10 กรกฎาคม 2548 22:08 น.
โอ๋ ศิษย์นันท์คนเขียนโคลงกลอน
หนาวกายกรมห่มหายกับสายฝน
พร่างพรายชล กมลครวญไห้หวลหา
ระบัดคลื่นระรื่นลอกกระฉอกมา
ประหนึ่งฟ้าจะย้ำเยือนให้เตือนใจ
ครางสะครืนสะอื้นก้องทำนองหวน
พยับยวนกวนระพีลับหนีหาย
สิ้นสว่างดั่งข้างเห็นจันทร์เร้นกาย
แสงเป็นสายคล้ายเมฆินทร์ปิดสิ้นไป
ฤ ครวญเสียงเพียงจะปองร้องครวญคร่ำ
แสนระกำสรวงฟ้าน้ำตาไหล
กระหน่ำแดนแสนอุทกตระหนกนัย
ระคางกายคล้ายดั่งคนกมลหมอง
แม้นจะคูณพูลผสมอารมณ์เทวษ
แสนประเทศครวญคร่ำพร่ำสนอง
แม้นเจ็บจำค้ำข่มจนกรมกรอง
ก็จงร้องเถิดแสงฟ้าข้าเข้าใจ
อ่ะครับ แปลจากโคลงมาเป็นกลอนบ้างครับ
ดูตะกุกตะกักพิลึก แต่ก็พยายามแล้วครับ
8 กรกฎาคม 2548 19:42 น.
โอ๋ ศิษย์นันท์คนเขียนโคลงกลอน
ปิเยหิ วิปะโยโค ทุกโข อัปปิเยหิวิปะโยโค ทุกโข ทุกขะ โทมะนัสสุปายาสาปิ
สังสารละหานแล้ง
ตละแห่งก็กันดาร
ชีพชนม์ ฤ ทนทาน
ดำรงได้ดังดวงใจ
พฤกษ์พร่างสล่างงาม
จะนิยาม กวีใด
สวยสมอุดมไพร
ละสมัยก็โรยรา
ตละใบตละดอก
ดุจจะบอกวิสัชนา
กงกรรมมัณฑนา
เกิดแก่แล้วก็โรยไป
เหลือเพียงธุลีคลี
บ่จะมีค่าอันใด
ความดีสิเกรียงไกร
สิจะเลื่องคนจะลือ
ความสูญเสีย ก็เป็นหนึ่งในทุกข์
วิถีแห่งพระอรหันต์ ไม่มีทุกข์ และไม่มีแม้กระทั่งสุข.....................
7 กรกฎาคม 2548 20:06 น.
โอ๋ ศิษย์นันท์คนเขียนโคลงกลอน
สาดสาดสะท้านแดน
พสุแสนกระหน่ำชล
โครมครืนครึกคำรณ
สิวับแวบแปลบแปลบเปลว
หวลหวลไห้โอดโอย
พยุโบยระริกเร็ว
ชีพชาติก็ขลาดเลว
แรงจะสิ้นใจจะสูญ
หยาดหยาดระบาดโบก
สำเนียงโศกวิโยคพูล
ทุ่งข้าวก็สมบูรณ์
ดารดาษด้วยแรงชล
เย็นเย็นเห็นพยับ
เมฆเข่นกลับจะขับฝน
แต่น้ำตาพร่ากมล
ทหัยหวนจะครวญคราง
สาดสาดแกล้งเกลื่อนสูรย์
นภางค์ขุ่นขับระคาง
ใสใสไสววาง
ดุจประการจะไพบูลย์
ช่อช่อก็ชูชื่น
พฤกษยืนด้วยแรงบุญ
อุทก ร่ำจะพร่ำจุน
หลังภัยร้าย มลายไป..............