27 ธันวาคม 2546 12:41 น.
โอ๋ ศิษย์นันท์คนเขียนโคลงกลอน
มาถึงวันนี้เราไม่รู้ว่าเรารักกันหรือเปล่า
นับตั้งแต่วันแรกที่เราได้พบหน้ากัน เราทั้งคู่ก็ต่างลังเลและยัง งง ๆกับโชคชะตาที่นำเรามาพบกัน
เราไม่รู้ว่าเรารักกันหรือเปล่า
นับจากวันนั้นมาหลายๆวันหลายๆวัน เราเริ่มที่จะเรียนรู้นิสัยของกันและกัน ซึ่งมันเป็นการยากที่จะสามารถเรียนรู้และเข้าใจได้ในระยะเวลาอันสั้น
เราไม่รู้ว่าเรารักกันหรือเปล่า
มีบ้างหลายครั้งคราที่เราไม่สามารถเข้าใจในบางสิ่งบางอย่างของอีกฝ่ายหนึ่งได้ และเราก็มีสิ่งที่เราต้องการ แต่ไม่สามารถแสดงออกตามความต้องการให้อีกฝ่ายหนึ่งเข้าใจและรับรู้ได้
เราไม่รู้ว่าเรารักกันหรือเปล่า
เราตกลงใจและสัญญาว่าจะอยู่ร่วมกันไปจนแก่จนเฒ่า ถึงแม้บาดแผลและบทเรียนที่เคยผ่านพ้นมาเมื่อครั้งอดีต จะเสมือนคอยย้ำเตือนเราอยู่เสมอว่าไม่มีทางเป็นไปได้ แต่เราก็ได้ให้สัญญาแก่กันโดยให้แหวนเป็นพยานยืนยัน
เราไม่รู้ว่าเรารักกันหรือเปล่า
เราทะเลาะกันบ่อยครั้งขึ้น ทวีความรุนแรงมากขึ้นในแต่ละครั้ง เราเริ่มที่จะไม่เข้าใจกันมากขึ้น และไม่ยอมรับเหตุผลของอีกฝ่ายและ เอาตามอารมณ์ของตนมากขึ้น
เราไม่รู้ว่าเรารักกันหรือเปล่า
เราเริ่มทำธุรกิจ เพื่อสร้างฐานะครอบครัวของเราให้มั่นคงตามจุดมุ่งหมายของเรา แต่อุปสรรคและความเหนื่อยยากก็มีตามมามากขึ้น ธุรกิจของเราค่อนข้างล้มเหลว เงินกำลังเป็นปัญหาระหว่างเรา เราจึงทะเลาะกันมากขึ้นเรื่อยๆทุกวัน
เราไม่รู้ว่าเรารักกันหรือเปล่า
ญาติพี่น้องของเราทั้งสองฝ่าย กำลังยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือคนของตน เกิดการแทรกแซง การเข้าใจผิด การระแวงแคลงใจจากทั้งสองฝ่าย เราเองก็เริ่มระแวงกันเอง เราจึงเริ่มแสดงความเห็นแก่ตัวของเราทั้งคู่ออกมามากขึ้นจนเด่นชัด
เราไม่รู้ว่าเรารักกันหรือเปล่า
เราถามกันและกันว่าต่างฝ่ายยังรักกันอยู่หรือไม่ คำตอบที่ได้คือรักกันเสมือนเดิม เหมือนวันแรกที่เราเจอกัน ปัญหาคือวันแรกที่เราเจอกัน เราไม่รู้ว่าเรารักกันหรือไม่ ที่จริงคำถามนี้เราถามเพราะเราไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดเหมือนกันกับที่เราคิดหรือไม่ ดังนั้น
เราไม่รู้ว่าเรารักกันหรือเปล่า
ปัญหาต่างๆเริ่มค้างคา หมักหมมขึ้นเรื่อยๆ และเราทั้งคู่ต่างประกอบกิจการไว้หลายอย่างซึ่งต้องพึ่งพากันและกัน ถ้าขาดใครไป กิจการนั้นก็มีสิทธิ์เสียหายได้ ดังนั้นเราไม่แน่ใจว่าการที่เราพยายามรั้งกันและกันเอาไว้ทุกครั้งหลังจากทะเลาะกันนั้น
เราไม่รู้ว่าเรารักกันหรือเปล่า
เราไม่ยอมกันอีกต่อไป ไม่มีใครอ่อนข้อให้ใคร ไม่มีการลดราวาศอกเด็ดขาด เพราะมันทำให้เราทั้งคู่รู้สึกสูญเสียดุลยภาพในตนเองไป และเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในเกมส์นั้นๆ
เราไม่รู้ว่าเรารักกันหรือเปล่า
เรากำลังเล่นเกมส์ สงครามจิตวิทยาซึ่งมีสิ่งที่เราเรียกว่าความรักเป็นเดิมพัน ทั้งๆที่ จริงๆแล้วมันไม่น่าจะใช่ความรัก มันน่าจะเป็นศักดิ์ศรี หรือความหยิ่งทะนงของเราที่ซุกซ่อนไว้มากกว่า เมื่อใดที่เราทำให้อีกฝ่ายเจ็บปวดเรารู้สึกว่าเราชนะ ดังนั้น
เราไม่รู้ว่าเรารักกันหรือเปล่า
สิ่งต่างๆที่มันเป็นอยู่ มันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆกับคนคู่หนึ่ง หากแต่มันอาจคล้ายคลึงกับชีวิตของคนอีกหลายๆคู่ ซึ่งประสบปัญหาเหมือนในเรื่องนี้ สุดแท้แต่ว่าวันนี้ เราจะยอมรับหรือยังเท่านั้นว่าเราเป็นไปตามนี้ ถ้ายัง เราก็ยังคงไม่สามารถหาคำตอบได้ว่าที่แท้แล้ว เรารักกันหรือเปล่า บางทีถ้าฟ้าเมตตา เราอาจจะได้รู้ แต่พึงเชื่อเอาไว้ได้เลยว่าหลังจากเราได้รู้แล้ว เราก็จะไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้วตลอดไป ฟังดูแล้วอาจจะน่าเศร้าหากแต่มันก็เพียงเพิ่มรอยบาดแผล ขึ้นที่ใจอีกแผลหนึ่งก็เท่านั้น
5 ธันวาคม 2545 19:25 น.
โอ๋ ศิษย์นันท์คนเขียนโคลงกลอน
ชายหนุ่มวัย 18 ปีคนหนึ่งกำลังป่วยด้วยโรคมะเร็ง...มะเร็งระยะสุดท้ายที่ไม่สามารถเยียวยารักษาให้หายได้อีกแล้ว และก็พร้อมจะจากไปในทุกขณะ เขาใช้ชีวิตอยู่กับบ้านมาตลอดมีคุณแม่เป็นผู้ดูแล แล้ววันหนึ่งเขาก็เกิด เบื่อหน่ายชีวิตประจำวันอันจำเจซ้ำซาก อยากจะออกไปนอกบ้านสักครั้ง เมื่อรับรู้ความในใจของบุตรชายเช่นนั้นแล้ว ไหนเลยผู้เป็นมารดาจะไม่โอนอ่อนผ่อนตาม เขาจึงมีโอกาสออกไปเดินเล่นละแวกบ้าน ผ่านร้านค้า มากมาย ...
จวบจนพบร้านขายซีดีแห่งหนึ่ง เขาก็ต้องหยุดชะงัก จ้องมองเข้าไปในร้านแห่งนั้น..ที่นั่นเขาได้เห็นเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกันคนหนึ่ง และในทันใดชายหนุ่มก็แจ่มชัดอย่างยิ่งว่าเธอคือรักแรกพบของเขาที่อุบัติขึ้น ณ บัดนั้น เขาเดินเข้าไปข้างในร้าน ขณะสายตาจับจ้องอยู่แต่เธอกระทั่งมาหยุดยืนตรงหน้าเธอโดยไม่รู้ตัว " จะให้ฉันช่วยอะไรได้บ้างคะ " เธอเอ่ยถามพร้อมกับส่งยิ้ม ช่างเป็นรอยยิ้มที่หวานที่สุดเท่าที่เขาเคยสัมผัส มันทำให้เขาอยากประทับริมฝีปากเธอในทันที เขาตอบตะกุกตะกักออกไปว่า " เอ้อ ผมอยากได้ซีดีสักแผ่นครับ " จากนั้นก็ทำทีหันไปเลือกซีดีได้แผ่นหนึ่ง ก่อนจะกลับมาอยู่เบื้องหน้าเธออีกครั้งเพื่อชำระเงิน " คุณอยากให้ฉันห่อกระดาษด้วยมั้ยคะ " เธอถามพร้อม ส่งยิ้มหวานมาให้ด้วยอีกหน เขาพยักหน้าเธอจึงหันหลังไปจัดการให้จนเสร็ จ เรียบร้อยแล้วยื่นให้ชายหนุ่ม กลับมาถึงบ้านเขาจัดการเก็บแผ่นซีดีไว้ในตู้ เพราะไม่ได้สนใจบทเพลงในแผ่นซีดีแม้แต่น้อย สิ่งที่เขาสนใจก็คือคนขายนั่นต่างหาก
หลังจากวันนั้นแล้ว ชายหนุ่มก็แวะเวียนไปที่นั่นเป็นประจำทุกวัน ซื้อซีดีมาวันละแผ่นเสมอ พร้อมกับอนุญาตให้หญิงสาวห่อกระดาษทุกครั้ง รวมทั้งเมื่อกลับมาบ้านก็เก็บมันไว้ในตู้เหมือนที่เคยปฏิบัติมา เขารู้สึกขวยเขินที่จะชวนเธอออกไปเที่ยวด้วยกัน ทั้ง ๆ ที่เบื้องลึกนั้นปรารถนาเหลือเกิน แต่ก็ ...ไม่กล้าพอ เมื่อคนเป็นแม่รับรู้ในเวลาต่อมา ท่านก็คะยั้นคะยอให้ลูกชายทำตามใจปรารถนาของตน
รุ่งขึ้นเขาจึงรวบรวมความกล้าทั้งหมดไปยังร้านนั้นอีกครั้ง ซื้อซีดีหนึ่งแผ่นเหมือนวันก่อน ๆ และระหว่างที่เธอหันหลังให้นั้น เขาก็ตัดสิน ใจทิ้งเบอร์โทรศัพท์ของตนไว้บนโต๊ะก่อนวิ่งออกจากร้านไป สองสามวันต่อมาคุณแม่ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ จึงรับสายและพูดว่า " สวัสดีค่ะ " หญิงสาวในร้านขายซีดีนั่นเองที่เป็นผู้โทรมา เมื่อสาวน้อยถามหาคน เป็นลูกชาย ผู้เป็นแม่ก็เริ่มร่ำไห้ แล้วบอกว่า " หนูคงไม่รู้หรอกว่า ... เขาเพิ่งจากไปเมื่อวานนี้เอง " ถัดจากนั้นเสียงจากคนถามก็คล้ายจะถูกปลิด คงเหลือแต่เพียงเสียงสะอื้นเบา ๆ ของผู้เป็นแม่ ในวันนั้นเอง ผู้เป็นแม่ ก็เข้าไปในห้องของลูกชายเพื่อหวนระลึกถึงเขาอีกครั้ง ... เริ่มด้วยการสัมผัสเสื้อผ้าที่เขาเคยสวมใส่ และทันทีที่เปิดประตูตู้ ก็ต้องประหลาดใจ เมื่อพบซีดีที่ยังห่อกระดาษไว้ กองอยู่เต็มไปหมด คุณแม่เลือก หยิบมาแผ่นหนึ่ง นั่งลงบนเตียงและเริ่มแกะออกดู ทันใดนั้นก็มีกระดาษเล็ก ๆ แผ่นหนึ่งหล่นลงมา คุณแม่หยิบมันขึ้นมาอ่าน " สวัสดีค่ะ คุณดูน่ารักจังเลย คิดอยากออกไปเที่ยวกับฉันบ้างรึเปล่า " กระทั่งเธอแกะซีดีแผ่นถัด ๆ มา ก็ยังพบกระดาษแผ่นเล็ก ๆ มีข้อความเช่นเดิม ...ฟังดูเศร้านะค่ะ บางทีเราไม่รู้หรอกว่าคนที่เราแอบชอบอยู่นั้นจริง ๆ แล้ว เค้าคิดยังไงกับเรา บางครั้งการกล้าที่จะเปิดเผยความในใจก้อเป็นทางเลือกหนึ่งที่คุ้มค่าที่จะทำ แอบชอบแล้วมีความสุข แอบชอบต่อไปเถอะค่ะ แต่ถ้าแอบชอบแล้วมีความทุกข์ เปิดเผยไปเลยดีกว่า อย่างมากถ้าไม่ได้รักตอบ เราจะได้ตัดใจ และให้เวลากับรักครั้งใหม่ไงค่ะ.