7 มีนาคม 2550 10:13 น.

โลกกลมๆ ของฉัน ตอน 2 ฉันจะดังแล้ว

ใบคา

ตอนที่ 2: ฉันจะดังแล้ว

     ฉันยืนหอบฮักๆ หลังจากที่กระชากยัยปอ วิ่งออกจากห้องทันทีที่หมดวิชาเรียน 

     นี่เมย์! เป็นบ้าอะไรอีกเนี่ย อยู่ๆ ก็ฉุดกระชากออกมาอย่างนี้ ตกใจหมดเลย เหนื่อยด้วย

     อาย! คิดดูสิ 4 คนที่นั่งใกล้เรายังจำได้เลยว่าฉันหน้าเลอะขนาดไหน แล้วคนอื่นล่ะจะเหลือเรอะ ต้องรีบออกมาอย่างนี้แหล่ะจะได้ไม่มีใครคุ้นอีก พรุ่งนี้ค่อยทำตัวปกติเหมือนชาวบ้านเขา คนไทยไม่จำอะไรนานหรอกเธอ

     ขำ ปอฟางพูดทำปากแบะ

     เรื่องอะไรย่ะ ฉันค้อนใส่

     เล่นกระโตกกระตากออกมาอย่างนี้ ไม่มีใครสงสัยหรอกเธอ เขาต้องคิดว่าใช่เลยล่ะ โง่นี่

     อ้าว! เหรอ ทำไงดีล่ะ 

     ไปหาอะไรกินกันก่อนดีกว่า ปอฟางตัดบททันที ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไรต่อ เธอก็เดินรี่ไปยังร้านอาหารนอกมหาลัยเสียแล้ว ฉันต้องรีบเดินตามไปอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก เรื่องราวต่างๆ ยังคงคาใจไม่ยอมหลุดสักที หวังจะมาโดดเด่นในมหาวิทยาลัยในวันแรกให้หลายคนอึ้งกับความสวยของฉันสักที แต่นี่ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ได้นะ เฮ้อ! แต่ไม่เป็นไรยังไงความสวยของฉันก็ไม่ได้ลด ลองไปประกวดดาวเดือนดีกว่า เผื่อจะดัง

     ฮ่าๆๆ... ฉันหัวเราะในใจดังๆ แต่มันเล็ดลอดออกมาเป็นรอยยิ้ม

     แอบขำตัวเองเหรอ ว้า! ปอฟางสังเกตุเห็นจนได้ เธอนี่ก็ปล่อยให้มีควาสุขในโลกส่วนตัวสักเดี๋ยวก็ไม่ได้

     เปล่า! ฉันรีบปฏิเสธ ก็คิดอะไรเพลินตามประสาคนสวย ขี้เหล่อย่างเธอบอกไปก็คงไม่เข้าใจหรอก ฮึ อยากมารบกวนโลกส่วนตัวแสนสวยของฉันดีนัก ต้องเจอแบบนี้

     ก็ชอบไปยืนดูตัวเองในกระจกคนเดียวประจำน่ะสิ ถึงไม่รู้ว่าคนสวยกว่าเธอมีอีกมากมาย เอ้ะ ยัยนี่ แทนที่จะสลดกลับตอกมาอีก

     เดี๋ยวเหอะๆ ฉันค้อนอีกรอบ ไปๆ รีบไป หิวไม่ใช่เหรอ ต้องรีบตัดบทเพราะรู้สึกว่ายัยปอจะเป็นต่อ

     แต่เดี๋ยวนะ เหมือนมีใครเดินตามเรามา ฉันแอบมองเขาครั้งหนึ่งหน้าตาดีด้วยสิ น่าแปลกตรงที่เขาเดินตามมาตั้งนานแล้วน่ะสิ เอ้ะ! หรือว่าจะเป็นไอ้โจรปล้นสวาด ต้องใช่แน่ๆ เลย หล่อๆ อย่างนี้ต้องเป็นพวกโรคจิต ชอบข่มขืนสาวสวยๆ แน่ แล้วฉันจะทำไงดี จะเตือนปอฟางดีไหม ไม่ดีๆ ยัยนี่ยิ่งขี้ตกใจอยู่ด้วยขืนบอกไป แล้วมายืนตัวสั่นทำอะไรไม่ถูกก็เข้าแผนมันพอดี ไม่ได้การล่ะถึงขั้นนี้แล้วก็ต้องใช้อาวุธกันบ้าง ยังไม่หยุดตามล่ะก็เห็นดีแน่ อ้าว! คัตเตอร์ที่พกประจำไปไหนเนี่ย แย่แล้ว 

     ตึกๆๆ เสียงหัวใจของฉันเต้นถี่ขึ้นเรื่อยๆ

     ไปปอ สิ้นเสียงฉันดึงมือปอฟางออกวิ่งอีกรอบ โอ้ย! ทำไงดีมันวิ่งตามาด้วยสิ

     หยุด! เสียงชายหญิงคู่หนึ่งดังขึ้นพร้อมกัน แต่เหมือนมากันคนล่ะที่

     โครม! ไม่ทันแล้วล่ะ ฉันลงไปจ้ำเบ้ากับพื้นแล้ว

     เป็นไงบ้าง ปอฟางดึงฉันลุกขึ้นยืน

     โอย... ฉันตอบได้แค่นั้น นอกจากก้นจะกระแทกพื้นอย่างจังแล้ว หัวก็ชนอะไรเข้าก็ไม่รู้ เฮ้ย! แล้วอีตาบ้านี่วิ่งมายืนหัวเราะข้างๆ ปอฟางทำไมล่ะเนี่ย หนอยทำให้คนเขากลัวแล้วยังมาเยาะเย้ยกันอีก เชอะ! นึกว่าหล่อแล้วจะทำกิริยาอย่างไรก็ได้งั้นเหรอ

     หัวเราะอะไร ฉันมองตาเขียวปั้ด มือปัดกระโปรงไปมา

     ขอโทษครับ เป็นอย่างไรบ้าง ผมไม่ทันเห็นจึงชนคุณเข้าอย่างจัง อ๋อ! วัตถุที่ชนฉันนี่คือสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์ผู้ชายนี่เอง 

     อ๋อ ไม่เป็นไรค่ะ แค่นี้เอง ฉันก็เดินไม่ดูเองแหล่ะ ไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่คุณเจ็บบ้างไหม นี่วิญญาณนางฟ้าเข้าสิง

     ไม่เป็นไรครับ งั้นผมไปแล้วนะ พอดีมีเรียน นี่ก็สายแล้ว เขาก้าวออกไปเร็วๆ โดนไม่ลืมคำนับขอโทษอีกครั้ง สุภาพบุรุษจริงๆ 

     โห ไอ้บ้านั่นยังไม่หยุดหัวเราะอีกเหรอนี่ หยุดหัวเราะได้แล้ว ญาติเสียเหรอไง ไอ้บ้านี่

     หยุดก็ได้ แค่นี้ก็ต้องด่ากันด้วย เขาทำหน้าเป็นเข้าใส่

     เธอจะวิ่งทำไมกันหาเมย์ ปอฟางเปิดศึกกับฉันอีก

     มานี่ๆ ฉันดึงมือปอฟางเข้ามายืนใกล้ๆ อย่าไปยืนใกล้มัน ก็หนีไอ้บ้านี่แหล่ะ มันแอบสะกดรอยตามเรามาตั้งนานแล้วรู้ไหม ดูมัน ว่าแล้วยังจะมาทำหน้าหล่อใส่อีก นึกว่าหล่อตายแหล่ะ ดูๆ หน้าตามันสิ ผู้ร้ายข่มขืนชัวร์

     อ้าว พิพากษากันเสร็จสรรพ เขาประชด ผมวรวุธ ในฐานะเพื่อนเรียกผมว่า วุธ ก็แล้วกัน ผมเรียนห้องเดียวกับคุณนั่นแหล่ะ เพียงแต่คุณไม่สังเกตุ ถ้ายังไม่เชื่อผมจะบอกว่าก่อนเข้าคาบเรียนวิชาเมื่อกี้นี้คุณคือคนที่แต่งหน้าเลอะๆ เข้ามา

     จำคนผิดแล้วย่ะ ฉันเชิดใส่

     แหม เขาลากเสียง ไม่ต้องอายหรอกน่ารักออก คนสวยทำอะไรก็ดูดี

     มันก็แน่อยู่แล้ว อ้าว! แย่แล้วตกหลุมพลางจังเบ้อเร้อเลย และเขาเริ่มจะยิ้มออกมาแล้ว นั่นใงหัวเราะจนได้ ฉันแค่ลองสร้างเทรนด์ใหม่ต่างหากเผื่อจะฮิต
เขาหยุดหัวเราะทันทีที่เห็นแววดาดุๆ ของฉัน

     ตกลงตามพวกฉันมาทำไม อย่ามาหัวเราะกลบเกลื่อน ฉันดุใส่

     คืออย่างนี้นะ พี่ชายของผมที่อยู่ชมรมละคร กำลังหานักแสดงหน้าใหม่อยู่ แล้วผมก็เห็นว่าคุณน่าสนใจดี ก็แค่จะเดินมาทาบทามดู ใครจะไปคิดว่าเรื่องจะเป็นถึงขนาดนี้ ประโยคสุดท้ายเขาพูดเบาเหมือนบ่น

     ฉันสบตาปอฟางทันที เราทั้งคู่ต่างงุนงง ไม่รู้ว่ายัยปองงอะไรส่วนฉันงงอย่างสับสน นี่ฉันจะได้เป็นดาราเหรอเนี่ย แววของฉันมันออกขนาดนั้นเลยเหรอ ความฝันที่จะได้โดดเด่นกลับมาอีกครั้งแล้ว 555

     ตอนแรกก็ไม่มั่นใจว่าใช่คุณจริงๆ หรือเปล่าก็เลยเดินตามมาให้มั่นใจก่อน จนกระทั่งคุณออกวิ่งนั่นล่ะถึงว่าใช่แน่ๆ เขาอธิบายแบบยิ้มๆ

     ย่ะ
     เราไปคุยกันร้านอาหารดีกว่าไหม ปอฟางแนะ

     เชิญสั่งตามสบายผมเลี้ยงเอง วุธออกปากหลังจากนั่งลงในร้านอาหารใกล้ๆ นั้น

     จริงนะ ฉันถามอย่างไม่แน่ใจ

     ครับ แต่เฉพาะน้ำนะ เขาทำหน้าทะเล้น

     อ้าว! ปอฟางอ้าปากค้างขณะกำลังจะสั่งอาหาร นึกว่าเลี้ยงข้าว

     ได้ๆ ฉันพูดกัดฟัน แล้วหันไปพูดกับปอฟางว่า สั่งเลยสัก 20 แก้วเอาให้พุงกางไปเลย กวนดีนัก

     ที่นี่น้ำฟรีย่ะ แหม...ทำเป็นจะเลี้ยง ปอฟางกัดต่อ

     ก็ผมไม่ค่อยมีตังค์นี่ เขายังคงพูดทะเล้น

     ตกลงมื้อนี้เงินใครก็เงินมัน รายละเอียดต่างๆ ของงานก็คุยกันในมื้อนี้นี่เอง แต่ยังไงก็ต้องไปคุยต่อกับพี่ชายของวุธอยู่ดี ว่าจะได้เล่นเป็นตัวอะไร เพราะเขาเป็นคนคัดนักแสดง วุธจึงนัดพวกเราไปพบพี่ชายเขาอีกที ดังนั้นเราจึงแยกทางกันด้วยประการฉะนี้

     ทันทีที่กลับถึงห้องพักฉันรีบโทรศัพท์ไปเล่าให้เพื่อนเก่าสมัยมัธยมปลายทันที ทั้งพ่อแม่พี่ป้าน้าอาก็ไม่เว้น จะเรื่องอะไรเสียอีกก็เรื่องที่ฉันจะได้เป็นนักแสดงยังไงล่ะ

     จ้า...อันนี้ก็แน่นอน...ใช่สิ หน้าตาดีอย่างฉันจะเป็นอะไรได้อีกนอกจากนางเอก...ไว้การแสดงมีเมื่อไหร่ฉันจะโทรไปบอกอีกที...หาอะไรนะ...อือๆ จ้า คิดถึงจ๊ะ แค่นี้นะ สวัสดีจ้า

     ฉันกะจะโทรไปบอกคนต่อไปอีก ยังไม่ทันได้กดเบอร์ใหม่เลยปอฟางก็มาแย่งโทรศัพท์จากมือไปทันที

     นิสัยเสีย ฉันค้อน ฉันกำลังจะโทรศัพท์อยู่นะเธอ

     แหม! แค่จะได้เล่นละครเวทีแค่นี้ทำไมต้องประกาศให้โลกรู้ด้วยเหรอแม่พระนางดัง หล่อนประชด

     เฮ้ย..อารมณ์เสีย ไปดีกว่า ฉันสะบัดก้นไปอ่านหนังสือทันที


                                     ***************

วันนัด

     ฉันออกมาคอยวุธเพื่อไปหาพี่ชายของเขากับปอฟางหน้ามหาวิทยาลัยก่อนเวลานัดตั้งครึ่งชั่วโมง ปอฟางยังคงยืนบ่นอยู่ข้างๆ น่ารำคาญจริงยัยนี่มาเร็วแค่ 30 นาทีเอง

     ผ่านไป 35 นาทีนายวุธก็ไม่มาสักที ฉันเริ่มจะหมดความอดทนแล้วนะเนี่ย น่าแปลกนะทั้งๆ ที่เลยเวลานัดมาแค่ 5 นาทีเอง คงเป็นเพราะว่าฉันมาล่วงหน้าตั้ง 30 นาทีแน่เลยจึงดูเหมือนกับว่ามันนานมากแล้ว จู่ๆ นายตัวกวนก็โผล่เข้ามาในสายตา

     ไป อย่าเสียเวลาอยู่เลย มาถึงไม่พูดพร่ำทำเพลงเร่งกันทันที
มาถึงหน้าตึกนิเทศศาสตร์ มันช่างใหญ่โตอะไรอย่างนี้ กว้างหอประชุมโรงเรียนเก่าชนิดทิ้งกันไม่เห็นฝุ่นเลย เอาล่ะสิใจเริ่มสั่นระรัวแล้วสิ ต้องทำใจดีสู้เสือเอาไว้ ต้องมั่นใจ ฮึบ! 

     อ้าว! ยืนนิ่งทำไมตามมาสิ วุธเร้า

     นี่พี่ว่าน เป็นคนกำกับการแสดงและคัดเลือก ไหว้ซะ ฉันกับปอฟางทำตามทันที พี่ครับ นี่เมย์กับปอฟาง ที่ผทบอกจะพามาแนะนำ

     สวัสดีครับน้องเมย์ น้องปอฟาง พี่ว่านทักทาย

     คืออย่างนี้นะ แน่ะใจร้อนทั้งพี่ทั้งน้องเลยนะ พี่หานักแสดงมาหลายวันแล้วแต่ยังไม่มีใครเหมาะสักที พอดีก็เลยให้วุธลองมองๆ เพื่อนในห้องให้หน่อยเห็นมันบอกว่าน้องเมย์น่ะมีแวว เหมาะกับบทที่ขาดพอดี เดี๋ยวจะลองให้ทดสอบดู เอานี่บทลองอ่านดู

     ค่ะ ฉันรับบทมาจากพี่ว่าน

     ไหนดูบ้างสิ ปอฟางเข้ามาใกล้ หลังจากดูเสร็จเธอก็พูดว่า เด่นจริงๆ ด้วย
หลังจากที่ฉันปลีกตัวออกมาดูบทเกิดไม่เข้าใจขึ้นมาก็ต้องกลับไปหาปอฟางใหม่เพื่อขอคำปรึกษา นี่เธอว่าบทมันแปลกๆ ใหม มันดูโดดเด่นเกินไปหรือเปล่า

     ไม่หรอกมั้ง ฉันก็ไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ แล้วเธอจะเล่นได้หรือเปล่า ปอฟางถาม

     ชัวร์ ฉันตอบอย่างมั่นใจ

     พอถึงเวลาพี่ว่านก็เดินเข้ามาหาฉัน ถามว่าพร้อมหรือยัง พอฉันพยักหน้าเท่านั้นแหล่ะ เขาก็ให้ขึ้นไปยืนกลางเวทีทันที ดูอะไรๆ มันช่างรวบรัดไปหมด ดูเหมือนเขาเร่งจริงๆ ทันทีที่ขึ้นไปยืนบนนั้นขาฉันสั่นเหมือนเจ้าเข้าทันที กว่าจะเรียกสติมาได้ก็เล่นเอาหลายนาที พอรวบรวมความมั่นใจได้ฉันก็เล่นตามบทที่ท่องมาเมื่อครู่นี้ทันที ถูกบ้างผิดบ้างก็เล่นไปไม่สนอะไรแล้วเวลานั้น เล่นเสร็จเสียงปรบมือกราวก็ดังขึ้น แหมฉันนี่ช่งเก่งอะรเยี่ยงนี้

     เก่งมากๆ สมกับที่เจ้าวุธมันบอกจริงๆ พี่ว่านชม

     ขอบคุณค่ะสำหรับคำชม แต่เมย์อยากได้ยินคำว่าผ่านมากกว่า

     พี่ว่านหันไปมองเพื่อนๆ ก่อนจะตอบว่า ผ่าน!...เล่นเยี่ยมขนาดนี้ไม่ผ่านได้ไง

     เย้! ฉันเผลอร้องออกมาดังๆ แล้วหนูเล่นเป็นอะไรเหรอค่ะ ทำไมถึงต้องทำท่าแปลกๆ เยอะจัง

     เรื่องนี้ชื่อว่าเพื่อนสนิท พี่ว่านหยุดครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อ บทที่เมย์ได้รับคือคนบ้าครับ

     คนบ้าเหรอ ฉันแว้ดสุดเสียง อะไรกันนี่ ไหนว่าตัวเด่นไง

     ก็นี่แหล่ะบทเด่น พี่ว่านพยายามอธิบาย

     แหม อย่าหน้างอสิ เธอก็เล่นสมบทบาทออกจะตาย วุธเสริม ส่วนปอฟางยืนอมยิ้มอยู่ห่างๆ

     น้องอย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะครับ และอย่าด่วนโกรธด้วย บทนี้น่ะสำคัญมากๆ เลยรู้ไหม เพราะต้องเล่นเป็นเพื่อนสนิทกับคนดี เอ้ย! ตัวเอก ซึ่งมีทั้งหมด 2 คน แล้วเพื่อนอีกคนก็จะถูกล้อว่ามีเพื่อนเป็นคนบ้า แต่เพื่อนคนนั้นก็ยังคงคบกับคนบ้าซึ่งเป็นน้องเมย์ โทษๆ พี่หมายถึงในบท แล้วก็ต้องฝ่าฟันอุปสรรคหลากหลายเพื่อให้ทุกคนเข้าใจ และยอมรับเป็นเพื่อน เข้าใจคนบ้ามากขึ้น เป็นละครเพื่อสังคมเลยนะเนี่ย ถ้าน้องรับเล่นก็จะช่วยให้คนหลายๆ คนเข้าใจคนบ้ามากขึ้น ที่สำคัญบทนี้ไม่มีใครเหมาะเท่าเมย์แล้ว พี่คัดมาตั้งหลายคนไม่มีใครเหมือน เอ้ย! เล่นได้ดีเท่านี้เลย นะๆ รับเล่นเถอะนะ นึกว่าเพื่อคนบ้าไง พี่ว่านพยายามหว่านล้อม

    เอ่อ...คือว่า ฉันอ้ำอึ้ง กำลังลังเลว่าจะรับดีไหม คิดๆ ไปแล้วบทนี้มันก็สำคัญจริงๆ นั่นแหล่ะ

     ตกลงรับนะครับ พี่ว่านว่า

     ค่ะ!

     อ้าว! ตกหลุมอีกแล้วฉัน

******************จบตอน 2****************				
21 กุมภาพันธ์ 2550 12:23 น.

จดหมายถึงเธอในคืนนี้

ใบคา

สุดคิดถึง 
     0.02 น. 
     ขณะนี้ 5 ล้านคนคงกำลังนั่งดูทีวี 
     10 ล้านคนคงกำลังขับรถ 
     7 ล้านคนคงทานอาหารอยู่ 
     100 ล้านคนคงกำลังนอนหลับอย่างสุขอุรา 
     แต่ 1 คนกำลังคิดถึงเธอ 
     ฉันคิดถึงเธอ 
     6 บรรทัด เวลาผ่านไปครึ่งนาที ฉันเขียนอย่างไม่คิดหาความหมายเพียงอยากบอกให้รู้ว่าไม่ว่าในโลกนี้ใครจะทำอะไรอยู่ แต่ 1 คนคนนี้กำลังคิดถึงเธอ ไม่อยากบอกว่าคิดถึงทุกเวลา หรือทุกลมหายใจ แต่เธอคงรู้นะว่าฉันคิดถึงเธอทุกครั้งที่คิดถึง เธอคงจะหาว่าฉันกวนประสาทเธอ จะไม่ให้พูดแบบนี้ได้อย่างไรเพราะว่าถ้าเวลาไม่คิดถึงแล้วจะคิดถึงได้อย่างไรจริงไหม เอาเถอะถึงอย่างไรฉันก็คิดถึงเธอก็แล้วกัน 
     จดหมายอาจช้าไปนิดเพราะคาดว่าหัวใจฉันมันคงโบยบินไปหาเธอตั้งแต่จับปากกาเริ่มตะหวัดอักษรตัวแรกนั้นแล้ว ก่อนลากันฉันสังเกตุเห็นสีหน้าเธอแปลกใจไม่น้อยเมื่อทราบว่าฉันต้องการรู้ที่อยู่ของบ้านใหม่เธอ แต่ไม่ยักถามเบอร์โทรศัพท์ หรืออีเมล์ที่มันเร็วกว่านั้น และเธอก็ทำให้ฉันอดขำไม่ได้ซึ่งนั่นก็ทำให้เธอยิ้มแบบอายๆ งงๆ สาเหตุที่ยิ้มแบบอายๆ เพราะเสียงหัวเราะที่ฉันหมายมั่นให้มันกระทบเธอ และงงตรงที่ฉันยืนยันว่าจะเขียนจดหมายหา เพราะว่าฉันชอบอย่างนี้มากกว่า เธอเฝ้าถามหลายครั้งเรื่องนี้ และวันนี้ในกระดาษแผ่นนี้ และลายมือที่ลากด้วยความคิดถึงฉันขอยืนยันคำเดิมว่าเพราะฉันชอบเขียนจดหมายมากกว่าการสื่อสารอื่นใด ฉันว่ามันมีเสน่ห์ ลายมือที่เด่นชัดสามารถรับรู้ได้ว่าเธอเขียนถึงฉันด้วยความคิดถึงระดับไหน หากเธอเขี่ยๆ เขียนมา เธออาจจะไม่คิดถึงฉันเลยก็เป็นได้เพราะเธอไม่ใส่ใจลงในลายมือนั้นคำนึงเพียงว่าให้มันเสร็จๆ และครบความสงสัยที่ฉันเขียนมาหา อย่างเช่นว่าสบายดีไหม ในทางกลับกันหากลายมือเธอเปี่ยมด้วยความบรรจงนั่นหมายความว่าเธอใส่ใจกับมัน และหมายถึงฉันด้วย เมื่ออ่านคราใดฉันก็จะเห็นภาพเธอ 
     ฉบับนี้เป็นฉบับแรกและฉันบรรจงอักษรอย่างสุดสวยด้วยแรงคิดถึง หวังว่าเธอคงมองเห็นหน้าฉันนะ 
     ฉันใจหายไม่น้อยเมื่อเธอบอกว่าจะย้ายบ้านในวันรุ่งขึ้น ฉันสุดแสนอาลัยเพื่อนรักของฉัน และแค้นเธออยู่ไม่น้อยที่ไม่ยอมแจ้งให้ทราบล่วงหน้าก่อนหลายวัน ถึงแม้เธอจะอ้างว่าเพิ่งรู้จากปากแม่ก่อนหน้าฉันเพียงวันเดียวก็ตาม เธอรู้ไหมว่าฉันไม่เชื่อเธอเลยแม้แต่น้อย แต่ด้วยความที่เธอแสนดีกับฉัน ฉันก็โกรธเธอได้ไม่เกิน 10 นาทีหรอกเพื่อนรัก 
     ฉันรู้ดีว่าเธอคงลำบากใจไม่น้อยที่จะต้องกล่าวคำลาแต่เนิ่นๆ เธอคงอยากคบหากับฉันอย่างไม่มีเงื่อนไข คบหาอย่างปกติเหมือนว่าวันนั้น วันที่เราทั้งสองโบกมือให้กันจะไม่มีทางเกิดขึ้น สองเราจึงยิ้มและหัวเราะด้วยกันอย่างเป็นมา ใช่ไหมเธอ 
     รูปที่ฉัน Print ออกมาอย่างรีบๆ เธอเก็บเอาไว้ข้างเตียงนอนหรือเปล่า ห้ามเอาไปเก็บไว้ที่อื่นนะ ฉันไม่ให้อภัยแน่ๆ คำใต้ภาพนั้นมันติดตาฉันตลอดเวลา คำว่า คืดถึงก่อนนอนนะ เหนือข้อความนั้นเป็นรูปฉันนั่งค้ำคางด้วยมือทั้งสองข้างในชุดสีดำ ที่เลือกรูปนี้ก็เพราะว่าเธอจะได้เห็นหน้าฉันชัดๆ ไง ส่วนของดูต่างหน้าจากมือเธอนั้นขณะนี้ฉันวางมันไว้ข้างกาย บนโต๊ะเขียนหนังสือตัวนี้ นี่ไงรูปถ่ายของเธอยิ้มหวานอยู่นี่ไง ไม่รู้ว่าถึงตรงนี้เธอจะยิ้มบ้างหรือเปล่า แต่ฉันอุปมาเอาเองว่าเธอคงต้องยิ้มอย่างแน่แท้ 
     ต้องขอโทษด้วยที่ฉันไม่อนุญาตให้เธอติดต่อกับฉันทางโทรศัพท์ ด้วยเหตุผลที่เคยให้ไว้ก่อนหน้านี้ แม่ของฉันบอกว่าเธอโทรฯ มาหาและยื่นหูโทรศัพท์มาให้ ฉันก็ไม่ยอมรับ เพราะเธอคือคนพิเศษ จดหมายจึงเหมาะสมกับเธอเป็นอย่างยิ่งเพราะฉันรักจดหมายซึ่งหมายความว่าฉันก็รักเธอ 
     เพื่อนรักของฉัน ความสัมพันธ์ของเราไปกันได้ดี ครอบครัวของเธอไม่น่ามีเหตุจำเป็นที่ต้องย้ายที่อาศัยเลย ฉันเข้าใจดีด้วยอาชีพของคุณพ่อเธอ ที่ต้องย้ายตามหน้าที่เพื่อรักษาสันติให้คงไว้แก่บ้านเมือง แต่ฉันก็สุดอาวรณ์เธอเหลือเกิน ฉันหมายมั่นว่าหากใช้เวลาสนิทสนมกันอย่างนี้อีกสักหน่อย (สักหน่อยของฉันมันอาจมากสำหรับเธอก็ได้ แต่ฉันยืนยันว่าไม่เกินปีแน่) ฉันคงยอมรับเธอให้มากกว่าเพื่อนรักทีเดียว 
     ท่ามกลางสายน้ำที่ไหนจากหน้าผาสูงกระทบโขดหินและแอ่งน้ำดังซ่า ผู้คนมากมายขวักไขว่ส่งเสียงเซ็งแซ่ เด็กน้อยกระโดดน้ำเสียงตูมตาม แต่วันนั้นเหมือนมีเราแค่สองคน ฉันไม่รับรู้ถึงเรื่องราวรอบข้างเลย ไม่รู้ด้วยสาเหตุอันใดเหมือนกัน เพราะอย่างนี้กระมังฉันถึงกล้าพูดกับเธอวันนี้ ว่าอีกไม่นานฉันจะเลื่อนขั้นของเธอให้มากกว่าคำว่าเพื่อน 
     เธอคงจะไม่รู้ว่าฉันมีความสุขเพียงไร แม้ว่าฉันจะด่าเธอว่า บ้า! ไร้สาระ และแถมตบหัวเธออีกฉาดเบาๆ เมื่อเธอกุมมือฉันไว้แน่น และถามว่าเราจะเป็นแค่เพื่อนกันแค่นี้อย่างนั้นเหรอ สายตาเธอมันฟ้องเต็มๆ ว่าเธอหมายถึงสิ่งใด หลังจากนั้นเธอก็ไม่แสดงอาการอย่างนั้นอีกเลย 
     เพื่อนรักของฉัน ฉันเต็มใจเลื่อนขั้นเธอแล้ว ณ วันนี้ แต่กลัวเธอจะเปลี่ยนแปลงความคิดนั่นเสียแล้ว และกลัวว่าความห่างไกลจะเป็นกำแพงกั้นระหว่างเราสองคน อีกอย่างก็คือเธออาจจะพบเพื่อนใหม่อีกหลายคน ซึ่งฉันไม่อาจรับรู้ได้เลย แต่ถึงอย่างไรระยะทางก็พิสูจน์แล้วว่าฉันรักเธอเกินกว่าเพื่อนเสียแล้ว 
     ฉันยังคงกระหายที่จะเขียนถึงเธออีกเยอะๆ แต่ทว่ามันดึกเกินกว่าที่ฉันจะทนเขียนอยู่ได้ เพราะพรุ่งนี้มีธุระแต่เช้า คือเรียนพิเศษหมายมั่นไว้ว่าปีหน้าจะเข้ามหาวิทยาลัยในเมืองกรุงให้ได้ และจะชวนเธอไปพบกัน สานต่อสายสัมพันธ์ของเราที่นั่นให้เหนียวแน่น 
     เธอจะยินดีไหม 
     หากเธอต้องการตรงกับฉันก็รีบๆ ขยันเข้านะ เห็นทีต้องจบจดหมายเพียงเท่านี้ ฉันจบบรรทัดนี้ อยากขอร้องเธอหนึ่งอย่างคือให้กลับไปอ่าน 6 บรรทัดแรกอีกครั้งก่อนจะพับมันเก็บไว้อย่างเก่า 
     คิดถึงอีกแล้ว 


***********************************				
6 กุมภาพันธ์ 2550 09:59 น.

เด็กชายเขา

ใบคา

ลำธารแห่งนี้ร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่ห้อมล้อมทั้งสองฝั่ง ฝั่งทางทิศเหนือเป็นป่ายางพาราอันรกทึบ สาเหตุที่ชาวบ้านเรียกป่า เพราะว่ามันไม่มีสภาพส่วนไหนเหมือนสวนเลย เนื่องจากขาดคนดูแลเจ้าของสวนไม่มาแวะเวียนแรมปี แต่ก็ไม่มีใครกล้าบุกรุกเอาเป็นของตัวเอง ต่างรอคอยเวลาให้มันรกทึบกว่านี้เสียก่อน อีกทั้งเวลายังไม่มากนัก หากได้เวลาเหมาะเจาะพวกเขาจะแย่งกันมาถากถางเพื่อยึดเป็นกรรมสิทธิตัวเอง ด้วยเหตุผลที่ว่าที่ดินไม่มีเจ้าของคอยดูแล คนที่เข้ามาเผ้าถางจึงมีสิทธิครอบครอง เพราะผืนดินนั้นยังไม่มี นศ.3 ถ้าเปรียบเหมือนคนก็คงเหมือนคนบ้าที่ไม่อาบน้ำเนื้อตัวมอมแมม ผมเผ้ายุ่งเหยิง ป่าฝั่งนั้นจึงดูน่ากลัว แต่กระนั้นยังพอมีทางเดินเป็นช่องเล็กๆ สำหรับนายพรานล่าสัตว์เล็กๆ จำพวกตะกวด เหี้ย ตลอดจนกระรอกและนก

       ส่วนฝั่งตะวันตกเป็นสวนจับฉ่ายเพราะเจ้าของปลูกไม้ยืนต้นไว้มากมายทั้งเงาะ ทุเรียน มังคุด ฯลฯ ทั้งหมดมีประปรายใกล้ลำธาร โดยเฉพาะเงาะเจ้าของปลูกเยอะกว่าชนิดอื่น จึงทำให้ลำธารสายนี้ดูร่มครึ้ม เพราะเงาะที่ปลูกนั้นอายุก็มากต้นจึงสูงใหญ่ เนื่องจากชาวบ้านชายเขา นิยมปลูกเพื่อกินมากกว่าจะจำหน่าย จึงไม่สนตกแต่งมากนัก หากยืนกลางลำธารก็จะมองเห็นฉากที่ล้อมรอบลำธารนี้อย่างชัดเจนเหมือนภาพวาดสีน้ำมันครอบคลุมที่แห่งนี้จนหมดสิ้น

       น้ำในลำธารใสสามารถมองเห็น ก้อนหินกลมๆ สีเหลืองขุ่นได้ชัดเจน บางก้อนก็เล็กมีสีแดงสีดำและลวดลายที่สวยงาม หินในลำธารชายเขาเช่นนี้ค่อนข้างออกไปในลักณะมนและเนียน ไม่มีตะไคร่เกาะเพราะน้ำไหลอยู่ตลอดเวลา ปลาที่อาศัยอยู่ในลำธารแห่งนี้ล้วนเป็นชนิดที่ปราดเปรียว และแข็งแรง

       ลำธารแห่งนี้ยังคงทำหน้าที่เป็นทางผ่านของน้ำจากภูเขา และยังคงเป็นแหล่งอาหารให้สัตว์น้ำหลายชนิด มีแต่เสียงนกและเสียงน้ำไหลเท่านั้นที่แว่วเหนือลำธารแห่งนี้ จวบจนกระทั่งนาฬิกาบอกเวลา 4 โมงเย็นนั่นแหล่ะความจำเจอย่างร่มรื่น จะถูกแต่งแต้มด้วยความซนของ ต้น และดำ เด็กวัย 7 ขวบทันที 

       วันนี้ก็เหมือนทุกๆ วันพวกเขามาพร้อมตะกร้าใส่หัวหอมเล็กๆ ของแม่ ของต้นนั้นสีเขียว ส่วนของดำเป็นสีแดงสดใส ขณะนี้พวกเขาในร่างกายที่เปรือยเปล่า ส่วนเสื้อผ้านั้นถูกแขวนไว้บนกิ่งไม้บนบก กำลังก้มๆ เงยๆ อยู่ริมลำธารส่วนที่ตื้นที่สุด ก็คือส่วนที่ใช้เป็นทางข้ามระหว่างป่ายางและสวนของต้นนั่นเอง ริมลำธารที่พวกเขายืนนั้นระดับอยู่ที่ตาตุ่มเด็กน้อย ส่วนกลางลำธารนั้นอยู่ในระดับน่อง ความกว้างของลำธารนั้นประมาณ 8 เมตร ส่วนเหนือลำธารขึ้นไปทางต้นน้ำจากจุดนี้จะค่อยๆ ลึกลงเรื่อยๆ ลักษณะเป็นแบบตกท้องช้างระดับความลึกนั้นประมาณความสูงของเด็ก 7 ขวบ ส่วนผู้ใหญ่นั้นสบายๆ เพราะระดับท้องเท่านั้น นอกจากตะกร้าแล้วทั้งสองคนยังพกขวดน้ำอัดลมขนาด 1.25 ลิตรมาด้วยคนละอัน ขวดนั้นถูกตัดปลายออกให้เป็นรูปทรงกระบอกแล้วใส่น้ำลงครึ่งขวด ขณะนี้มันถูกปักลงไปในโคลนตรงขอบลำธารเรียบร้อยแล้ว 

       หลังจากที่ก้มๆ เงยๆ อยู่สักพักดำก็ลงนั่งยองๆ ซึ่งต้นก็ทำลักษณะเช่นนี้เหมือนกัน ในระยะที่ห่างกันไม่กี่ก้าว ดำจับตระกร้าสีแดงด้วยมือขวาอย่างมั่นคง ค่อยๆ จุ่มมันลงไปในลำธารช้าๆ แล้วคาเอาไว้อย่างนั้น มือซ้ายโดยเฉพาะนิ้วชี้และนิ้วโป้ง จับก้อนหินก้อนหนึ่งที่ดำเห็นกุ้งข้าวสาร ตัวสีขาวขนาดนิ้วก้อยหนีเข้าไป นิ้วมือที่เหลืออีก 3 นิ้วของมือซ้ายคอยป้องเอาไว้ไม่ให้กุ้งมันหนีออกมาทางนั้น ดำหมายจะให้มันดีดตัวออกไปในทิศทางที่เขาใช้ตะกร้าดักเอาไว้ ดำทำด้วยท่าทางระมัดระวังเนื้อตัวเกร็งไปทั้งตัว หากทำรุนแรงเกินไปกุ้งตัวนั้นอาจหนีออกจากก้อนหินก่อนที่เขาจะช้อนขึ้นมาทัน ตอนนี้ดำเกร็งแทบจะไม่หายใจ เขาค่อยกดมือขวาลงเรื่อยๆ ส่วนมือซ้ายก็ยกหินขึ้นเรื่อยๆ ทันทีที่หนวดยาวใสๆ ของกุ้งผ่านเข้าเส้นประสาทรับรู้ของดำ เหมือนมันรู้ตัวว่าภัยจะมาถึง มันรีบดีดตัวออกไปทันที โดยธรรมชาติของกุ้งมันจะดีดตัวเองไปข้างหลัง โดยให้เกิดฝุ่นอยู่เบื้องหน้ามัน เพื่อหลอกศัตรูให้เข้าใจว่ามันได้หนีไปข้างหน้าแล้ว แม้ว่ามันจะฉลาด แต่มันลืมไปว่ายังไงก็ไม่มีทางเหนือกว่ามนุษย์อย่างแน่นอน แม้มนุษย์คนนั้นจะมีอายุเพียง 7 ขวบก็ตาม อีกอย่างในหัวของคนนั้นมีสมอง ไม่ได้มีแค่ขี้เหมือนของกุ้ง ทันทีที่ก้อนหินที่มันใช้เป็นเครื่องซ่อนตัวถูกยกขึ้น และดวงตาของมันเห็นมือของดำ มันรีบดีดตัวไปข้างหลังทันที พร้อมกันนั้นดำก็ใช้ตะกร้าสีแดงช้อนทั้งกุ้งทั้งหินขึ้นมาทันที กุ้งขาวตัวเท่านิ้วชี้ดิ้นพร่าบนนั้น ดำลุกขึ้นยืนเอามือซ้ายกุมกุ้งเอาไว้ แล้วรีบวิ่งไปหย่อนไว้ในขวดที่เตรียมไว้ทันที 

       ต้นเดินเข้ามายืนอยู่ข้างหลังดำ ไหนดูบ้างสิกุ้งอะไรวะ กูได้กุ้งกุลาดำตัวหนึ่งไข่เต็มเลย ต้นหมายถึงกุ้งสีดำโดยเรียกชื่อเลียนเสียงจากทีวีที่เคยดู 

       ได้กุ้งข้าวสารตัวใหญ่ ดำตอบพร้อมฉากออกข้างเพื่อให้ต้นได้ดูเต็มตา

        โห! ใหญ่ๆ ต้นก้มมองอย่างตื่นเต้น เพราะกุ้งชนิดที่ว่องไวกว่าชนิดไหน นานๆ ทีจะจับได้ และที่สำคัญตัวมันใหญ่เอาการในสายตาเด็กทีเดียว

        นี่ใหญ่ไหม ต้นชูกุ้งตัวดำที่ไข่เต็มท้องให้ดำดู ตัวมันเล็กกว่ากุ้งข้าวสารของดำนิดเดียว ดำทำตาโตครางอือๆ อยู่ในคอแสดงให้ต้นรู้ว่าดำตื่นเต้นด้วย
 
       เอาไปขังไว้สิเดี๋ยวหลุด ดำเตือน

        ไม่เป็นไรหรอก มันหนักท้องไปไหนไม่ไหวหรอก แล้วต้นก็เดินหัวเราะเดินไปหย่อนกุ้งตัวนั้นในขวดน้ำของเขาที่อยู่ไม่ไกลกันนัก

        ทั้งคู่จับกุ้งและเวียนมาหย่อนลงในขวดอย่างนั้นอย่างเพลิดเพลิน เป็นความสุขที่พวกเขาหาได้ทุกเย็นหลังเลิกเรียน เสียงน้ำและเสียงนกร้องช่วยทำให้จิตใจของเด็กน้อยร่างเริงเป็นทวีคูณ

        ในขณะที่ต้นกำลังขมักเขม้นกับการหากุ้งเคราะห์ร้ายอยู่นั้น ก็ต้องตกใจเพราะดำร้องเรียกให้เข้ามาช่วยกันจับปล่าไหล

        ไหนๆ ต้นถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นหลังจากที่วิ่งฝ่าน้ำมาเสียงดัง ตูมๆ เพราะไม่เคยเห็นปลาไหนในลำธารแห่งนี้เลย 

       จุ๊ๆ ดำส่งสัญญาณให้เงียบ อย่าดังสิ อยู่ใต้ก้อนหินนี่แหล่ะ ตัวยังไม่ใหญ่น่าจะเป็นลูกมันตัวเท่าแม่โป้งได้ ดำชูนิ้วมือให้ต้นดู 

       ต้นไปยืนคร่อมก้อนหินก้อนนั้นเอาไว้ เพราะต้องใช้แรงยกทั้งสองมือ เขาออกแรงยกเพื่อให้ดำเป็นฝ่ายจับปลาไหลตัวนั้น

        เฮ้ย! งู ดำร้องเสียงดังลั่นเมื่อเห็นภาพปลาไหลตัวนั้นเต็มตา ด้วยความตกใจดำพงะก้นจ้ำเบ้าลงในน้ำกระแทกหินเสียงดัง แผละ 

       ต้นรีบปล่อยมือทันที พร้อมกันนั้นเขาก็กระโดดพล็อยไปไกลก้อนหินก้อนนั้นพอสมควร 


       ทั้งคู่หัวเราะให้แก่กัน อย่างสนุกสนาน ส่วนงูน้ำตัวนั้นเลื้อยหนีไปแล้ว เด็กไม่กลัวงูน้ำนักเพราะมันไม่เคยทำร้ายใครถ้าไม่จวนตัวจริงๆ 

       ไหนมึงว่าปลาไหล ต้นถามดำที่ยังคงนั่งแช่น้ำอยู่อย่างเดิม

        ก็กูเห็นหางยาวๆ มันๆ ก็นึกว่าใช่ นึกแล้วเชียวว่าปลาไหลมาอยู่ได้ยังไงวะ ในที่น้ำไหลอย่างนี้ ดำยิ้มให้ต้นมือขวานั้นเกาหัวยิ้กๆ 

       ต้นเห็นอย่างนั้นรีบวิ่งเข้าไปหมายจะโดดถีบดำ ดำไหวตัวทันวิ่งลงน้ำในระดับที่ลึกกว่าทันที ทั้งคู่ลงไปฟัดเหวี่ยงกันในน้ำอย่างสนุกสนาน

        เสียงหัวเราะและรอยยิ้ม ออกมาจากใจอันบริสุทธิ์ของพวกเขา เป็นอย่างนี้ทุกวัน ลำธารหลังสวนแห่งนี้เป็นแหล่งบรรเทิงชนิดเดียวที่พวกเขามี มันเป็นทั้งห้างสรรพสินค้าต่างกันอย่างเดียวที่ต้องใช้ความชำนาญเก็บเกี่ยวสินค้ามาโดยไม่ต้องใช้เงิน พวกเขาเล่นอย่างนี้ไม่รู้เบื่อ เด็กน้อยมีวิธีเล่นหลายรูปแบบ เบื่อการเล่นในน้ำก็ขึ้นมาเอาหินสีต่างๆ ทุบให้ละเอียดแต่งหน้าทาปากอวดกัน แล้วแต่จินตนาการของใครจะไปทางไหน แล้วก็วิ่งลงลำธารอีก สลับกันอย่างนี้จนล้า แล้วจึงจัดการกุ้งในขวดน้ำอัดลม ก่อไฟด้วยไม้ขีดไฟที่พกติดตัวมา การก่อไฟนั้นไม่ยาก แม้จะ 7 ขวบแต่มันเป็นเหมือนความสามารถที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด ไม่มีใครมาห้ามการละเล่นเหล่านี้ ขออย่างเดียวอย่าให้เสื้อผ้าเปียกเป็นพอ
 ต้นและดำวิ่งไล่กันกลับบ้าน หากวันใดไม่รีบเพราะใกล้ค่ำเต็มที พวกเขาก็จะไม่ลืมเอาขวดน้ำกลับด้วย แต่วันนี้จวนค่ำมากแล้ว พวกเขาวิ่งไล่กันกลับบ้านโดยทิ้งขวดน้ำนั้นเอาไว้ เพราะยังไงๆ พรุ่งนี้ต้องกลับมาใหม่ 

       ความสุขของเด็กน้อยสองคนหาได้จากธรรมชาติ พวกเขาไม่เคยเบื่อมัน แต่ในอีกไม่ช้าใครจะรับประกันได้ว่าเขาจะพึงพอใจในความเป็นอยู่อย่างนี้ ใครจะยืนยันได้ว่าลำธารที่เป็นเพื่อนเล่นแห่งนี้จะไม่ถูกทำลายด้วยน้ำมือของพวกเขาเอง ตราบใดที่ความเจริญยังไม่ชักชวนพวกเขาเป็นเพื่อนก็ไม่มีใครบอกได้ชัดเจน แต่สัญญาณบางอย่างก็บ่งบอกแล้วว่าอีกไม่นานข้างหน้าคำตอบจะมาถึง
 ร่างของเด็กทั้งสองหายไปแล้ว ความรกครึ้มที่ปกคลุมลำธารซึ่งทำให้ธารสายนี้ร่มรื่นในตอนกลางวันนั้น กลับทำให้มืดลงอย่างน่ากลัวเมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าลงเรื่อยๆ ขวดน้ำอัดลมยังวางอยู่ที่เดิม ความมืดกำลังปกคลุมมัน


........................................................................................................................				
2 กุมภาพันธ์ 2550 17:53 น.

ผมโดนผ่า ตอนที่ 2 เพื่อนร่วมซอย

ใบคา

ถึงจะเข้ามาอาศัยเตียงผ้าใบ ปูผ้าขาว ระบุสถานที่อย่างเด่นชัดเพียงแค่คืนสองคืนแต่ก็พอจะจับใจคอนิสัยของ รุ่นพี่(อันที่จริงน่าจะเรียกรุ่นปู่)ที่เข้ามาจับจองพื้นที่อณาบริเวณขอบเตียงกั้นได้พอคร่าวๆเพราะแต่ละท่านนั้น อยู่มาจนรู้จักมักคุ้นกันดี พูดคุยกันเสียงดัง หัวเราะลั่น(อันนี้ขึ้นอยู่ในระดับของอาการบาดแผลว่าหายดีเพียงใด) แม้แต่พยาบาลก็ยังแวะเข้าร่วมวงสนทนาเป็นบางครั้ง จึงไม่แปลกเลยที่ผมจะซึมซับเรื่องราวของแต่ละท่านมาบ้าง อย่างกับผมมาอยู่หลายวันแล้วนั่นเอง 


ผมอาศัยร่วมกับบรรดา  หนุ่มน้อยวัน ' ในล็อกที่สองทางซ้ายมือนับจากประตูเข้าหรือที่เรียกว่าซอยสองซ้าย ซอยนี้นับว่าเป็นซอยที่ครึกครื้นที่สุดในบรรดาแปดซอย เนื่องจากผู้เข้ารักษาอายุอานามมากกว่าผมที่เพิ่งจะ 22 หลายเท่าตัวนั้น ต้องอาศัยการพักฟื้นหลายวันจึงรู้จักกันเป็นอย่างดี ที่สำคัญบางคนโดนหมอห้ามลงจากเตียง 


เมื่อคืนกว่าจะหลับลงได้ก็เล่นเอาตีห้าคราวนี้ร่างกายไม่อยากตื่นคงเป็นเพราะความเพลียทั้งคืนด้วย พยาบาลมาเปิดไฟตอนเช้าหกโมงแล้วผมก็ยังขดตัวคลุมโปงบนเตียงอย่างไม่แยแสสายตาคนรอบข้างว่า ขี้เกียจหรือขี้เซาแม้แต่น้อยยังคงหลับต่อไปเรื่อยๆข้าวเช้ามาส่งจึงเริ่มลุกขึ้นไปชำระร่างกายก่อนที่จะเริ่มนำสารอาหารมาหล่อเลี้ยงร่างกายและหลับไหลต่อไป
 

 ลุงเพิ่ม ' แกผ่าตัดหัวใจพักฟื้นมานานนับเดือนแล้วเวลาจะเดินไปไหนจะเดินตัวค่อมเพราะยืดตัวตรงไม่ไหวเนื่องจากปวดแผล แกมักจะขอยานอนหลับจากพยาบาลกินเสมอๆโดยอ้างว่านอนไม่หลับจากการปวดแผลบ้าง หมอเปิดไฟบ่อยบ้าง แล้วแต่เหตุผลใดจะฟังขึ้น ไม่ว่าจะเหตุผลใดแกก็จะได้รับตามคำขอเสมอ ทำให้แกหลับสบายกว่าใครเพื่อนเพราะมียาเป็นตัวช่วยแม้คนอื่นๆจะได้รับคำแนะนำจากตัวแก แต่ก็ไม่มีใครอยากจะทำตามคำบอกแกเพราะรู้ดีว่าถึงกินเข้าไปเหมือนแกไอ้ยาแก้ปวดเม็ดนั้นก็ไม่อาจทำให้หลับได้ดีอย่างแก 


แกหลงเข้าใจผิดอยู่จนปัจจุบันว่า พาราฯ สีขาวเม็ดนั้นคือยานอนหลับถึงแม้ว่าพยาบาลจะนำยานอนหลับจริงมาให้แกก็จะเรียกถามหา  ยานอนหลับสีขาว ' ของแกเสมอ เห็นเหตุการณ์อย่าง ลุงเพิ่ม แล้วทำให้นึกถึงนิทานจีนเรื่องหนึ่งที่ว่ามีหมอชาวจีนคนหนึ่งไปร่วมดื่มเหล้าที่บ้านเพื่อนซึ่งเวลานั้นเป็นเวลาพลบค่ำ จึงทำการจุดไฟในบ้านบนขื่อนั้นมีเชือกผูกห้อยอยู่ทำให้เงามันตกลงในจอกเหล้าของหมอลักษณะคล้ายงู ในขณะที่ยกกระดกเข้าคอ ก็พลันเหลือบเห็นเข้าจึงตกใจแต่ก็ไม่กล้าโวยวายจึงลากลับนับแต่นั้นเป็นต้นไปหมอคนนั้นก็ป่วยหนักเพราะคิดว่ามีงูอยู่ในตัวเอง รักษาอย่างไรก็ไม่หาย พอเพื่อนคนนั้นรู้สาเหตุเข้าก็นำมาบอกให้หมอแกฟัง แกก็หายภายในไม่กี่วัน 


ชุดของโรงพยาบาลสีขาวที่ปกคลุมร่างกายเปลือยเอาไว้อย่างหลวมๆ ต่อให้ปกติเพียงใดเมื่อได้ลองสวมใส่ดูแล้วราศีคนไข้ก็จับทันที เหมือนกับเครื่องแบบทหารตำรวจลองสวมใส่เข้าไปราศีความเท่ ก็เปร่งรัศมีทันควัน อย่างเช่นผมยังไม่ได้รับการรักษาอันใดเลย ยาสักเม็ดยังไม่ได้ตกลงท้องถึงมองยังไงๆก็ปวดอยู่ดี 


 หนุ่มหายดีแล้วหรือ  ลุงวันชัย เตียงตรงข้ามเอ่ยถามขณะที่ผมกลับจากการชำระร่างกาย 


ผมทำหน้าเอ๋อ ก่อนจะตอบไปว่า  ยังไม่ได้ทำอะไรเลยครับ  


 อ้าว  แกอุทาน 


 เห็นเดินไปไหนมาไหนได้แล้วนึกว่าจะหายแล้วที่แท้ก็ยังไม่ได้ผ่าหรอกหรือ  แกว่า 


 แล้วเป็นอะไรล่ะ  แกถาม 


 ผ่าตัดปอดครับ  ผมพูดให้น่ากลัวก่อน 


แกทำหน้าเฉยพยักหน้ารับเหมือนเป็นเรื่องที่ธรรมดาแล้วก็ถามต่ออีกว่า 


 สูบบุหรี่เหรอ  


 เปล่าครับ  ผมปฎิเสธทันที แล้วชิงตอบอีกทันทีก่อนที่จะโดนเข้าใจว่าไปยุ่งกับพวกควันๆว่า 


 เอ่อ.. คือมีเส้นเลือดงอกที่ปอดน่ะครับ คือแบบว่ามันงอกเพิ่มมาอีกเส้นหนึ่งแล้วก็มัน มันก็ไปเสียบลงปอด แล้วเลือดก็ไหลลงปอดทำให้ปอดเสียจึงต้องผ่าตัดเอาเส้นเลือดที่งอกเพิ่มมมาออก แล้วก็ตัดปอดที่เสียด้วยครับ  ผมตอบตามที่หมอบอกผมมาอีกทีหนึ่งแต่ตอบแบบตะกุกตะกักไปราบเรียบเหมือนตอนที่หมอบอกผม 


 แปลกเนาะเค้ามีแต่เนื้องอกแต่นี่เส้นเลือดงอก เป็นเนื้องอกหรือเปล่า  แกหาว่าผมพูดผิดอีก 


ก็น่าจะหาว่าพูดผิดอยู่หรอกเพราะวันที่ผมรู้ผลว่าเป็นโรคอะไรหลังจากที่อ๊วกออกมาเป็นเลือดหลายครั้ง ยังงงๆอยู่เลย อะไรกันเส้นเลือดงอกหมอพูดผิดหรือเปล่า มาเข้าใจแจ่มแจ้งว่าไม่ผิดก็ตรงที่หมอบอกว่าเป็นโรคที่ไม่ค่อยพบนักปัจจุบันนี้ในประเทศไทยเจอแบบนี้แค่ 16 คนเท่านั้นการผ่าตัดจึงต้องปรึกษากันก่อนว่าจะเอาแบบไหนดี ด้วยสาเหตุนี้หรือเปล่าก็ไม่แน่ชัดที่ทำให้ผมต้องมานอนเฝ้าเตียงถึง สามวันสามคืน 


วันนั้นหมออธิบายว่าธรรมดาคนเราจะมีเส้นเลือดให้ส่งเลือดไปเลี้ยงปอดหนึ่งเส้นโดยจะปักที่อยู่ที่ขั้วปอดแล้วมีเส้นเลือดฝอยเป็นตัวส่งเลือดไปเลี้ยงแทน แต่กรณีผมมันเกินมาเส้นหนึ่งและเส้นนี้มันไม่มีเส้นเลือดฝอยมันจึงไหลโดยตรงเข้าปอดไปเลย เปรียบเสมือนการเปิดก๊อกน้ำแรงๆใส่ฟองน้ำนานๆเข้าฟองน้ำก็จะเสียและเก็บน้ำไม่อยู่จึงทะลักออกมาเป็นเลือดอย่างอาการที่ผมเป็นอยู่นี้ 


 แล้วผ่าวันไหนล่ะ  แกถามอีก 


 พรุ่งนี้ครับ  


 เออ งั้นวันนี้กินให้เยอะๆนะเดี๋ยวคืนนี้ก็อดข้าวแล้ว  แกแนะนำอย่างผู้เชี่ยวชาญ 


 เอ้ากินข้าวได้แล้วหนุ่ม  แกชวนกินข้าวเช้าขณะที่แกเปิดสำหรับมองดูกับ 


ธรรมมดาอาหารของคนป่วยจะเป็นถาดหลุมมาแต่สำหรับของ  ลุงวันชัย ' มาเป็นสำรับตลอดมาทราบทีหลังว่าแกสั่งเป็นอาหารพิเศษและทราบมาอีกว่าแกเคยมานอนพักในซอยสองแล้วครั้งหนึ่งเนื่องจากว่าห้องพิเศษเต็มแกจึงมานอนคอยอยู่ที่นี่ก่อนก็ทราบมาว่านานพอสมควรจนรู้จักสนิทกับเพื่อนๆร่วมซอย แล้วแกก็ไปเมื่อห้องพิเศษว่างลง และกลับมาอีกครั้งเพราะอาการเหงา 


อาหารเช้าไม่ว่าจะพิเศษหรือปกติก็หนีไม่พ้นข้าวต้มจะต่างกันบางวันกุ้ยบางวันก็ทรงเครื่องเท่านั้นแต่อย่างไรก็ตามแต่พิเศษก็ต้องเหนือกว่าคนอื่นวันยังค่ำถึงจะเป็นข้าวต้มก็ต้องมีเครื่องเคียงที่เหนือกว่าอยู่ดีไม่ว่าจะเป็นผลไม้ กับข้าวที่ดีกว่า สำหรับผมแล้วแบบไหนก็ไม่เกี่ยงขอให้หนักท้องเอาไว้ก่อนเป็นพอ 


มื้อเช้าไม่ค่อยมีอะไรพิเศษนักแต่พอเที่ยงกับเย็นการแบ่งปันอาหารก็เริ่มขึ้น  ลุงวันชัย ' แกมีกับข้าวพิเศษ  ลุงเอื้อ ' เตียงเยื้องกับกับผมถัดจาก ลุงวันชัย สองคนแกสนิทกันเพราะอยู่มาไม่ต่ำกว่าสองเดือนแล้วผ่าตัดขาทั้งคู่ แต่ต่างสาเหตุกัน ลุงวันชัยผ่าเพราะโรคเบาหวาน ส่วนลุงเอื้อ เพราะเส้นเลือดตีบตันเนื่องจากนิโคตินไปอุดเส้นเลือด 


 ทีแรกไม่เชื่อนะว่าบุหรี่จะทำให้เส้นเลือดตีบ  แกว่าพลางลูบขาตัวเองตอนก่อนมื้อเที่ยงจะมา แล้วหยุดพูดเพื่อหวังให้คนรอบข้างสนใจและมันก็เป็นผล ต่างคนต่างเพ่งตาไปที่แก 


 แต่พอกลับบ้านไปลองสูบดูมันแปล็บ ! ไปตามเส้นเลือดสุดปลายเท้าเลย ตั้งแต่นั้นผมทิ้งทันที  แกหยุดแป็บก่อนจะเอ่ยว่า  แล้วก็กลับมาที่นี่อีกครั้ง  


 แล้วจะสูบอีกไหมล่ะ  พยาบาลสาวเอ่ยถามขณะที่เดินผ่านมาพอดี 


แกยิ้มสั่นหัว 


ลุงเอื้อ และลุงวันชัย แบ่งปันอาหารกันเสมอ จึงทำให้ทั้งคู่รู้สึกจะเจริญอาหารมากกว่าใครเพื่อน บางครั้งผมก็ได้รับส่วนร่วมเช่นเดียวกันเนื่องด้วยความอาวุโสน้อยสุดในซอย 


ลุงเอื้อกับลุงวันชัยเข้ามาจับจองพื้นที่นานกว่าใครในซอยและอาการเหมือนกันแต่ต่างสาเหตุ ลุงเอื้อสามารถเดินไปไหนมาไหนได้ตามสบาย ส่วนลุงวันชัยถูกกักบริเวณเพียงในขอบเตียงกั้นแคบๆห้ามลงไปไหน โดยมีข้อความสีแดงบนหัวเตียงอ่านได้ใจความว่า  ห้ามงอขาขวาและลงจากเตียง ' ทั้งๆที่ลุงวันชัย แกก็สามารถเดินได้เช่นเดียวกันกับลุงเอื้อแต่ทว่าแกเกิดลื่นล้มตอนลงจากเตียงเข้ครั้งหนึ่งจึงโดนขังเดี่ยวไปในที่สุด 


เมื่อแกไม่สามารถลงจากเตียงได้ธุระทุกอย่างจึงตกลงที่พยาบาลสาวผู้เปี่ยมไปด้วยเมตตาจิต ไม่ว่าจะถ่ายหนักถ่ายเบา ตลอดจนการชำระร่างกายเช็ดเนื้อเช็ดตัวพยาบาลก็รับผิดชอบทั้งสิ้นไม่ต่างอะไรกับเลี้ยงลูกตัวเอง แถมลุงวันชัย ยังเรียกใช้อยู่บ่อยๆ แต่ความรำคาญของพยาบาลก็ไม่เคยเกิดขึ้นเลย หลังจากที่ผมได้รับการผ่าตัดแล้วผมก็ประสบปัญหาเหมือนกับลุงวันชัยคือลงจากเตียงไม่ได้เป็นเวลาถึง 5 วันแต่ผมไม่ได้ถูกห้ามแต่เป็นเพราะว่าสายระโยงรยางยึดเหนี่ยวไว้ เรื่องถ่ายเบาพยาบาลก็รับหน้าที่ไป แต่ถ่ายหนักไม่เคยเกิดกับผมเลยเพราะเพียงแค่คิดว่าจะต้องถ่ายบนเตียงที่มีผู้คนรอบข้างอยู่หลายต่อหลายคน ก็พลันเกิดอาการ  ขี้หดตดหาย ' ทันที 


 หนักกว่าเลี้ยงลูกตัวเองอีกเนาะหมอเนาะ  ลุงวันชัย พูดลอยๆกับพยาบาลขณะมาฉีดยาให้ตอนเย็น 


พยาบาลยิ้มให้ 


 ต้องเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวให้ไม่ใช่ญาติแท้  


 มันเป็นหน้าที่ค่ะ  พยาบาลตอบ 


เหมือนกับอยากคุยต่อเธอไม่ยอมเดินออกไปแต่ยืนถามอาการคนไข้รอบๆไม่เว้นแม้แต่ผม 


 ผ่าวันไหนน่ะเธอ  


 พรุ่งนี้ครับ  ผมตอบ 


 หมอพรุ่งนี้ผมขอลองเดินดูบ้างนะกลัวเดินไม่เป็น ไม่ต้องห่วงผมแข็งแรงดีผมรู้ตัวเอง  ลุงวันชัยอ้อนพยาบาล 


 ยังหรอกต้องให้หมออนุญาตก่อน  เธอตอบ 


 หมอรู้ไหมเดี่ยวนี้คนเรามีสิทธิ์จะตายได้แล้วนะ  ลุงวันชัยว่า แล้วมองหน้าพยาบาลสาวก่อนพูดว่า 


 ผมก็มีสิทธิ์ที่จะเดินแล้วก็ล้ม  ลุงวันชัยอธิบายด้วยน้ำเสียงแบบหยอกๆ 


พยาบาลไม่ตอบอะไรเพราะกำลังเก็บเข็มและกระบอกฉีดยาที่ใช้แล้วลงถุง 


 ให้ผมเดินบ้างเถอะ ผมก็มีสิทธิ์ที่จะตายได้นะ  


 ใช่ตายได้แต่ต้องไม่ใช่ที่นี่  เธอตอบแล้วเดินจากไป				
2 กุมภาพันธ์ 2550 17:37 น.

สิ่งที่อยู่ในกำมือ

ใบคา

เขานั่งชันเข่า โน้มหน้าซบหัวเข่า มือทั้งสองกอดเข่าทั้งสองแน่น  


เขานั่งในมุมห้อง หน้ายังคงซบอยู่ที่หัวเข่า ไม่ยอมยกหน้าขึ้นมองรอบข้างลำตัวนิ่งไม่ไหวติง ในขณะที่เสื้อผ้ามอมแมมขาดวิ้นในบางส่วน ผมเผ้ากระเซิงไม่เป็นทรง บรรยากาศในห้องอึม ครึมแม้แม้ว่ารอบข้างเสียงภายนอกจะมีเสียงดังเพียงใด ก็เหมือนกับห้องนั้นตั้งอยู่โดดเดี่ยวในป่าลึกยามดึก ไม่มีเสียงเครื่องยนต์ เสียงแตร เสียงพูดคุย แม้แต่เสียงลมหายใจแทบจะไม่กระทบโสตประสาทได้เลย 


ใช่เขานั่งแน่นิ่งไม่ไหวติง หายใจช้าลึกและนาน เหมือนกับว่าไม่มีชีวิต แต่ทว่าในหัวของเขาเต็มไปด้วยความวุ่นวาย จนไม่สามารถควานหาสิ่งใดได้ในห้วงแห่งความคิด 


ข้างลำตัวเขามีหยดน้ำข้นสีแดงหยดตกอยู่หลายจุด มองไล่จากข้างตัวเขาไป หยดน้ำข้นสีแดงนั้นยิ่งเพิ่มทวีขึ้นเรื่อยๆ เปรียบเหมือนน้ำหกจากขวด แผ่กระจายทั่วห้อง โดยมีต้นสายมาจากร่างหญิงสาวนอนคว่ำตัวหน้าตะแคงไม่ไหวติง เสื้อตัวจิ๋วแนบเนื้อดูเหมือนพื้นเพเดิมน่าจะเป็นสีขาวแต่ทว่ามันถูกสาดด้วยน้ำสีแดงเลอะทั่วเสื้อ ดวงตาเธอยังคงจ้องเขม็งมายังเขา 


กลิ่นน้ำหอมถูกกลบด้วยกลิ่นคาวเลือด ตลบอบอวลไปทั่วทั้งห้อง แสงจากหลอดนีออนสร้างความชัดให้ภาพฉากและบุคคลทั้งสองได้เด่นชัดสามารถบ่งบอกการแสดงออกของร่างหญิงชายทั้งคู่อย่างละเอียด เขายังคงอยู่ในอากัปกิริยาเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย ในหัวเริ่มหยุดนิ่งแต่ยังไม่คิดอะไร เพราะความอ่อนเพลียมันมากเกินกว่าจะคิดสิ่งใด เขามีความต้องการเพียงอย่างเดียวคือหลับแล้วตื่นขึ้นมาที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ห้องๆนี้ อยากจะหลีกหนีไปให้พ้นจากห้องอันวังเวง อยากจะหายตัวเข้าไปในห้วงหุบเขาลึกยิ่งไกลยิ่งดียิ่งลึกยิ่งต้องการ 


เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนเขากลับเข้ามาในห้อง ด้วยอาการมึนเมาจากพิษสุรา ในกำมือของเขา กำภาพถ่ายแน่นจนยับติดมือ ภาพย่นเพราะผ่านการเปิดมองอย่างถี่ตลอดเวลาที่เขานั่งอยู่บนรถแท็กซี่ขณะเดินทางกลับมา เขาคลี่ดูแล้วกำแน่นสลับไปมาพร้อมกับกัดฟันเสียงดัง  กรอดๆ  จนทำให้คนขับต้องหันมองทางกระจกมองหลังเป็นระยะๆ 


ทันทีที่เขาก้าวเข้าห้องทั้งๆที่ยังไม่ได้ปิดประตูห้อง เธอนอนอยู่บนเตียงเตียงนุ่มในชุดกางเกงขาสั้นลายดอกมองเห็นโคนขาขาวนวลประกอบกับเสื้อขาวแนบเนื้อ เธอละสายตาจากจอโทรทัศน์มามองเขาด้วยสายตาปกติ ไม่ทันได้เอ่ยปากถามอันใด เขาปารูปที่กำยับติดแน่นนั้นทันทีเขาปามันเข้าแสกหน้าเธออย่างจัง ความเฉยเมินเปลี่ยนเป็นอารมณ์ขุ่นมัวทันที 


 อะไร ! เธอตวาดตาจ้องมองเขา 


 นึกว่ากูโง่หรือ?  เขาตะคอกกลับ 


เธอบ่นพึมพำพลางแกะภาพที่โดนหน้าเธอซึ่งมันตกอยู่ข้างๆในขณะที่ เขายืนเกร็งกำหมัดแน่น 


หน้าขาวๆ ของเธอยิ่งซีดลงทันทีเมื่อเห็นภาพใบนั้นถึงแม้จะมองเห็นไม่ชัดเพราะเกิดจากการกำจนแน่น แต่ก็สามารถมองเห็นภาพชายหญิงคู่หนึ่งกำลังเล่นสวาทบนเตียงอย่างสุขสม มันก็ไม่ใช่ภาพแปลกอะไรสำหรับเธอเพราะภาพแบบนี้เธอเคยเห็นมามากนัก แม้กระทั้งภาพเคลื่อนไหวเธอยังดูมาแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้เธอซีดเป็นเพราะภาพผู้หญิงซึ่งหน้าเหมือนเธอมาก 


เธอขยำภาพซ้ำปล่อยให้ตกลงตามแรงโน้มถ่วงพร้อมลุกขึ้นยืนช้าๆ สายตายังคงมองเขา แต่เป็นสายตาที่ไม่สื่อความหมายใดๆ ทั้งสิ้น 


 ไม่เถียงหรือ?  เขาก้มหน้าถาม 


 .  เธอนิ่งไม่ตอบยืนก้มหน้าริมขอบเตียง 


 อี..อก  เขาด่า 


 ถึงว่ากับกูเมินเฉยนัก  เขาด่าซ้ำ 


เธอไม่โต้ตอบแต่อย่างใด เธอเดินตรงไปยังเขาหยุดข้างเขา แนบปากใกล้กับหูของเขากระซิบเบาๆว่า  โง่เอง  พูดจบเธอเดินผ่านเขาเพื่อหมายว่าจะออกจากห้องและออกไปจากชีวิตเขาไปหาชู้รักและไม่คิดจะหวนคืนมาอีกเลย 


เหมือนจุดไม้ขีดทิ้งลงถังน้ำมัน อารมณ์เขาพุ่งสุดขีดความโมโหบันดาลโทสะออกมา เขากระชากมือเธอเข้าหาอย่างแรง เท้าถีบประตูอย่างแรงดังโครมมือที่จับแขนฉุดรั้งให้เธอหยุดนิ่งในขณะที่มืออีกข้างตบหน้าเข้าฉาดใหญ่ ร่างทรุดกองลงกับพื้น น้ำตาร่วงพราวไหลรินทั้งสองแก้มออกมาพร้อมเสียงสะอื้น ตามมาด้วยเสียงโฮ และคำด่าต่างๆนานา 


ความโกรธความโมโหจุกแน่นกลบทุกระบบประสาทมีสิ่งเดียวที่เขาทำได้คือระบายความแค้นทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้เธอเจ็บปวดเหมือนกับที่เขาปวดใจอยู่ในขณะนี้ เขากระชากเธอขึ้นบนเตียง เธอทุบเธอตีเธอข่วนและกัดเขา แต่ไม่อาจทานทนแรงชายได้ เขากระหน่ำฝ่ามือทั้งซ้ายและขวาตบเธอไม่ยั้งจนเธอสลบคามือ 


เขาลุกขึ้นสายตาไปปะทะกับกรรไกรบนโต๊ะเครื่องแป้ง เขาใช้กรรไกรกระหน่ำแทงเข้าท้องเธอไม่ยั้งจนเมื่อยมือและหายโกรธ เขาจิกผมอันยาวของเธอขึ้นกดหน้าให้ลำตัวคว่ำกับเตียงเพราะเกลียดเลือดที่ไหลรินและบาดแผลจากตัวเธอเขาคิดว่านั่นมันคือเลือดชั่ว 


เมื่อหายโกรธเขาก็พบตัวเองในสภาพที่เป็นอยู่นั่งซึมไม่มีความคิดและตอนนี้เขาได้ยินเสียงรอบข้างชัดเจน เขาชูหน้าขึ้นมองเธออีกครั้ง เขากลัวจะถูกจับ คิดถึงเธออยากเข้าไปกอดเธอถามเธอว่าเจ็บไหม อยากพาเธอไปหาหมอ ปลอบประโลมเธอ เขาไม่น่ารับทราบเรื่องของเธอไม่น่าสงสัยเธอจนให้เพื่อนสืบเรื่องเธอให้ อย่างน้อยถึงแม้ว่าเธอจะไม่ค่อยไยดีกับเขาแต่เขาก็ยังได้ครอบครองเธออยู่ เพียงรูปใบเดียวในกำมือเขาเท่านั้น ที่พรากเธอไปจากโลก เขาอยากตามเธอไปด้วย ตามไปขอโทษเธอและง้อเธอขอให้เธออภัยเขา ครั้นจะใช้กรรไกรแทงตัวเองก็กลัวเจ็บจะผูกคอตายตามไปก็กลัวศพไม่สวยกลัวตาถลนออกมากลัวลิ้นจะจุกปากหายใจไม่ออก 


เขาอยากตามเธอไปแต่จนใจตรงวิธี 


เขามองเห็นหน้าต่างเขานึกออกถึงวิธีตามเธอไปเขารีบลุกชันตัวขึ้นกระโดดออกนอกหน้าต่างทันที 


รุ่งขึ้นหนังสือพิมพ์บางฉบับพาดหัวข่าวใหญ่ว่า 


 วัยรุ่นสาวดับอนาถ 


คาห้องเช่าชั้นหนึ่ง 


คาดปมผิดใจคนรัก 				
Lovers  0 คน เลิฟใบคา
Lovings  ใบคา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟใบคา
Lovings  ใบคา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟใบคา
Lovings  ใบคา เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงใบคา