12 มกราคม 2550 13:43 น.
ใบคา
เป็นไงมั้งว่ะเด่น กรุงเทพฯ มีเมียหรือยัง วันหลังกลับมาเอาเมียมาเยี่ยมบ้างสิว่ะ แน่ะๆ ทำยิ้มอย่างนี้แสดงว่ามีแล้วแน่ๆ กับข้าไม่ต้องทำเป็นปิดหรอก แค่เอ็งยิ้มข้าก็เห็นทะลุเข้าไปข้างในแล้ว
โธ่! ลุงเสริม มีน่ะมี แต่จะเรียกว่าเมียได้หรือเปล่าน่ะสิ ยังไม่อยากพามา เอาแบบให้แน่ใจก่อนดีกว่า อีกอย่างผมก็ยังเรียนไม่จบ พอจบแล้วไม่รู้ว่าต่างคนต่างจะไปไหนกัน ของอย่างนี้ไม่แน่ใจก็ไม่อยากแนะนำให้ใครๆ รู้จัก เสียเวลาเปล่าๆ อีกอย่างไม่อยากให้ลุงมานั่งจำอยู่ไงว่าคนไหนชื่ออะไร อย่างน้อยๆ ก็ปีหนึ่งตั้ง 2 คน ปิดเทอมทีผมก็กลับมาบ้านที พาแฟนกลับมาที แล้วแบบนี้จะจำได้ไหมเกิดทักชื่อผิดผมไม่แย่เหรอ ขี้คร้านจะตามง้อ ดีไม่ดี โดนฝาดกบาลเข้าไปอีก
ไอ้นี่! ช่างพูดนะเอ็ง ถ้าขืนพามาแบบนั้นก็สมควรโดนแล้วโว้ย ฮ่าๆ เอาๆ สักกรึ๊บก่อนโว้ย ฝนตกอย่างนี้จะได้ทำให้อบอุ่นถึงภายใน นี่เป็นเหล้าเถื่อนที่ไว้ใจได้ เจ้านี้ข้าซื้อประจำไม่ต้องห่วงไม่มีการผสมยาฆ่าหญ้าแน่นอน ไม่มีเมาค้างตื่นมาทำงานต่อได้ทันที เอาไว้ให้ฝนหยุดก่อนแล้วเราค่อยไปดูเบ็ดกัน
แรงไม่ใช่เล่นนะลุงเหล้าเจ้านี้ กระดกลงไปนี่รู้หมดเลยว่าไส้มีกี่ขด ฝนคืนนี้ทำท่าจะตกหนักเหมือนกันเนาะ แต่ไม่เป็นไรผมไม่รีบอยู่แล้ว ฝนตกอย่างนี้ลุงเสริมก็ไม่ต้องกังวลเรื่องต้องตื่นไม่กรีดยางแต่เช้าน่ะสิ งั้นคืนนี้เราก็เรื่อยๆ ได้อย่างฝนเลยสิ นานๆ ทีได้มานั่งกระต็อบกลางสายฝนแบบนี้ เมื่อก่อนผมยังจำได้เลยนะลุง สมัยเด็กๆ ครั้งแรกเลยที่ผมรบเร้าให้ลุงพามาวางเบ็ดด้วยน่ะ ลุงไม่เป็นอันวางเบ็ดเลยต้องคอยอุ้มผมตลอดเวลา จะปล่อยไว้บนกระต็อบผมก็ไม่ยอม จริงๆ นะครั้งนั้นผมกลัวจริงๆ กลัวไปหมดทุกอย่างไม่คิดว่ามันจะมืด จะวังเวงขนาดนั้นเสียงกบเขียดนี่ร้องน่ากลัวจะตาย บนต้นไม้ก็กลัวงูจะห้อยหัวลงมาฉกเหมือนในหนัง นึกแล้วยังขำตัวเองไม่หาย
หลังจากนั้นเอ็งก็กลายเป็นมือหนึ่งของละแวกนี้เลยนะโว้ย แต่คืนนี้เอ็งไม่ไปกับข้า ข้าไม่ยอมนะเว้ย! ดูสิยกเอาๆ ข้ากลัวจะหมดก่อนว่ะ
ก็ได้ลุงนั่นแหล่ะที่ช่วยแนะนำผมถึงได้กล้า แต่ว่าก็ว่าเถอะลุง เอามาตั้งสองขวด กินแค่นี้ทำบ่น
ข้าไม่คิดเลยนะว่าเอ็งจะมากับข้าคืนนี้ นึกว่าไปอยู่เมืองกรุง แล้วจะไม่กล้าจะจับไส้เดือน ถือพร้าออกวางเบ็ดเมื่ออย่างแต่ก่อนอีก ข้าเห็นเพื่อนๆ เอ็งหลายคน เห็นเข้าหน่อยทำปากแหยตามๆ กัน บางคนถ้าเป็นหลานข้าเหมือนอย่างเอ็งนะโดนเตะตกกระไดบ้านแล้ว แหมส่งไปเรียนในเมืองเข้าหน่อย ภาษาใต้บ้านตัวเองทำเป็นพูดไม่ได้
ผมก็ไม่อยากมานักหรอก สู้นอนอยู่บ้านยังจะดีกว่าอีก แต่นี่ผมนึกสนุกอยากมากินเหล้ากับลุงมากกว่า เสียงฝนกระทบใบหญ้า กระทบหลังคามุงจากของกระต็อบหลังนี้ เพราะกว่าเสียงดนตรีในผับอย่างในเมืองหลวงตั้งเยอะ และผมว่ามันน่าฟังกว่าเสียงจอแจของเครื่องยนต์ที่ติดเครื่องไว้แต่ไม่ขยับไปในตามท้องถนนของกรุงเทพฯ เสียอีก อีกอย่างนะอากาศเย็นๆ อย่างนี้มันให้บรรยากาศร่ำสุราเสียเหลือเกิน อย่างที่ลุงบอกผมประจำไงว่าใครนะที่ว่าไว้น่ะ โกๆ นี่แหล่ะ อ๋อ! โกวเล้งที่บอกว่าไม่ได้ชอบสุราแต่ชอบบรรยากาศที่ร่ำสุรานั่นแหล่ะ แต่คืนนี้ผมไม่คิดว่าฝนจะตกหนักอย่างนี้ ครั้นจะออกไปดูเบ็ดทั้งฝนก็กลัวจะไม่สบาย กะว่าปลาที่ได้มาจะเอามาย่างทำแกล้มกินสักหน่อย นี่ก็ชวนพวกไอ้จ้อยให้ตามมาทีหลังแล้วด้วย ฝนอย่างนี้คงไม่มีใครมา แต่ไม่เป็นไรขอให้มีเหล้าเป็นพอ แกล้มผมก็มีเสียงฝนกับหน้าลุงแล้วนี่นา
เอ็งนี่มันปากดีไม่ส่าง เอ้า! งั้นคืนนี้ไม่ต้องดงต้องดูมันแล้วเบ็ด ไหนนั่งให้ถนัดสิไอ้เด่น เข้ามาซดเหล้าแกล้มสายฝนกับข้านี่ เฮ้ย! ในแก้วเป็กนั่นมันเหล้านะโว้ยไม่ใช่น้ำหอมจะได้นั่งดมอยู่ได้ มัวแต่พร่ำเสียยืดยาว ข้าว่าเหล้าในแก้วหน้าเอ็งมันเหมือนจะเพิ่มขึ้นนะ จะว่าฝนหยดลงก็ไม่ใช่ อ๋อ! ข้ารู้แล้วน้ำลายเอ็งนี่เอง ยกๆ ข้าจะกินมั่ง
ได้ทีใส่ใหญ่เลยนะลุง เอาแก้ว
ข้าว่าจบแล้วบวชให้พ่อแม่เลยดีกว่านะเด่น บวชตั้งแต่จบใหม่ที่แหล่ะดีแล้ว ไหนๆ ก็ไม่ได้หวังจะเอาดีทางธรรมอยู่แล้วนี่ จะได้ให้เขาสบายใจคนมีลูกชายก็หวังตรงนี้แหล่ะจะได้เกาะชายผ้าเหลืองขึ้นสวรรค์
ไม่ล่ะลุงเสริม ผมไม่คิดจะบวชอีกแล้ว ตั้งแต่ที่เคยบวชเณรมาผมก็ไม่ขอเข้าไปมีส่วนร่วมกับวัดอีกเบื่อ ในนั้นแก่งแช่งชิงดีมากกว่าสังคมชาวบ้านธรรมดาเสียอีก เพราะผมเป็นเณรถึงได้รู้อะไรมากมายอย่างนี้ เนื่องจากไม่ค่อยมีใครถือสาอะไรผมมาก มีอะไรหลวงพี่ก็ระบายให้ฟัง นินทาให้ฟัง บางครั้งหมายจะเอาเณรเข้าเป็นพวกให้มากๆ เสียอีก พระบางองค์นะเจ้าอาวาสบอกให้ช่วยถากหญ้าตัดไม้ที่รกๆ ภายในวัด เพราะจะหวังพึ่งชาวบ้านทั้งหมดก็ไม่ได้ อยู่ว่างๆ ก็ช่วยๆ กันกลัวพระจะอ้วนเสียเปล่าๆ บางท่านพอถูกวานหน่อยก็บอกไม่ได้ๆ พรากของเขียวอาบัติ ทีนี้เจ้าอาวาสท่านก็ไม่ว่าอะไรปล่อยไป แต่พอตกเย็นไปนั่งดูละครหัวเราะคิกคักๆ ผมถามว่าไม่อาบัติเหรอ รู้ไหมหลวงพี่ท่านนั้นตอบว่าอย่างไร ท่านตอบว่าอ๋อไม่เป็นไรหรอกเราดูแค่นั้นเองไม่ได้ยึดติดกับมัน ดูเพื่อฝึกตนเองไปในตัว เป็นงั้นไป แต่หลวงพี่ท่านนี้ท่านขยันนะตื่นมาแต่เช้าท่านจะกวาดลานวัด ทำโน้นทำนี่ ก็ตอนเช้านี่แหล่ะชาวบ้านส่วนใหญ่มักมาถวายสังฆทาน อาหารต่างๆ พอซาชาวบ้านหน่อยแกหายไปนั่งดูละครในกุฏิเสียนี่ พระรูปใดมีคนนับถือมากกว่าตนหน่อยก็นินทาให้ร้ายต่างๆ หลวงพี่ที่ถูกนินทาก็คอยหาทางกลั่นแกล้งจับผิดเรื่อยไป โอ้ย! อย่าให้ผมบวชเป็นพระเลย ผมกลัวบาป
บาปอะไรของเอ็งวะไอ้เด่น
ก็กลัวจะไปเตะพระด้วยกันน่ะสิ สมัยลุงบวชไม่เป็นอย่างนี้บ้างเหรอ
สมัยข้าน่ะเหรอ มันไม่มีอย่างนี้หรอก สมัยนั้นเขากลัวบาป ที่สำคัญไอ้ทีวี เครื่องบันเทิงต่างๆ ยังไม่มากขนาดนี้ ข้าว่าก็อย่าไปถือสาเลยพระแบบนี้ก็มีมาก พระก็คนธรรมดานั่นแหล่ะแค่รักษาศีล 227 ข้อเท่านั้นเอง ด้วยศีลทั้งหมดนี้แหล่ะที่ทำให้เหนือกว่าคนธรรมดา แต่ใช่ว่าเมื่อนับถือศีลแล้วจะตัดกิเลสได้ทันที มันก็ต้องฝึกฝนไปเรื่อยๆ เรื่องการชิงดีชิงเด่นก็มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล เอ็งลองไปอ่านพุทธประวัติดูก็น่าจะรู้ ขนาดพระพุทธเจ้าเองยังถูกพระด้วยกันคิดร้ายเลย แล้วนับประสาอะไรกับกาลสมัยที่ล่วงเลยมามากกว่า 2500 ปี ข้าว่าทำตัวเองให้ดีเอาไว้ก่อนดีกว่า แล้วคนรอบข้างก็จะเกรงใจและรักเอาไปเองโดยอัตโนมัติ
แน่ะลุงรถไฟเสียเวลาเหรอ
ทำไมว่ะ
ก็จอดสถานีชุมทางลุงเสริมนานแล้วนะ ไม่มาสถานีเด่นบ้างเลยคอยอยู่นา
ว่ะ! เอาคืนจนได้นะเอ็ง
ฮ่า! ขอน้ำหน่อยครับลุง... ไม่น่าเชื่อฝนอย่างนี้เหงื่อผมแตกซิกเลยนะเนี่ย พูดถึงเรื่องนี้แล้วจริงๆ นะลุงผมไม่อยากบวชเลย ไม่อยากแม้กระทั่งมีศาสนาอยู่เลย
เมาแล้วเหรอวะเด่นยังไม่หมดขวดเลย ไหนๆ เอาแก้วมาเดี๋ยวหาว่าข้าช้าอีก กินกับพวกวัยรุ่นก็งี้แหล่ะ เร่งจริงๆ
งั้นลุงก็วัยรุ่นไม่ใช่เล่นน่ะสิ เมื่อกี้เร่งผมเชียว ผมไม่ได้เมานะลุง ผมเคยอ่านหนังสือเกี่ยวคำธรรมะมีไว้ว่าหากใครทรยศต่อศาสนาหันหลังไปนับถือศานาอื่นก็จะไม่มีโอกาสได้ขึ้นสววรค์ ถ้าอย่างนั้นผมไปนับถือศาสนาอื่นผู้นำศาสนาก็จะบอกว่ามานับถือศาสนาชั้นเถอะดีเจ้าจะได้ขึ้นสวรรค์ คราวนี้พอผมเบื่ออยากจะไปนับถือศาสนาอื่นบ้างผมก็ไม่มีโอกาสได้ขึ้นสวรรค์ของเขาอีกแล้ว ถ้าอย่างนั้นหากผมไม่มีศาสนาก็เท่ากับว่าผมไม่มีนรกไม่มีสวรรค์ใช่ไหมลุง ก็ไม่ต้องกลัวตกนรกน่ะสิ
เอ็งนี่เลี่ยงบาลีได้ตลอดเลยนะ เอ็งไม่นับถือศาสนาก็เท่ากับเอ็งไม่มีที่อยู่ ไม่มีบ้าน ไม่มีประเทศของใจเอ็ง เหมือนร่างเอ็งตอนนี้นั่งกินเหล้าอยู่กับข้า ในกระต็อบริมสวนยางซึ่งคอยให้ฝนหยุดแล้วเอ็งกับข้าก็จะไปดูเบ็ดในป่าพรุข้างสวนยางด้วยกัน นี่ก็คือศาสนาของเอ็งถ้าเอ็งไม่มีเอ็งก็จะยืนตากฝนหนาวสั่นอยู่โน่น! ข้างนอก น้ำเหล้าในแก้วนี้ก็คือคำสั่งสอน เอ็งกระดกมันลงไปก็หายหนาว ใช่! ถึงเอ็งจะไม่มีนรกสวรรค์จริง แต่เอ็งก็จะเป็นผีเร่ร่อนอยู่ในความหนาวเย็นตลอดกาล ข้าว่าให้ข้าอยู่อย่างนั้นข้าสู้ลงนรกเสียดีกว่าว่ะ เอ็งนี่ความคิดไม่เข้าท่าเสียแรงไปเรียนตั้งไกล เงินทองก็เสียไปหลาย ยังจะให้ข้าสอนอีก เมืองหลวงเขาสอนเอ็งอย่างนี้เหรอวะ ที่เขาสอนว่าการหันหลังให้ศาสนานั้นจะไม่มีทางได้ขึ้นสวรรค์ก็จริง หันหลังในที่นี้คือไม่เชื่อฟังคำสอนของศาสดา ไปฆ่าคนบ้าง หรือเปลี่ยนไปนับถือลัทธิผีบ้าอะไรบ้างเอ็งก็ตกนรกแน่นอน ส่วนเอ็งจะนับถือศาสนาอะไรที่มันสอนให้เป็นคนดี เอ็งก็ได้ขึ้นสวรรค์ของศาสนานั้น ขึ้นชื่อว่าสวรรค์แล้วข้าว่าสวยงามทั้งนั้นละว่ะ แต่ต้องไม่ทำให้ใครเดือดร้อนนะ ข้าขอเตือนเอ็งหน่อยว่าอย่าพูดแบบนี้กับใครเขาโดยเฉพาะในวงเหล้าอย่างนี้ เดี๋ยวจะเป็นเรื่องเอา เรียนมาตั้งสูงก็น่าจะรู้อะไรเป็นอะไร
ผมพูดแบบนี้ในกลุ่มเพื่อนทุกคนก็เห็นงามกับผมนะ พวกมันเห็นดีกับผมด้วยว่าศาสนาน่ะกลายเป็นเครื่องมือหวังผลประโยชน์ของคนกลุ่มหนึ่งเสียแล้ว เอาผลบุญเรื่องนรกสวรรค์เข้ามาอ้างเพื่อจะกอบโกยเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง อย่างเวลามีงานวัดมัคนายกวัดก็ป่าวประกาศว่าบริจาคเงินเยอะๆ นะจะได้มีบุญเอาไว้มากๆ จะได้อยู่สุขสบายในสวรรค์หรือโลกหน้า แต่ผมว่าคนที่สุขสบายโดยไม่ต้องถึงโลกหน้าก็คือพวกมัน อย่างผมเคยอ่านประวัติเทวดาบางองค์เช่นพระอินทร์ เขาได้เป็นพระอินทร์เพราะว่าได้ไปสร้างศาลาริมทางไว้ให้คนที่เดินทางเหนื่อยได้พักผ่อนก็ได้ขึ้นสวรรค์แล้วไม่เห็นต้องทุ่มเงินมากมายอะไรเลย ขอแค่มีจิตใจอันบริสุทธิ์หน่อยเถอะ ผมเห็นบางคน คนโซเดินเข้ามาขอข้าวกินพอประทังความหิวมื้อเดียวยังขับไล่ แต่พอพระเดินมา โห! กราบไว้ถวายเท่าไหร่เท่ากัน แต่หารู้ไม่ว่าคนในผ้าเหลืองบางคนพอตกดึกหน่อยก็กลายเป็นหนุ่มเพลย์บอยหัวล้านไปโน้น ผลบุญที่ได้ทำบุญให้วัดผมเห็นมีแต่วัดนั่นแหล่ะเจริญเอาๆ โบถส์สวยเลิศ แต่ข้างๆ กุฏิขวดเหล้า บ้องกัญชาวางเกลื่อน
คนเขาทำแล้วสบายใจเราก็ปล่อยเขาไปเถอะ อีกอย่างใช่ว่าพระทุกรูปจะเป็นอย่างที่เอ็งว่า ข้าว่าฝนหยุดแล้ววะ เราไปเดินดูเบ็ดกันสักรอบกันดีกว่า เผื่อฝนตกมาอีก อย่างน้อยก็มีกับแกล้มไว้กินกันมั้ง ข้าเบื่อแกล้มที่เอ็งป้อนให้แล้ว มีแต่เรื่องอะไรก็ไม่รู้จะชวนข้าลบล้างศาสนาอย่างนั้นเหรอ เอ็งนี่พูดยังกะพวกกคอมมิวนิสต์ หรือเอ็งคิดว่าเราทำเพื่อส่วนรวมแล้วจะได้กุศลมากกว่าทำบุญกับศาสนา ความเชื่อของคนน่ะเข้าไม่ยุ่งเข้าหน่อยมันจะเป็นเรื่อง คนเลวมันจะกลายเป็นเอ็ง แล้วจะหาว่าข้าไม่เตือน
ผมคิดอย่างนั้นนะลุงเสริม ผมว่าเราช่วยคน ให้การศึกษาดีๆ ปลูกจิตสำนึกที่ดีๆ เอาไว้เริ่มตั้งแต่เด็กๆ ผมว่าไม่ต้องตายก่อนหรอกเราก็อยู่บนสวรรค์ได้
เอ้า! ยกสิวะ ไปกันข้าว่าฝนหยุดอย่างนี้เพื่อนเอ็งต้องรีบมาแน่มันคงไม่คิดหน้าคิดหลังอยู่หรอก เพราะนี่ก็ยังไม่ดึกมากนัก ขืนมัวช้าฝนตกมาอีก ข้าเห็นแต่ละคนเปรี้ยวปากกันทั้งนั้น แต่ข้าบอกก่อนนะข้ามีเพียงแค่นี้ถ้าหมดแล้วฝนยังตกมาอีก ก็ตากฝนไปหาซื้อกันเอง ข้าคอยกินอย่างเดียว
ดีเหมือนกันครับลุง จะได้มีแกล้มให้พวกมันด้วย ขืนมันมาแล้วไม่เห็นมีอะไรลุงจะเสียชื่อแย่เลย ว่าเป็นถึงมือวางอันดับหนึ่งเรื่องหาปลา แต่กลับไม่มีปลาให้กิน ปะไปกัน
ก็ลุกสิวะ
10 มกราคม 2550 10:55 น.
ใบคา
ตอน...เปิดเทอม
และแล้วฉันก็พบกับคำว่าสมหวังกับเขาสักทีหนึ่ง เพราะว่าฉันได้ศึกษาต่อมหาวิทยาลัยอย่างสมใจนึกแล้ว ทั้งๆ ที่ฐานะทางบ้านไม่เอื้ออำนวย ด้วยเหตุผลนี้เองจึงทำให้ฉันพบกับความผิดหวังเสมอมา
ความผิดหวัง
เป็นคำที่ฉันคุ้นมากกว่าคำว่ารัก ฉันไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม แต่ทุกครั้งที่ฉันมีความรักไม่ว่ากับใคร คนนั้นมักจะทำให้ฉันเสียใจเสมอ และเรื่องที่น่าเศร้าคือเขาคนนั้นมักจะเป็นเพื่อนสนิทของฉันเอง ชาติที่แล้วฉันคงทำบุญมาน้อย จึงต้องเป็นแบบนี้
ฉันเกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะที่ค่อนข้างจน แต่ฉันก็ไม่เคยท้อแท้กับมันแม้แต่ครั้งเดียว แต่ความจำเป็น ฉันต้องทำงานหนักเพื่อจุนเจือครอบครัว ทั้งๆ ที่เพื่อนบางคนได้เรียนหนังสืออย่างสบาย มีเวลาทำการบ้านอ่านหนังสือมากกว่าฉัน บางครั้งฉันก็นึกอิจฉาที่พวกเขาเกิดมามีฐานะดี ได้อยู่อย่างสบาย และมีครอบครัวที่อบอุ่น มันช่างแตกต่างอะไรกันเช่นนี้ทั้งๆ ที่อยู่บ้านใกล้กันแท้ๆ ยิ่งพี่สาวตัวดีของฉัน ถึงแม้ว่าจะแต่งงานมีลูกมีผัวไปแล้ว แต่ก็ยังทำตัวเป็นปลิงคอยดูดเลือดฉันอีก ไหนจะค่าใช้จ่ายในบ้าน ค่าน้ำค่าไฟ ฯลฯ ของคนในบ้านแล้วฉันจะต้องมารับผิดชอบกับค่าใช้จ่ายของครอบครัวพี่สาวตัวแสบ ฉันนี่ซวยจริงๆ ทั้งๆ ที่ยังเรียนไม่จบ ฉันไม่เคยคิดว่าจบแล้วจะได้เรียนต่อ เพราะฉันต้องรับผิดชอบค่าใช่จ่ายในการเรียนระดับปริญญาตรีทั้งหมด เนื่องจากพ่อกับแม่ส่งเสียได้แค่ระดับมัธยมศึกษาตอนปลายเท่านั้น แต่โชคยังเข้าข้างฉันอยู่บ้าง คงเป็นเพราะความดีจากความเพียรของฉันมั้ง ทำให้ได้รับทุนจนสามารถเข้าเรียนต่อในระดับปริญญาตรีได้ ฉันดีใจมาก และที่ดีใจมากกว่านั้นฉันจะได้อยู่กับเพื่อนรักต่อไป ไม่กี่วันชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยจะเข้ามาถึงแล้ว ฉันตื่นเต้นมาก เพราะจะได้ใส่ชุดนักศึกษาและใช้ชีวิตแบบผู้ใหญ่เสียที
************
ณ กรุงเทพมหานคร
ฉันเช่าห้องอยู่กับ ปอฟาง เพื่อนรักคนเดียวที่ไม่เคยทิ้งกัน ปอฟางเป็นคนที่เรียบร้อย จนบางครั้งออกจะซื่อบื้อด้วยซ้ำไป ขนาดฉันว่าฉันเป็นคนซื่อบื้อแล้วนะเนี่ย พอมาเจอ ยัยฟาง เข้า ฉันจึงรู้สึกว่าฉันฉลาดขึ้นเยอะเลย ฟางจัดว่าหน้าตาน่ารักทีเดียว แต่ยัยนี่ชอบทำตัวลึกลับไม่ค่อยคุยกับใครนอกจากฉัน จึงมักได้ยินเธอบ่นนี่บ่นโน้นให้ฟังอยู่บ่อยๆ บางครั้งก็ทำให้รำคาญไม่น้อย แต่กับคนอื่นเธอกลับเงียบ หนักไปทางขรึม จนทำให้คนอื่นเข้าถึงเธอไม่ได้ ถ้าเธอเปิดใจช่างคุยกว่านี้ ฉันรับรองได้เลยว่าเธอต้องป๊อบปูล่ามากๆ แต่ช่างมันเถอะเพราะยังไงฉันก็คิดว่าฉันหน้าตาดีกว่ายัยฟางตั้งเยอะ เพียงแต่อาจจะไม่ใช่อย่างคนอื่นเขาคิดกัน เลยไม่มีใครใคร่จีบฉัน
อืม...ฉันมั่นใจจริงๆ นะ
ฉันตื่นนอนแต่เช้ามืด ใช้เวลาหมกมุ่นอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งนานทีเดียว ก็กลัวนี่ว่าจะดูไม่ดี ขณะที่กำลังแต่งสวยอยู่เพลินๆ นี่เอง เสียงยัยฟางร้องลั่นว่า ตายแล้ว ดังลั่นทั่วห้อง ทำเอาสะดุ้งตกใจไม่ใช่เล่น
ฉันตกในถึงขนาดทิ้งเครื่องสำอางทั้งหมด แล้วรีบไปหา ยัยฟาง นี่เธอเป็นอะไรหรือเปล่า ร้องซะดังลั่นเชียว ฉันถามอย่างตระหนก แล้วสำรวจรอบๆ เตียงนอน ก็ไม่เห็นมีอะไร อาการตกใจก็เปลี่ยนเป็นโมโหทันที นี่ยัยฟางเธอเป็นอะไรของเธอย่ะ ร้องซะดังเชียว เธอรู้ไหมว่าฉันกำลังแต่งหน้าอยู่ตกใจแทบแย่ เกิดฉันไม่สวยขึ้นมาจะว่าไงหา!
เออคือว่า... ยัยฟางอ้ำอึ้ง
อะไรของเธอย่ะ นี่หรือว่าเธอละเมอใช่ไหม...หรือว่าฉี่รดที่นอนฮ่ะ บอกมาเดี๋ยวนี้ ว่าเป็นอะไร
ปอฟางหน้าซีด พูดตะกุกตะกักว่า คือ...ฉัน...ฉันละเมอน่ะ...โทษทีนะ
ฮึ! เธอเนี่ยนะเป็นอย่างนี้ทุกทีเลย ฉันต้องใช้สมาธิมากแค่ไหนในการแต่งหน้าเนี่ย รู้ไหม
ปอฟางลุกขึ้นนั่งกุมมือฉันแน่นแล้วทำหน้าซึ้งๆ เสียงอ้อนๆ ว่า ฉันขอโทษนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ...นะนะ
เจอลูกนี้เล่นเอาโกรธไม่ลงเหมือนกัน แต่เพื่อไม่ให้เสียฟอร์ม ฉันจึงทำแค่พยักหน้าให้เท่านั้น
แต่ว่านี่มันเพิ่งจะตี 5 เองนะ เมย์! เธอจะรีบแต่งหน้าแต่งตัวไปไหนของเธอเนี่ย บ้าหรือเปล่า
ฉันตื่นเต้นกับการเปิดเทอมมากไปหน่อยวันนี้ฉันเลยตื่นตั้งแต่ตี 4 อาจจะดูเว่อร์ๆ ไป แต่ฉันก็ตื่นเต้นจริงๆ นี่ ทำไงได้ล่ะ ฉันยิ้มแหยๆ ตอบกลับไปว่า ก็วันนี้มันเปิดเทอมไง เธอจำไม่ได้หรือไง ฉันก็ต้องตื่นแต่เช้าสิ เธอนั่นแหล่ะนอนขึ้นอืดอยู่ได้ ฉันตื่นตั้งตี 4 นะรู้ไหม
เธอจะบ้าเหรอ ตื่นตั้งแต่ตี 4 นี่นะ วันนี้มีเรียน 9 โมงนะ ตื่น 8 โมงก็ยังไปทันเลย มหาวิทยาลัยก็อยู่ใกล้ๆ แค่นี้เอง
เธอนั่นแหล่ะบ้า! ไปเรียนวันแรกก็ต้องไปก่อนเวลาสัก ชั่วโมง 2 ชั่วโมงสิ เพื่อได้รู้จัก ทักทายเพื่อนใหม่ๆ นี่เธอไม่คิดจะรู้จักกับใครเลยหรือไง เธอนี่มนุษย์สัมพันธ์แย่จัง ฉันแกล้งว่าไปงั้นแหล่ะ เพราะฉันก็ตื่นเช้าเกินไปจริงๆ ก็ถ้าไม่พูดอย่างนั้นยัยนี่ก็ต้องหาว่าฉันบ้าน่ะสิ เอ! หรือฉันบ้าจริงๆ นี่ เริ่มสับสนแล้วซี แต่คำพูดของฉันก็ทำให้ยัยฟางคิดขึ้นมานิดหนึ่ง ฮึ! ยังไงฉันก็เป็นต่อเธอวันยังค่ำแหล่ะ ยัยฟาง
แต่ฉันว่าไม่เห็นจะต้องตื่นตี 4 เลยนี่นา...เฮ้อ! งั้นก็ช่างเธอแล้วกัน ฉันง่วงนอน เชิญเธอแต่งตัวของเธอตามสบาย ปอฟางหาวฟอดใหญ่ แล้วก็ล้มตัวลงนอนเหมือนเดิม
ยัยบ้านี่ แล้วฉันก็กลับไปแต่งหน้าต่อ
************
เมย์! ไฟไหม้ ตื่นเร็ว...ไฟไหม้แล้ว
ฉันสะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงยัยฟางตะโกนข้างหู
โอ้ย! ยัยบ้า จะมาตะโกนเสียงดังข้างๆ หูฉันทำไมเนี่ย จะบ้าเหรอ
อ้าว! เธอไม่ตกใจเหรอ ไฟไหม้นะ ไฟไหม้
ฉันเอามือปิดหูขณะมองยัยฟางพูดและทำหน้าทะเล้นใส่ ทำไมต้องทำหน้าตาน่ารักใส่ฉันด้วย ฉันกำลังโมโหเธอนะ เกิดฉันหูแตกขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ
นี่ 8 โมงครึ่งแล้วนะ ไหนบอกว่าจะไปรู้จักเพื่อนใหม่ก่อนเวลาเรียนไง อิๆ ฉันตื่นมาก็เห็นเธอนอนหลับอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง จนฉันอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ เธอก็ยังไม่ตื่น ฉันเดินมาเรียกเธอก็ไม่ตื่น จึงต้องตัดสินใจตะโกนใส่เธอ มาโทษฉันได้ไง ฉันอุตส่าห์ปลุกเธอนะ ยัยฟางพูดงอนๆ
เรียกดีๆ ก็ได้นี่นา ฉันคิดว่าจะหลับนิดเดียวเอง อุ๊ย! ตายแล้ว รีบไปกันเลยดีกว่า พูดจบฉันก็กระชากมือยัยฟางออกมา วิ่งแจ้นไปที่มหาวิทยาลัยทันที
***************
นี่ๆ ยัยบ้า! เมื่อกี้เกือบโดนรถชนเลยนะ เธอจะรีบไปไหน เดินมาดีๆ ก็ทัน เธอนี่ท่าจะบ้า ยัยฟางบ่นตลอดทาง
เถอะน่า ฉันตัดความรำคาญ
พอถึงหน้ามหาวิทยาลัย ฉันเดินนำปอฟางไปที่ห้องเรียนอย่างรวดเร็วโดยไม่รอเธออย่างมั่นใจ ส่วนปอฟางนั้นเดินตามฉันมาอย่างเซ็งๆ ระหว่างทางขึ้นไปที่ห้องเรียน มีนักศึกษาหลายคนเดินสวนทางมา คนเหล่านั้นมองฉันอย่างตะลึง ก็แหม! จะไม่ให้ตะลึงได้ไงล่ะ เล่นตื่นมาแต่งหน้าตั้งแต่ตี 4 ถ้าไม่สวยก็ไม่รู้จะว่าไงแล้วล่ะ แถมยังมียัยหน้าจืดเดินตามฉันมาอีก ยิ่งทำให้ฉันดูโดดเด่น เหมือนเจ้าหญิงกับนางสนมยังไงยังงั้น ฉันยิ้มแต่พองามให้กับคนเหล่านั้น ดั่งกับเจ้าหญิงโปรยยิ้มให้กับข้าทาสบริวาร ช่างมีเสน่ห์อะไรอย่างนี้ ไม่นานเราก็มาถึงหน้าห้องเรียน ทันทีที่ฉันก้าวพ้นธรณีประตู เสียงจอแจในห้องก็หายไปทันที คงเหลือไว้แต่ความเงียบ และอาการตกตะลึง สักครู่เสียงก็กลับมาดังอีกครั้ง แต่หนนี้รู้สึกเหมือนว่าจะดังกว่าเก่า ฉันสังเกตุเห็นกลุ่มผู้ชายมองมาที่ฉัน แล้วก็หันไปซุบซิบพร้อมกับหันมาที่ฉันแล้วยิ้ม ทันทีที่เห็นรอยยิ้มจากหนุ่มๆ เหล่านั้น จิตใจฉันพองโตเหมือนกับมันจะล้นออกมานอกอกจนแทบเก็บอาการไว้ไม่ไหว ก็แหม! มีแต่คนหล่อๆ ทั้งนั้นเลยนี่ ฉันรู้สึกตื่นเต้นมากอย่างบอกไม่ถูก ถึงขนาดไม่กล้าเดินเข้าห้องไปคนเดียว ฉันหันไปหาเพื่อนรักก็ไม่ยักจะเจอยัยฟาง เอาล่ะสิหายไปไหนเนี่ย ฉันรู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก อาการใจสั่นก็ยิ่งรุนแรงขึ้น ทำยังไงดี ทำยังไงดีล่ะเรา
กว่าจะมาได้นะแม่เต่าน้อย ฉันประชดทันทีที่เห็นยัยฟางเข้ามาใกล้
โอ้ย! เหนื่อยนะ...ลิฟท์มีทำไมไม่ขึ้นฮ่ะ เธอบ่นพร้อมแลบลิ้นออกมา เหมือนหมาเหนื่อย
พูดมากน่า เร็วๆ เข้าเถอะ
ฉันเหนื่อยมากเลยนะ
ฉันรู้...แต่ถึงเวลาเรียนแล้วนะ
ปอฟางจ้องหน้าฉัน เงียบ...แล้วก็หัวเราะอย่างน่าเกลียด ดีนะที่เบา ไม่งั้นมาดสาวขรึมคงแตกกระจาย
ขำอะไรของเธอ ฉันดุ
ฉันว่า เราไปห้องน้ำกันก่อนดีกว่า แล้วเธอก็ลากมือฉันเข้าห้องน้ำทันที
ว้าย! ฉันร้องเสียงหลงเมื่อเห็นตัวเองในบานกระจก หน้าตาฉัน ก็หน้าตาฉันน่ะสิ มาสคาร่าไหลเยิ้มลงมาที่ขอบตา ดำยิ่งกว่าผีดิบเสียอีก ส่วนแป้งรองพื้นก็ลบเป็นจุดๆ ดูตลกอย่างน่าเกลียด ที่ปากก็เป็นคราบน้ำลายผสมกับลิปสติกดูน่าเกลียดจัง สงสัยเป็นตอนที่ฉันหลับไปแน่เลย ตายแล้วทำไงนี่ ฉันลนไปหมดแล้ว ทำอะไรไม่ถูกเลย แป้งพับก็ไม่ได้ติดตัวมาด้วยสิ ทำไงดีๆ ทุกคนก็เห็นฉันในสภาพนี้หมดแล้ว ทีนี้ฉันจะทำไงล่ะนี่
ไม่รู้จะทำยังไงฉันหาที่ระบายทันที ยัยปอ! เพราะยัยนี่คนเดียวทำให้ฉันต้องซวยอย่างนี้ ทำไมฉันต้องมาเจอแต่เรื่องแย่ๆ แบบนี้ด้วย นี่ยัยเพื่อนตัวแสบ ทำไมเธอไม่บอกฉันฮ่ะ ว่าหน้าตาฉันเป็นแบบนี้ ปอฟางหัวเราะอย่างบ้าครั่ง หัวเราะฉันแน่ๆ เลย เพื่อนกันทำกันได้ลงคอ ฮึ! คอยดูนะถึงคราวเธอฉันจะไม่เตือนบ้างคอยดู
ฉันทำหน้าเศร้าได้ผล ยัยปอ เงียบทำตาสำนึกทันที ฉันกำลังจะบอกเธอแล้วนะ โอ๋ๆ แต่เธอก็ฉุดฉันวิ่งมาเอง จนฉันไม่มีโอกาสได้เตือน ข้ามถนนก็เกือบจะโดนรถชนด้วยซ้ำ พอมาถึงเธอก็เดินลิ่วๆ ไป ฉันตามก็ไม่ทัน ไม่รู้จะรีบไปไหน ขึ้นมาก็เหนื่อยแทบแย่ นี่ก็รีบบอกแล้วนะ ฮึ! ทำคุณบูชาโทษแท้ๆ
ขอบใจจ้า ฉันประชด โอ้ย! ฉันอุตส่าห์วาดภาพไว้ซะสวยหรู ว่าวันนี้ฉันจะต้องโดดเด่นกว่าใครๆ แต่ดูสิ ฮือๆ
โอ๋ๆ วันนี้เธอก็ดูโดดเด่นแล้วไง ใครว่าเธอไม่เด่น พูดจบปอฟางก็หัวเราะขึ้นมาอีก
นี่เธอหัวเราะอะไรนักหนา ปอฟางหยุดหัวเราะแล้วส่งกระดาษทิชชู่ให้ฉันเช็ดหน้าตาอันทุเรศของฉัน ฉันรีบล้างหน้า และเช็ดคราบต่างๆ ออกจนหมดสิ้น
ปอฟางยืนดูแล้วยิ้มให้พร้อมกับเอ่ยชม เธอนี่ไม่ต้องแต่งหน้าก็น่ารักดีออก จะตื่นมาแต่งหน้าทำไมก็ไม่รู้ตั้งเช้ามืด เชื่อเขาเลย ประโยคสุดท้ายเธอกล่าวอย่างเอือมระอา
เชอะ! เรื่องนั้นมันแน่อยู่แล้ว ฉันมันสวยแต่กำเนิดย่ะ ไม่ต้องมาพูดดีเลยนะ แทนที่จะเตือนกันบ้างไม่มีเลยนะ ฉันยังงอนอยู่
เถอะน่า รีบไปเรียนกันเถอะนะ เดี๋ยวเกิดอาจารย์เข้าล่ะก็คราวนี้เธอเด่นอีกครั้งแน่ๆ ยัยฟางตัดบท แล้วเดินนำหน้าฉันไปห้องเรียน
พอถึงหน้าห้องฉันก็พยายามก้มหน้า เผื่อว่าคนอื่นจะจำฉันไม่ได้ ก็ตอนแต่งหน้ากับไม่แต่ง หน้ามันต่างกันจะตายไป พวกนั้นเห็นฉันแป๊บเดียวคงจำไม่ได้หรอกหน่า ฉันกับปอฟางเลือกที่นั่งโต๊ะแถวท้ายๆ พอนั่งปุ๊บเพื่อนโต๊ะข้างๆ ก็เข้ามาทักฉันทันที ถ้าไม่เกิดเรื่องเมื่อกี้ขึ้นฉันคงรู้สึกดีกว่านี้แหล่ะนะ แต่ตอนนี้ฉันรู้สึกว่าไม่อยากคุยกับใครเลยจริงๆ ให้ตายสิ ทักทำไมเนี่ย
สวัสดีจ๊ะ เธอชื่ออะไรเหรอ ฉันชื่อแป้งนะสาวคนผมหยิกทักฉัน
สวัสดี ฉันเมย์แล้วนี่เพื่อนฉันปอฟางจ๊ะ
ยินดีที่ได้รู้จักเธอทั้ง 2 คนนะ นี่เพื่อนฉัน จุ๋ม นัด แอน เธอพูดพร้อมกับหันไปแนะนำเพื่อนในกลุ่ม
ฉันรู้สึกหมั่นไส้ยัยนี่จัง ทำไมต้องทำเสียงดัดจริตอย่างนั้นด้วย แล้วดูแต่งตัวสิ รัดติ้วซะขนาดนั้น ดูกระกระโปรงสิสั้นจุ๋ดจู๋ เอ! ไม่ใช่สิ ต้องสั้นจุ๋ดจิ๋มถึงจะถูกก็หล่อนเป็นผู้หญิงนี่ ยังไงก็ช่างเถอะเป็นอันว่าสั้นขนาดฉันเองก็ตกใจก็แล้วกัน หน้าก็จัด คิดว่าสวยตายล่ะ ยัยลิงทั้ง 4 เอ๋ย ถ้าพวกหล่อนไม่แต่งหน้า หน้าตาจะเป็นไงน้า
ขณะที่ฉันนินทาและคิดอะไรเรื่อยๆ อยู่นั้น แป้งก็พูดขึ้นมาอีกว่า เธอไปลบหน้าแล้วเหรอ เมื่อกี้พวกเราตกใจหมดเลย แหม! เธอนี่ตลกดีนะ กล้าแต่งแบบนั้นมาด้วย โดดเด่นไปเลย พูดจบพวกเธอก็หัวเราะขึ้นมาอีก
เธอพูดถึงอะไรเหรอ ฉันงงไปหมดแล้ว เมื่อกี้นี้พูดถึงฉันหรือเปล่า แผนของฉันได้ผล พวกนั้นหยุดหัวเราะทันที พร้อมกับทำหน้างงๆ
ทันใดนั้นแอนก็พูดขึ้นว่า ก็เมื่อกี้คนที่แต่งหน้าจัดๆ มาสคาร่าเยิ้มๆ ไม่ใช่เธอเหรอ ฉันจำได้นะเธอนี่แหล่ะ
ฉันทำหน้างง ทำแบบว่าไม่รู้เรื่องที่พวกนี้พูดกัน อะไรของเธอเหรอ ฉันเพิ่งเข้ามาเมื่อกี้เองนะ เธอพูดถึงเรื่องอะไรกันเหรอฉันงงเหมือนกันนะเนี่ย ฉันดัดเสียงเลียนแบบแป้ง
ก็มีคนหน้าตาเหมือนเธอมากๆ เลย แต่แต่งหน้าตลกๆ เดินมาก่อนเธอสัก 10 นาทีได้มั้ง ไม่ใช่เธอเหรอ งั้นฉันก็ขอโทษด้วยจริงๆ นะ แป้งพูดพร้อมกับทำหน้าสำนึกผิด แต่แววตากำลังซอกซอนเข้ามาในสายตาฉันเหมือนค้นหาอะไรบางอย่าง
ฉันทำหน้าใสซื่อพร้อมกับพูดว่า ไม่เป็นไรจ๊ะ ทันใดนั้นเสียงเพื่อนๆ ก็เงียบลง และพวกเราก็เงียบทันทีที่อาจารย์เดินเข้ามาในห้อง
18 กรกฎาคม 2549 09:16 น.
ใบคา
นอนไม่หลับ
มันเป็นคืนที่สองสำหรับ ผม ที่นอนไม่หลับ ถึงแม้ว่าจะเริ่มเอนกายให้ขนานกับเบาะเป็นเวลาเที่ยงคืนเข้าไปแล้ว ใช้เวลาครึ่งแรกของยามวิกาลให้หมดไปกับการอ่านหนังสือ เพื่อหวังความเมื่อยล้าของสายตาและท่านั่งนอน ก็ยังไม่อาจใช้เวลาครึ่งคืนหลังเป็นช่วงของการหลับใหลได้ ผมนอนพลิกตัวไปมา เบิกตากว้างในแสงสลัวจิตใจจินตนาการไปอย่างไม่หยุดหย่อน ไหลไปดังสายน้ำและนาฬิกา ฟุ้งกระเจิงจนเกือบล้นหัวออกมา
พุทธ โธ พุทธ โธ พุทธ - โธ
ผมท่อง พุทธ โธ พร้อมกับหายใจเข้าออกลึกๆเพราะมันมักจะได้ผลในตอนที่นอนไม่หลับ แต่ในครั้งนี้ ไม่ว่าจะท่องกี่ร้อยกี่พันจบ ผมก็ยังเบิกตากว้างอยู่อย่างนั้น มองฝ้าเพดานสีเทาขุ่นเนื่องจากแสงไฟอันน้อยนิด แต่ยังสามารถมองเห็นหลอดไฟ นีออน ได้ชัดทุกดวง ผมเริ่มนับจากซ้ายมือเบาๆ
หนึ่ง สอง สาม สี่
สี่ดวง นับทวนกลับจากขวามาซ้ายก็แล้ว ก็ยังไม่หลับถ้าเป็นวันธรรมดา ผมมักจะลุกขึ้นมาเปิดคอมพิวเตอร์ ตัวเก่าบนเก้าอี้ญี่ปุ่นเล็กๆ แล้วเลือกเกมส์โปรดขึ้นมาเล่น ร่างกายทนไม่ไหวก็จะพล่อยหลับไปหน้าคอมพิวเตอร์นั่นเอง แต่คืนนี้ได้แค่นอนคิดถึงห้องนอน นึกถึงคอมพิวเตอร์ตัวนั้นหากตอนนี้ผมอยู่ที่นั่น คงไม่กังวลเรื่องนอนไม่หลับในคืนนี้
พลิกตัวช้าๆอีกครั้งมองดูผู้ป่วยเตียงใกล้ๆนอนหลับกันอย่างสบาย หลายคนนอนอยู่ท่านั้นมาตั้งแต่เมื่อกลางวันปัจจุบัน ตีสองก็ยังคงสภาพอยู่เช่นนั้น บางเตียงลุกขึ้นมานั่งเกาะขอบกั้นเตียงสายตามองออกไปนอกหน้าต่างในหัวรู้สึกเหมือนกับไม่ได้คิดอะไรเมื่อยแล้วก็ล้มตัวลงนอน บางคนนอนคุดคู้อย่างไม่รับรู้ว่ายังมีอีกคนหนึ่งที่ยังไม่หลับแต่ด้วยความจำเจผมก็เริ่มอ่อนล้าและม่อยหลับลงไปแต่กว่า จะขับตาหลับได้ก็เกือบตีสองกว่าเข้าไปแล้ว
หลับลงได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ก็ต้องสะดุ้งตื่นเมื่อรู้สึกเหมือนมีมือนุ่มมาสะกิดเบาๆข้างแขน ผมเริ่มเปิดตาอย่างช้าๆ ปรากฏร่างหญิงสาวรูปร่างบอบบางใบหน้าซีดเซียวเข้ากับชุดสีขาวอย่างกับเป็นสีเดียวกัน ทำเอาถึงกับนิ่งทำอะไรไม่ถูก ร่างนั้นค่อยๆเผยิอริมฝีปากออกช้าๆเป็นรอยยิ้มให้และพูดว่า
คุณ อนุสรณ์ วัดไข้ค่ะ
ผมจึงยื่นมือไปรับปรอทวัดไข้ตามคำเชิญชวนจากพยาบาลสาวทันทีที่สิ้นสุดคำพูด พลันสายตาเริ่มปรับสภาพจากการเบลอเริ่มเห็นหน้าอันสดใสของพยาบาลสาวชัดเจนขึ้น เริ่มเปิดปากจะทักหน่อยแต่ก็ต้องยกเลิกไปเพราะว่าคิดไม่ออกว่าจะเริ่มยังไงดีจนเธอ ก้าวย่างไปสะกิดเตียงข้างๆต่อไป
ยังไม่ทันที่ พยาบาลจะมารับปรอทคืนไป พยาบาลอีกคนก็เดินเข้ามาแต่คราวนี้เธอเดินเข้ามาด้วยรัสมีเจิดจ้า จนทำให้ รู้สึกแสบตาไปหมดเพราะว่าเธอเปิดไฟมาด้วย
วัดความดันหน่อยค่ะ
เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงสดใสในขณะที่เป็นเวลาดึกมากแล้วทำให้ อดคิดไม่ได้ว่าพยาบาลเหล่านี้ไม่เพลียกันบ้างหรือ
อ้อ! ขอปรอทด้วย เธอหันกลับมาพูดในขณะที่กำลังจะจากไปอีกเตียงหนึ่ง
คนไข้ทุกคนตื่นเพราะการปลุกโดยไม่ตั้งใจของพยาบาลที่ทำตามหน้าที่ประจำและทุกคนยกเว้นตัวผม หลับลงไปอีกเมื่อไฟเริ่มดับลง
คงเป็นเพราะคนไข้เตียงอื่นๆได้รับทั้งยาแก้ปวด ยานอนหลับจึงทำให้หลับง่ายกว่าสภาพแวดล้อมก็ล้วนแต่เป็นผู้ป่วยที่ผิวหนังเหี่ยวย่นกันแทบทั้งสิ้นจึงทำให้ไม่คุ้นเคย ถึงแม้ว่าเป็นการนอนบนเตียงของโรงพยาบาลเป็นคืนที่สองแล้วแต่ผมก็ยังไม่ได้รับยาเลยแม้แต่เม็ดเดียว ประกอบกับห้องที่ นอนอยู่นั้นเป็นห้อง ศัลยกรรมชาย ซึ่งเป็นห้องพักฟื้นของคนที่รับการผ่าตัดมา มันเป็นห้องที่ให้คนที่ยังไม่ผ่าตัดแต่ต้องผ่าตัดแน่นอนในสองสามวันนี้ มานอนปรับสภาพความเคยชินและสังเกตุการณ์เสียก่อน ด้วยเหตุนี้คนไข้คนอื่นจึงหลับกันง่ายเหลือเกินเพราะเมื่อปวดแผลก็ได้รับยาแก้ปวดด้วยฤทธิยาก็หลับไป บางคนปวดแผลจนหลับไปก็มี และต่างคนต่างเคยชินกับเตียงเพราะการพักฟื้นการผ่าตัดของผู้ค่อนข้างสูงอายุนั้นต้องใช้เวลามาก ดังนั้นคนไข้แต่ละคนต้องครอบครองเตียงของตัวเองไม่ต่ำกว่าคนละ 2 สัปดาห์ แต่สำหรับคนซึ่งยังปกติอยู่อย่าง ผมย่อมทำให้หลับยากยิ่งขึ้น และที่สำคัญคือคงเป็นเพราะว่าการนอนผิดที่ด้วยเช่นกัน
ผมต้องมานอนก่อนหน้าวันผ่าตัดถึงสามวัน ส่วนนี่วันที่สอง ผมก็ได้เพียงนั่งเล่น นอนเล่น กินก็เล่น อ่านหนังสือจบเล่มแล้วเล่มเล่า ไล่ไปตั้งแต่นิตยสารไปจนถึงหนังสือธรรมมะที่ทางโรงพยาบาลจัดเตรียมไว้ให้ล้วนผ่านสายตามาหมดแล้วหากว่าจะจัดรายการแฟนพันธุ์แท้ เรื่องหนังสือบริการโรงพยาบาลที่หนึ่งคงไม่แคล้วคลาดแน่แท้
คืนนี้ก็เหมือนคืนก่อนหน้า ผมเริ่มล้มตัวลงนอนหลังอ่านหนังสือจบไปห้าทุ่มกว่าค่อนไปทางเที่ยงคืน เมื่อเอนกายพยาบาลก็เริ่มปิดไฟตามทางเดินและเตียงต่างๆที่ค้างอยู่เนื่องจากว่า ผมนั้นเป็นคนนอนทีหลังในสำหรับความคิดของผม ผมว่าก็ยังดีที่ไม่มีการมากำหนดเวลานอนของคนไข้ไม่งั้นคงเครียดเพราะการนอนไม่หลับมากกว่าเครียดเรื่องการผ่าตัดอย่างแน่นอน
ได้เพียงแต่นอนถอนหายใจยาวๆหลายๆครั้ง ตีสาม ทุกอย่างเริ่มค่อยๆเงียบสงบลงอีกครั้ง แต่ทว่าในหัวยังคงวุ่นวายทั้งเสียงและเหตุการณ์ต่างๆขึ้นเรื่อยๆจนไม่อาจข่มตาหลับลงได้ อีก
แกะตัวที่หนึ่ง แกะตัวที่สอง....แกะตัวที่สิบ ผมเริ่มใช้วิธีที่เคยได้ฟังมาตั้งแต่จำความได้
แต่ยิ่งนับก็เหมือนกับการไล่ต้อนฝูงแกะให้มันเข้าไปเลาะเล็มหญ้าในสมอง เริ่มรู้สึกว่าสมองค่อยๆขาด อ๊อกซิเจนไปหล่อเลี้ยงเพราะว่าฝูงแกะจำนวนหลายสิบตัวที่เข้าไปเลาะเล็มหญ้าหรือขี้เลื่อยอะไรก็แล้วแต่นั้น มันมาแย่งอากาศกันหายใจจนทำให้ อ๊อกซิเจนในสมองน้อยลงหนำซ้ำมันยังถ่ายรดเรี่ยราดลงในหัว จนทำให้รู้สึกว่าก๊าซ มีเทนเริ่มแผ่ฝุ้ง
กระจายทั่วรอยหยักของสมองหนักหัวยิ่งขึ้น ไม่ได้การละผมสะบัดหัวไล่ฝูงแกะนั้นทันที ฝูงแกะตกใจกระโดดหนีหายไปจนหมด เริ่มปรอดโปร่งในสมอง หายใจสะดวก หัวใจเต้นเร็วเพราะความดีใจที่สามารถไล่ฝูงแกะไปได้ เลือดสูบฉีดไปทั่วร่าง ความสดชื่นกลับขึ้นมาอีกครั้งและหลับไม่ลงอีกครา
เริ่มคิดว่าบางทีหากใช้วิธีคิด ทำให้ใจคิดไปเองว่ากำลังหลับ นอนบนเตียงที่สบายอาจจะหลับไปเองก็ได้เช่นเดียวกัน เหมือนอย่างพระ ลามะ ของทิเบต สามารถนอนบนหิมะได้เป็นคืนๆโดยไม่สวมเครื่องกันหนาวใดๆเลยแม้แต่น้อย เพราะว่าพระเหล่านั้นใช้วิธีฝึกจิตใจนั่นเอง ผมยิ้มในใจคราวนี้จะลองทำอย่างพระ ทิเบต บ้างถึงจะไม่รู้หลักเท่าใดแต่จากสาระคดีที่ดูมาอาจจจะช่วยได้บ้าง
ไม่รอช้าผมคิดว่าหลับพยายามไม่คิดสิ่งใดเลยนอกเหนือจากเตียงคิดเพียงอย่างเดียวว่า หลับ หลับ หลับ จนกลายเป็นท่องหลับ หลับ อยู่ในใจอย่างนั้นจนเพี้ยนออกมาเป็น พุทธ โธ พุทธ โธ อีกครั้งหนึ่งผมเบิกตาโพรน แล้วหลับตาลงอีกตามเดิม ภาวนาใหม่ หลับ หลับ หลับยานอนหลับต้องหลับแน่
เออ! ผมอุทานเบาๆ
ทำยังไงถึงจะได้กินยานอนหลับผมพึมพำ
ตะแคงตัวไปทางเตียงของ ลุงเพิ่ม ผู้ปวดโรคหัวใจซึ่งขณะนี้กำลังนอนหลับสบาย มองดูแกหลับอย่างเงียบๆ ลุงเพิ่ม มักจะขอยานอนหลับจากพยาบาลเสมอโดยอ้างว่าปวดแผลแล้วทำให้นอนไม่หลับอีกทั้งวัย หกสิบหกของแกก็เป็นอุปสรรคในการหลับเหลือเกิน และแกก็จะได้รับยามาทุกครั้งที่แกขอเช่นเดียวกัน คืนนี้ก็เหมือนคืนก่อนๆจนแกโดนพยาบาลบ่นประจำ ผมยังจำได้ดีถึงเหตุการณ์เมื่อตกเย็นขณะที่ ลุงเพิ่ม ขอยานอนหลับกับพยาบาลสาวด้วยวาจาที่อ่อนหวานถึงจะโดนบ่นอย่างไรก็ยังทนขออยู่จนกว่าจะได้
หมอๆ(ไม่ว่าพยาบาลหรือผู้ช่วยหรือใครก็ตามที่ทำการดูแลคนไข้ถูกเหมาเป็นหมอทั้งสิ้น) คืนนี้ขอยานอนหลับด้วยนะเมื่อคืนไม่ได้ให้ นอนไม่ค่อยหลับเลย
ไม่หลับอะไรเห็นหลับปุ๋ยทุกคืน พยาบาลหยอก
ไม่หลับจริงๆ แค่หลับตาเฉยๆ แกยังพยายามต่อ
กินยานอนหลับมากๆไม่ดีนะ พยาบาลเตือน
มันนอนไม่หลับจริงๆ แกอ้อน
อือๆ พยาบาลรับปาก
สักครู่ใหญ่ๆพยาบาลก็กลับมาใหม่พร้อมยานอนหลับสีฟ้าครึ่งเม็ดยื่นให้แก
อ้าว! ทำไมไม่ใช่สีขาวเปลี่ยนยาใหม่หรือแบบนี้จะหลับดีเหมือนยาก่อนๆไหมล่ะเนี่ยแบบเก่าหมดแล้วหรือหมอ
อ๋อเอาแบบเดิมหรือ มีๆเดี๋ยวนะไปเปลี่ยนมาให้พยาบาลตามใจ
พยาบาลหายไปอีกครั้งทีนี้ ลุงเพิ่มแกลุกไปเข้าห้องน้ำในขณะที่ พยาบาลสาวใจดีเดินย้อนกลับมาพร้อมยานอนหลับสีขาวในแก้วยาเล็กหนึ่งเม็ด แล้ววางไว้ที่เตียงของแก พร้อมกับถาม ผม ว่าแกไปไหน
เมื่อได้รับคำตอบจากผม พยาบาลสาวคนนั้นเริ่มจะหันหลังก้าวกลับไปที่เดิมแต่บังเอิญเหลียวมองเห็น ผมกำลังทำหน้าสงสัยเหมือนจะเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่างเธอก็ชะงักหยุดสักครู่แล้วยิ้มให้กับพร้อมถามว่า
เมื่อคืนนอนหลับไหมจ๊ะ
ผมยิ้มให้แล้วสั่นหัวเป็นคำตอบ
เอาด้วยไหม พยาบาลสาวถามอีกครั้ง
ไม่ทันได้ตอบอะไรพยาบาลสาวก็รีบพูดขึ้นมาอีกว่า
ยาแก้ปวดน่ะ แล้วเธอก็เดินยิ้มไป
*****
17 ธันวาคม 2548 09:41 น.
ใบคา
พ่อเลี้ยงใจยักษ์
ขืนใจลูกเลี้ยง
นานนับ ๕ ปี
เธอวางหนังสือพิมพ์แปะลงบนโต๊ะไม้เล็กๆ ภายในร้านกาแฟทันที ที่อ่านพาดหัวข่าวของหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง พร้อมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนที่จะบ่นพึมพำ แล้วจึงค่อยๆบรรจงโน้มหน้านำปากอันแตกและแห้งกรานอันเนื่องจากปราศจากการตกแต่งจากเครื่องสำอางแต่อย่างใด เธอเผยอ ริมฝีปากอันแห้งกรานนั้นคาบหลอดกาแฟปั่น อย่างช้าๆ ในร้านกาแฟที่เธอมักจะมานั่งสั่งกินประจำทุกๆวัน หลังจากที่ตื่นนอนในบ่ายแก่ๆย่ำเย็นไปค่อยข้างมากปล่อยใจและสิ่งต่างๆให้ผ่านจมหายไปในสายตาและโสตประสาทขังมันไว้อย่างนั้นโดยที่มีรสขมอมหวานของกาแฟปั่นที่เคลื่อน
จากหลอดพลาสติกเข้าสู่หลอดคอเป็นตัวช่วยกระตุ้นเป็นระยะๆ
จริงๆแล้วเธอก็อยากจะใช้ชีวิตประจำวันเหมือนหลายล้านคนเขาทำกัน และเธอก็อยากจะตื่นเช้าเหมือนกับหลายๆคนที่เขาทำหรือเป็นกัน อยากตักบาตรตอนเช้า อยากนอนตั้งแต่หัวค่ำให้ร่างกายพักผ่อนในยามค่ำคืนได้อย่างเต็มที่ เฉกเช่นสังคมรอบๆข้างเธอเป็นกัน แต่นั้นมันก็เป็นเพียงความต้องการที่มักจะแย้งกับความเป็นจริงอยู่เสมอ เพราะว่าขณะที่คนเหล่านั้นเขาตื่นนอนกัน เธอเพียงแต่จะเริ่มนอนเท่านั้น และในขณะที่เขาตักบาตรกัน เธอก็เคลิ้มหลับไปแล้ว
เธอหยิบหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นขึ้นมาอ่านดูพาดหัวอีกครั้ง ในใจคิดเพียงแต่ว่าทำไมสังคมเราช่างแหลกเหลวได้ถึงเพียงนี้ ข่าวข่มขืนกระทำชำเรามีมาดาหน้าจ่อแถวรอคิว เหมือนกับเด็กน้อยเข้าแถวรออาหารกลางวันอยากใจจดใจจ่อ เข้าแถวเพื่อจะนำตัวเองมาปรากฏกายเป็นพาดหัวตัวใหญ่ในหน้าหนังสือพิมพ์รายวันได้เขียนได้พิมพ์กันอย่างไม่มีจบสิ้น เธอได้แต่เพียงปล่อยให้ความคิดหยุดนิ่งเพียงเท่านี้ ด้วยรสกาแฟปั่นอึกใหญ่เต็มๆคำ หยุดด้วยอาการเสียวฟัน ทันทีที่เกร็ดน้ำแข็งปั่นมาออกันเต็มปากเธอ และหยุดด้วยคำถามในใจว่า ทำไม!
ทำไม! ทำไมสังคมไทยจึงเป็นเช่นนี้ ทำไมพระเจ้าจึงสร้างให้ผู้หญิงอ่อนแอกว่าผู้ชายและสร้างให้เกิดมาเป็นเครื่องเล่นของผู้ชาย มันช่างเป็นเรื่องที่ไม่มีความยุติธรรมเอาเสียเลย หากว่าวันใดเธอได้ลาจากโลกนี้ไปไม่ว่าด้วยสาเหตุและวิธีใดก็ตาม เธออยากจะเจอพระเจ้าอีกสักครั้ง (หากว่าพระเจ้ามีจริง) และเธอจะถามพระเจ้าด้วยข้อข้องใจของเธอนี้เพื่อให้คำว่า ทำไม! หายไปจากเธอเสียทีแต่ถ้าหากว่าเธอตกนรกละ เธอจะได้เจอพระเจ้าหรือเปล่า แต่คงไม่เป็นไรมันต้องมีสักวันหนึ่งละที่พระเจ้าต้องมาเที่ยวนรกบ้าง แล้ววันนั้นเธอก็จะได้สางความสงสัยเสียที
หนังสือพิมพ์ถูกหยิบแล้ววาง วางแล้วหยิบ อ่านเฉพาะพาดหัวข่าว ๓ บรรทัดนั้นกลับไปกลับมา โดยที่ไม่ต้องการอ่านและรับรู้เนื้อหาข้างในเพิ่มอีก เพียงเท่านี้มันก็ทำให้เธอรู้สึกหดหู่ใจมากพออยู่แล้ว รู้สึกเศร้าสลดใจ รู้สึกเข้าไปถึงในอดีตครั้งที่ยังเยาว์วัยอายุเพียง ๑๔ พองามๆ
เธอเพียงแค่บ่นพึมพำกับตัวเองว่า ก็ยังถือว่าดี ดีอย่างไรคนถูกข่มขืนนานนับหลายๆปีเธอยังมีรอยยิ้มแบบยิ่งๆแถมความเห็นใจปนอยู่ในรอยยิ้มนั้น
ก็ยังถือว่าดีในความรู้สึกของเธอต่อเด็กน้อยในพาดหัวข่าวครั้งนี้ก็ยังนับว่าเด็กคนนั้นยังโชคดีกว่าเธอมากนัก ดีกว่าในแง่ของความรู้สึก ในแง่ของความนับถือและศรัทธา เด็กน้อยคนนั้นถึงแม้ว่าจะโดนข่มขืนจากพ่อเลี้ยงเป็นเวลานานแต่เหตุการณ์อย่างนั้นแต่ก็เคยประสบพบเจอมาเช่นกัน แต่เนื่องด้วยระยะเวลาและความกร้านโลกเป็นได้แปรสภาพตัวของมันเองเป็นเตาหลอมตัวใหญ่หล่อหลอมให้เธอไม่รู้สึกกับมันเสียแล้วเหมือนกับมันไม่เคยเกิดขึ้นกับเธอเลยในชีวิตนี้ ทำให้อดีตที่โหดร้ายต้องยอมจำนนเป็นได้แค่เพียงฝันร้ายในคืนหนึ่งของเธอ ด้วยความร้ายกาจนั้นทำให้เธอต้องสะดุ้งเฮือกตื่นขึ้นมาด้วยเหงื่อดันแตกพรัก และหายไปกับความแห้งระเหยของเหงื่อแห่งความน่ากลัวนั้นและช่วยย้ำดับความน่ากลัวนั้นลงไปด้วย ยานอนหลับอีก ๒ เม็ด ตามด้วยน้ำเปล่าเต็มแก้วก่อนจะล้มตัวลงนอนต่อไปเพื่อต้อนรับเย็นของวันใหม่
แม้ฝันร้ายอันนั้นจะโบกมือลาเธอไปอย่างถาวรแต่ทว่าความทรงจำยังไม่เคยตามฝันร้ายนั้นไปด้วยเลย มันยังคงแวะมาทักทายเธอทุกครั้งที่รู้สึกว้าเหว่เหมือนจะคอยเตือนเธอว่าอย่างน้อยเธอก็ยังมีมันเป็นเพื่อนอยู่ เธอยังคงทักทายกับความทรงจำของฝันร้ายนั้นต่อไปภายในร้านกาแฟถึงลูกค้าจะเข้าออกมากน้อยเพียงใดหรือจะมีคนทักทายเธอแต่เหตุการณ์เช่นนี้ก็ไม่อาจทำให้เธอไล่ความทรงจำนี้ออกไปเหมือนกับว่าเธอยังต้องการสนทนากับเพื่อนคนนี้ต่อไป
กาแฟปั่นพร่องไปกว่าครึ่งแก้วแล้ว ในขณะที่เธอกำลังขุดคุ้ยความทรงจำของฝันร้ายนั้นขึ้นมาจากเบื้องลึกของหัวใจโดยมีพาดหัวข่าวตัวใหญ่ ๓ บรรทัดนั้น เป็นจอบและเสียมอย่างเยี่ยมให้เธอใช้ขุดคุ้ยได้โดยไม่เปลืองแรงแต่อย่างใด ก็ยังถือว่าดี กลับเข้ามาช่วยเธอขุดคุ้ยด้วยอีกแรง ก็ยังถือว่าดีในความหมายที่นิยามจากความรู้สึกของเธอนั้น มันช่วยบอกเธอว่า เมื่อเทียบกับเธอแล้ว ยังดีที่ปีศาจร้ายในคราบของมนุษย์นั้นเป็นเพียงบิดาภายในนามมันจึงได้เพียงสร้างตราบาปให้กับเด็กสาวคนนั้น แค่ความรู้สึกจากการถูกแย่งชิงของรักของหวงโดยที่ไม่เต็มใจ ตราเข้าไปในจิตใจแม้จะลึกเพียงใด เมื่อปล่อยให้เวลามาชะล้างออกไปก็จะหายไปเองโดยอัตโนมัติ เหมือนกับรอยคราบสกปรกบนสิ่งของอันเกาะแน่นเมื่อใช้แรงน้ำฉีดเข้าไปนานๆก็อาจจะหลุดออกไปได้
และ..ความรู้สึกเช่นสาวน้อยคนนั้น เธอก็เคยรับรู้มาไม่ต่างกัน มิหนำซ้ำยังจะมีมากกว่าด้วยเพราะเหตุการณ์ของเธอมันมรความรู้สึกที่เข้มข้น เข้มข้นเหมือนเลือดที่โดนมีดเฉือนเนื้อเป็นแผลหยดลงมาเป็นสาย โปรยปรายเหมือนสายฝนที่กระทบกับหลังคาและพากันไหลลงมาตามร่องของกระเบื้องหลังตกลงมาเป็นสาย น้อยบ้างมากบ้างตามกระแสของฝน และการกักเก็บน้ำของร่องกระเบื้องบนหลังคา มันคือเลือดและเนื้อที่สร้างเธอมา คือมนุษย์ในร่างแฝงของจอมปีศาจ คือบุพการีผู้ให้กำเนิด และผู้ทำลายให้ป่นปี้ไปในตัว
เธอโดน พ่อบังเกิดเกล้าข่มขืนมานานหลายปี พอๆกันกับระยะเวลาของเด็กหญิงในพาดหัวข่าวนั้นโดยที่มีแม่รู้เห็นเป็นใจ
ทำไมทำกับหนูอย่างนี้ หรือหนูไม่ใช่ลูกแท้ๆคำถามอย่างนี้เคยกรูกันออกจากปากของเธอหลายต่อหลายครั้งแต่คำตอบที่ได้กลับทำให้เธอต้องช้ำใจหนักหลายเท่าตัว มึงเป็นลูกกู กูให้มึงเกิดมา กูจะทำอย่างไรก็ได้ แต่ได้แต่รำพึงแค่ว่าหากรู้ว่าจะต้องเกิดมาเป็นลูกของสังคมเช่นนี้จะไม่ขอเกิดมาแน่เลย
และ..ทุกครั้งที่บ้านมีงานเลี้ยงเธอมักจะต้องเป็นผู้ต้อนรับ พวกเพื่อนๆของพ่อเธอภายในห้องของเธอโดยที่พวกผู้ใหญ่นั้นพลัดเปลี่ยนกันเข้าทีละคนทุกครั้งหลังจากที่ทุกคนเมามายได้ที่แล้วจึงทำให้เธอรู้สึกว่างานเลี้ยงที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะนั้นมันช่างไม่น่า โสภาเลยสำหรับเธอ
ทำไมทำกับหนูอย่างนี้ หรือหนูไม่ใช่ลูกแท้ๆ หลังจากงานเลี้ยงเลิกราและหลังจากเธอต้อนรับเพื่อนพ่อและพ่อเอง แล้วคำถามนี้มักจะตามมาเสมอและคำตอบนั้นก็เป็นอย่างเคย เธอได้แต่เพียงโทษฟ้า โทษดิน และโชคชะตา ก้มหน้ารับกรรมที่เธออาจจะเป็นคนก่อไว้แต่ชาติปางไหน ก้มหน้าทดแทนบุญคุณที่ ผีห่า ซาตาน ให้เธอกำเนิดมาอย่างระทมทั้งกายใจ จนกระทั่งเธอสามารถรับรู้ด้วยวัยอันแข็งแกร่งทางด้านความคิดและแรงกายรับรู้ได้ว่า ไม่ว่าฟ้าหรือดิน หรือโชคชะตาไม่อาจขีดเขียนเส้นชีวิตเธอได้หรือแม้แต่บุพการีก็ไม่มีสิทธิ์มาวาดขีดเส้นเธอได้
เธอยังจำได้ดีที่ เธอสามารถทำให้ตัวเองเป็นบุคคลสูญหายจากครอบครัวจำแลงจากภูตผีนั้นได้ มาหางานทำในเมืองอันศิวิไล ด้วยค่าเดินทางเพียงพันต้นๆ โดยทิ้งอดีตที่ข่มขืน ขมจนไม่อาจจะทนกลืนกินลงไปได้อีกแล้วทิ้งมันไปคู่กับคำด่า คำสาปแช่งคำตัดเยื้อไย ของผู้ให้กำเนิดทั้งสองของเธอ แต่คำเหล่านั้นกลับเป็นเหมือนดั่งคำอวยพรจากสวรรค์มอบแต่เธอ
เธอได้งานทำได้ชื่อใหม่จาก แมวเป็น แคท ในเมืองหลวง ได้หนีจากการถูกกระทำที่เธอไม่ต้องการ ได้งานที่เธอได้เลี้ยงปากท้องเป็นงานสบายๆ และได้ยืนหยัดเพียงลำพัง เพราะไม่อยากให้ไอ้ตัวน้อยของเธอ เป็นอย่างเธอหรืออย่างเด็กในพาดหัวข่าว
กาแฟปั่นเหลือเพียงเกร็ดน้ำแข็งจืดชืด ซึ่งเธอได้ดูดกินไปพร้อมๆกับอดีตที่เธอระลึกจนหมดรสชาติ ทั้งรสกาแฟและอดีตต่างก็ขมทั้งคู่แต่ทั้งคู้นี้ก็มีสิ่งที่ทำให้หายขมได้ด้วยกัน กาแฟเติมครีมน้ำตาลลงเป็นใช้ได้ ส่วนอดีตนั้นเติมอนาคตและปัจจุบันลงไปก็หายสิ้น....กาแฟหมดแต่เออยากได้มันอีกจึงชูมือ เอ่ยปากสั่งเจ้าของร้าน เพียงแค่ริมฝีปากเริ่มเพยอออกมาเท่านั้นเอง เสียงที่เธอคุ้นเคยก็พลันมาขัดเสียก่อน
อี แคท เย็นแล้วนะโว้ย ไม่รีบเข้าร้านไปแต่งตัวอีกเดี๋ยวแขกมา ไม่ทันบริการเขา แม่ก็ด่าอีกหรอก เสียงเพื่อนของเธอตะโกนออกมาเรียกจาก ร้านคาราโอเกะข้างๆเธอได้ยินแต่ทำเฉยไม่สนใจ จนเจ้าของเสียงนั่นต้องเดินหนีไปและเธอก็เริ่มชูมือเรียกเจ้าของร้านต่อไป
เก็บตังค์คะ
*****
16 ธันวาคม 2548 14:37 น.
ใบคา
ยามเช้าของเดือน ตุลาคม เดือนที่สายฝนยังโปรยปรายเป็นสายบ้างเป็นห่าบ้างแล้วแต่อารมณ์และความพอใจของเทวดาแต่ไม่เคยทิ้งช่วงห่าง
เกิน ๓ วัน แสงอาทิตย์แทงกลีบเมฆดำที่เกาะกลุ่มกันอย่างหนาแน่นมาตั้งแต่เดือนที่แล้วโดยไม่มีทีท่าว่าจะคลายความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แสงอาทิตย์ที่เล็ด
ลอดออกมาได้ก็พอจะช่วยขับไล่ความเปียกชื้นไปได้บ้างเล็กน้อย เด็กวัดเดินตามเณร เณรเดินตามพระ ออกบิณฑบาตรแล้วตั้งแต่เช้ามืด เสียง หมาเห่าหอน
ตั้งแต่ก่อนที่พระยังไม่ออกบิณฑบาตร มันเป็นหมาที่สั่งเข้ามาเลี้ยงจาก ญี่ปุ่นเห่าหอนได้ไม่เลือกเวลาข้าวก็ไม่กิน กินแต่เบนซินเป็นอาหารหลักและน้ำมัน
เครื่องเป็นอาหารเสริมที่สำคัญมันไม่รู้ด้วยว่าใครคือเจ้าของมัน มันถูกเจ้าของสั่งให้ลากเลื่อนออกไปตลาดเพื่อซื้อของมาเตรียมขายในร้านขายของตรอกเล็ก
ซอยน้อย
ในยามเช้าที่แสนจะวุ่นวายของผู้คนในอำเภอเมืองอันไกลปืนเที่ยงแห่งนี้ "ลัดดา" สาวน้อยจากเมืองหลวงผู้หลงไหลกลิ่นไอ ของชนบทเดิน
ออกมาจากซอยเล็กๆข้างโรงพยาบาล ลัดเลาะซอกตึกร้านเรือนซึ่งมีความสูงไม่เกิน ๓ ชั้นมุ่งหน้าสู่ ศูนย์เยาวชนอันเป็นสถานที่ออกกำลังกายของคนเมือง
นี้ มีถนนกั้นรอบรั้วของศูนย์อีกริมฝากถนนนั้นเป็นตึกรวงซึ่งนั่นก็มีความสูงเพียง ๓ ชั้นเช่นเดียวกัน
นี่เป็นเช้าที่ ๓ แล้วที่เธอมาออกกำลังกายในสวนแห่งนี้ ที่ๆเป็นที่เล่นกีฬาของกลุ่มเยาวชน อันซึ่งรัฐบาลจัดให้และใช้ชื่อเรียกว่า "ลานกีฬาต้าน
ยาเสพย์ติด" แต่รู้จักในนามของกลุ่มวัยรุ่นว่า "ลานกีฬาพร้อมยาเสพย์ติด" เพราะเมื่อเล่นกีฬาเสร็จไม่เกาะกลุ่มกันกินเหล้าต่อก็นั่งบ่นควันอยู่ริมสนามจน
ชินตา แต่ตอนเช้าอย่างนี้ก็กลายเป็นที่ออกกำลังกายของวัยกลางคนเพราะวัยรุ่นนั้นกลัวว่าตื่นขึ้นมาแล้วจะไม่มีอะไรจะให้กินเลยต้องนอนกินบ้านกินเมือง
ไปก่อนเพราะอย่งน้อยตื่นขึ้นมาก็ไม่ต้องตาลีตาเหลือกหาของกินอย่างไม่ลืมหูลืมตา
ลัดดา ชอบเมืองนี้มากและนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกของเธอที่เดินทางมาพักผ่อนที่นี่ เธอจะมาพักผ่อนและเยี่ยมพี่ชายทุกๆปิดภาคเรียนเนื่องจากพี่ชาย
ของลัดดา เป็นหมออยู่ ณ ที่แห่งนี้ ที่ๆไกลความเจริญทั้งๆที่เป็น อ.เมืองแต่ก็ยังเล็กกว่าตำบลหรือเขตของกรุงเทพฯหลายเท่าโดยไม่ฟังเสียงค้านของแม่พ่อ
แม้แต่น้อยและโดยสาเหตุอันใดนั้น "ลัดดา" ก็ไม่อาจทราบได้นั่นเป็นเพราะว่าความเป็นคนเงียบขรึมของพี่ชายนั่นเอง ลัดดา ชอบที่เมืองไร้คนยากไร้คนรวย
เพราะแทบทุกคนมีฐานะไม่ต่างกันนักถึงจะมีคนรวยอยู่บ้างแต่นั่นก็ช่วยเหลือกันดี ไม่มีขอทานที่ทำให้ ลัดดา ต้องควักกระเป๋าควานหาเศษเหรียญออกมาให้
เป็นประจำเหมือนอยู่เมืองหลวงทั้งๆที่รู้ว่าขอทานพวกนี้มีนายหน้าอยู่เบื้องหลังแต่เนื่องด้วยความใจอ่อนรักเพื่อนมนุษย์ของเธอจึงไม่อาจปฏิเสธคำร้องขอนั้น
ได้
ยามเช้าอย่างนี้การออกกำลังกายที่ดีคงหนีไม่พ้นกายวิ่งเหยาะๆและมันก็เหมาะกับร่างกายของเธอสาวน้อยจากรั้วมหาวิทยาลัยมีชื่อแห่งหนึ่งของ
เมืองหลวงซึ่งเหลือเวลาในนั้นเพียงปีเดียว หลังจากนั้นเธอก็คงวิ่งแจ้นหาชนบทที่ห่างไกลเพื่อสานต่ออาชีพครูของเธอ
ทุกๆเช้าที่ผ่านมาทุกอย่งเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะเป็นจำนวนคนที่น้อยบ้างมากบ้าง สีเสื้อที่ใส่ของแต่ละคนก็เปลี่ยนกันอยู่ทุกวัน เมื่อวานป้าคนหนึ่ง
ใส่เสื้อสีเหลืองแต่ทว่าวันนี้ใส่เสื้อสีขาว เมื่อวานมาคนเดียวแต่วันนี้กลับมากับหลานบ้าง ไม่มีใครที่ทำอะไรซ้ำๆแม้กระทั่งตัว ลัดดา เองก็ยังแต่งตัวไม่ซ้ำวัน
เช่นกัน แต่นั่นก็เป็นการกระทำของคนส่วนใหญ่
ชายชราคนหนึ่งนั่งอยู่ที่ม้านั่งข้างสนามบอลให้ต้นไม้ใหญ่ ด้วยเสื้อลายสก็อตกางเกงลูกฟูกขายาวขาดริ่ว ท่าทางซอมซ่อ จากการสังเกตุของ ลัดดา
ลุงคนนี้ทั้งท่าทางการนั่งเครื่องแต่งกายไม่เปลี่ยนไปเลยตลอดระยะเวลา ๓ วันที่ลัดดามาใช้บริการลานวิ่งข้างสนามฟุตบอลแห่งนี้
"สวัสดีค่ะ" ลัดดา ปล่อยให้ความสงสัยหยุดแค่นั้นเดินเข้าไปทักทายทันที
คำตอบรับที่เธอได้คือความเงียบ
เธอไม่สนใจว่าคำตอบรับที่ได้จะเป็นอย่างไร ลัดดา เข้าไปนั่งใกล้ทันที
"โทษนะค่ะ ! หนูเห็นลุงมานั่งตรงนี้ทุกวันเลยคอยใครหรือเปล่าค่ะ"
เหมือนเดิมคำตอบที่ได้คือความเงียบ
ไม่ว่าเธอจะชวนคุยอย่างไรก็ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาจากปากของชายชราคนนั้นเลยแม้แต่น้อย จน ลัดดา ไม่รู้จะขุดเอาคำพูดอะไรมาชวนคุยอีก
เธอก็นั่งเงียบไปสักพัก ไม่ช้าท้องฟ้าก็มืดครึ้มฝนตั้งเค้าจะตกลงมาแต่แปลกที่ไม่มีลมโกรก ผู้คนก็ไม่มีใครแตกตื่นหนีฝนกัน ลัดดาจึงไม่สนกับเหตุการนั้นเมื่อ
นั่งอยู่ครู่หนึ่ง ลัดดา ก็จนปัญญาจึงลุกขึ้นขณะที่ชันตัวยืนขึ้นนั้นหน้าของเธอก็ค่อยๆเงยขึ้นพร้อมกับการชันตัวท้องฟ้าที่ทำท่าจะมืดครึ้มเมื่อไม่นานมานี้พลัน
ดำสนิททำให้ ลัดดา งงอยู่พักใหญ่เธอหันไปมองชายชราข้างก็ไม่มีไม่รู้หนีฝนไปตั้งแต่เมื่อไหร่เธอยกมือทั้งสองขึ้นขยี้ตาครั้งหนึ่งเพื่อให้แน่ใจว่าเธอไม่ได้
หน้ามืดตาลายไปเอง
ทันทีที่ ลัดดา ลืมตามองดู ที่ๆเธอยืนอยู่กลับไม่ใช่ที่เดิมแล้วไม่มีตัวเธอไม่มีใครมีแต่ป่ารกร้าง ฝัน! จิตสำนึกแรกที่โพล่งเข้ามาในตัวเธอ
"เอาจริงๆหรือ" เธอรีบหันมองไปตามเสียงทันที่ ภาพที่เธอเห็น เป็นภาพชายวันรุ่น ๒ คนกำลังนั่งคุยกันอยู่ในกระท่อมกลางป่า
"เฮ้ย!" เสียงแรกย้ำเรียกหาคำตอบหลังจากที่ไม่ได้รับคำตอบจากเพื่อน
"แน่นอน" เสียงชายใส่เสื้อลายสก็อตกางเกงลูกฟูกขายาวใหม่เอี่ยมตอบ
"มันหยามกูมากเลยนะเว้ยไอ้ ดำ มันข่มขืนเมียกูแล้วยังเอาไปขายต่ออย่างนี้จะให้กูทำไงว่ะ มันจ้างเราไปเก็บคู่อริให้แต่พอ ให้น้อยเมียกูไปทวง
เงินมันกลับทำอย่างนี้มไมันก็กูต้องตายกันไปข้างล่ะ" เขาตอบด้วยความเครียดแค้น
หลังจากตั้งใจฟังอยู่นาน ลัดดา จับใจความได้ว่าทั้งคู่เป็นมือปืนและได้รับงานฆ่าคนให้กับนายจ้างแต่ต้องหลบตำรวจจึงส่งให้เมียไปรับเงินค่าจ้าง
ที่เหลือแทน
ทันใดทั้นเองรามศูรก็พลันทำขวานหล่นลงมาเป็นสายฟ้าผ่าจ้าไปหมด ทำให้ ลัดดา มองอะไรไม่เห็นอีกเมื่อหายจากอาการแสบตาจากแสงฟ้าผ่าฟ้า
แลบภาพที่ลัดดาเห็นคือ ชายผู้สวมเสื้อลายสก็อต กับ นายดำเพื่อนของเขากำลังใช้ปืนลูกโม้จ่อขนับคนๆหนึ่งอยู่ในห้องนอนโดยที่ทั้งคู่ไม่รู้เลยว่าหลังบ้านนั้น
มีวงเหล้าของลูกน้องเจ้าพ่อคนนั้นตั้งวงกันอยู่นับ ๑๐ คน
"มึงรู้ไหมกูเป็นใคร" ชายชุดสก็อตถามเบาๆแบบกัดกรามถาม
"ใคร" เสียงเสี่ยตอบมาเบาๆ
โป้ง!
"ชาติ" เขาบอกชื่อ "คนที่มึงเอาเมียมาทำของเล่นไง"
"ไป ดำ" ชาติ ชวนเพื่อนออกไปอย่างช้าโดยไม่ทิ้งนิสัยโจรที่จะต้องหยิบของมีค่าติดไม้ติดมือไปด้วย
แต่ช้าเสียแล้ววงเหล้าหลังบ้านได้ยินเสียงปืนรีบแห่กันมาดูเห็นทั้งคู่กำลังหนีออกจากบ้านไปทางป่าละเมาะหน้าบ้าน
เปรี้ยง!
เสียงลูกซอง แฝดดังตามหลังทันทีตะกั่วทั้ง ๙ เม็ดพุ่งตรงเข้ากลางหลังชาติครบทุกเม็ดแต่เนื่องด้วยระยะที่ไกลพอดูจึงทำให้ตะกั่วทั้ง ๙ นั้นบานออก
ไม่เกาะกันเป็นก้อนแต่นั่นก็ทำให้ ชาติ หยุดการเคลื่อนไหวในทันที
"ไหวไหม" ดำถาม
"อือ" ชาติคราง
"อย่งนี้ไม่ไหวแน่ แต่ไม่เป็นไรเดี๋ยวกูจะล่อมันหนีไปที่อื่นแล้วกลับมาช่วยมึง"
ชาติเพียงแต่จับมือ ดำ เบาๆเป็นสัญลักษณ์ว่า อย่างทิ้งกูนะ
"กูเคยทิ้งมึงหรือ มึงคอยอยู่นี่อย่าไปไหนนะเดี๋ยวกูมา บางทีกูอาจจะไปหาหัวหน้าเก่ากูมาช่วยอยู่ใกล้ๆนี่เองโดนแค่นี้ไม่ถึงตายหรอก"
"อย่าไปไหนนะมึง" ดำกำชับ
แล้วดำก็ยิงปืน ดัง ปัง เพื่อล่อให้กลุ่มนั้นตามเขาไป
ผ่านไปครู่ใหญ่ ก็มีเสียงเรียก "ชาติๆ" เบาๆ
ชาติ ขานรับ โป้งๆๆๆๆๆ เสียงปืนดังถี่ยิบร่างของ ชาติ พรุน
ลัดดาอยากจะตะโกนอยากจะร้องแต่ก็ทำไม่ได้ เหมือนมีอะไรมาบีบไว้ให้ดูเฉยๆ
"ลัดดาๆ" เธอหันกลับไปตามเสียงเรียกทันที ภาพที่เธอเห็นคือพี่ชายของเธอเดินเข้ามาหาจากกลางสนามฟุตบอล(เดินลัดสนามมา)ท้องฟ้ายังคง
มัวฟ้ามัวฝนเหมือนเมื่อตอนที่เธอออกจากบ้านมา ทุกคนต่างวิ่งออกกำลังกายหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ชายชราคนนั้นก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม เธอหันไปมองพร้อม
ยิ้มอย่าง งงๆ แต่ไม่ทันได้คิดอะไรต่อพี่ชายเธอก็เดินเข้ามาถึงแล้ว "พี่จะมาบอกว่าวันนี้พี่ไม่กลับบ้านเพราะต้องไปสัมมนาเอ้า!นี่กุณแจบ้าน" พี่ชายเธอยื่นกุญแจบ้านให้
พร้อมเดินไปทันทีด้วยความรีบ ตอนนี้ ลัดดา ก็อยากกลับบ้านแล้วเช่นกันเพราะรู้สึกสับสนเรื่องเมื่อกี้มากแต่เธอก็คิดแค่ว่าคงเผลอนั่งหลับไปเพราะเมื่อคืน
นอนดึกไปหน่อยไม่ทันโบกมือลา ชายชราคน นั้น แกก็พูดออกมาลอยๆว่า "ลุงชื่อ ชาติมานั่งคอยเพื่อนนานแล้วยังไม่มาเลย"
*************