหร่ครับผมถาม
20 ครับ
ผมหยิบมากล่องนึงแล้วจ่ายตังค์ไปแล้วก็ชวนคนรอบข้างกินตามธรรมเนียมทั้งๆที่รู้ว่าเขาต้องปฏิเสธแน่นอนแล้วผมก็กินจนหมด...................
5 ทุ่มแล้วผมง่วงแล้วล่ะพรุ่งนี้ก็ถึงกรุงเทพฯแล้ว....
คำนำบทแรกของผมจบลงแล้วครึ่งนึงผมไม่สามารถอ่านต่อได้เพราะผมง่วงนอนมันยังเหลืออีกมากมายนักในหนังสือเล่มนี้ แล้วคุณล่ะอ่านถึงไหนแล้ว