22 สิงหาคม 2545 18:46 น.
โอ๋ ศิษย์นันท์คนเขียนโคลงกลอน
ฤาต้องเป็นลูกพระยามีนาหมื่น จึงจะยืนเด่นระหงทรงสง่า
ได้โพสลงหน้าห้องทุกทุกครา ตั้งแต่ฉันแต่งมายังไม่มี
ฤาต้องมีบุญหนักมีศักดิ์ใหญ่ มีสกุลพร่างพรายใสสดสี
อาจจำเพาะพวกพ้องต้องไมตรี จึงจะมีสิทธิ์สิทธิ์อยู่คู่หน้าเว็บ
ฤาว่าฉันมีฝีมือด้อย ภาษาจรน์พจน์ถ้อยช่างน้อยเหน็บ
อย่างไรหนาจึงจะมาอยู่หน้าเว็บ ใจช่างเจ็บจึงจัดเจรจา
ฤาว่าหากไม่มีฝีมือเทียบ บ่ คิดเปรียบเลียบล่องต้องภาษา
คงจักหลบหลีกหายไม่เจรจา เก็บตัวหมกป่าพนาดอน......
21 สิงหาคม 2545 11:53 น.
โอ๋ ศิษย์นันท์คนเขียนโคลงกลอน
วันนึงที่น้องผมก้าวเดินออกไปจากบ้านแล้วไม่กลับมาอีก ทุกวันนี้แม่ยังนั่งรอน้องอยู่
ขุนทองเจ้าจะกลับมาเมื่อฟ้าสาง
ขลุ่ยละริ้วพริ้วพรายเป็นสายโศก
ลมระโรยโชยโบกโยกข้าวไหว
โอนละอ่อนผ่อนเผ่นเช่นเข็ญใจ
กร้านลมบ่มไว้ให้รวงราญ
พยับแดดแผดจับระยับหยาด
วะวิบหวาดผาดแผลงดังแกล้งผลาญ
อกแม่เกรียมเกรียมกรมระทมทาน
กี่วันปีสิหนีผ่านพ้นกาลไป
ฝนก็ล่วงช่วงเดือนเตือนระลึก
ชอุ่มพฤษกไพรฟื้นขึ้นยืนใหม่
ล่วงเข้าหนาวหนาวพัดระบัดใบ
กาลหมุนเวียนเปลี่ยนไปไม่คืนมา
แม่ก็รอรอคอยเจ้าเฝ้าอยู่นี่
ณ ถิ่นที่นี้ดุจแสร้งแกล้งกังขา
ว่า ขุนทองเจ้าใยไม่กลับมา
นี่แก้วตาอยู่เย็นเป็นเช่นไร
น้ำพริกเอยเคยกินเล่นเห็นลูกชอบ
ระเริงรอบหมอบใต้ต้นไม้ใหญ่
แม่เหม่อมองท้องทุ่งรุ้งอำไพ
นี่เจ้าจากพรากไปใครจะนับ
สัญญาเอยเคยให้ไว้แน่วแน่
ฟ้าสางแม่ ขุนทองจึงจะกลับ
เลือดชโลมโหมกายให้แม่ซับ
น้ำตานองรองรับด้วยมือเรียว
เจ้าขุนทองเจ้าก็เดินเกินแกร่งกล้า
มุ่งลัดตัดตรงป่าพนาเขียว
แม่โหยหายละลายแห้งแล้งอยู่เดียว
ให้แห้งเหี่ยวเปลี่ยวจิตพินิจใน
แม่ก็มองขุนทองหนาว่าจะกลับ
ไม่นานนับฟ้าสางนภางค์ใส
จะอิงแอบแนบตักคุ้นอุ่นละไม
ให้แม่กล่อมล้อมไว้ในอ้อมรัก
.....................................................
มีข่าวว่าขุนทองมันตายแล้ว
โธ่ลูกแก้วใครนั่นหนาจะหนุนตัก
ใครจะปองปกป้องขุนทองพัก
ได้เท่าแม่แน่นักจักไม่มี
แม่รู้แน่ว่าขุนทองมีชีวิต
ไม่มีคิดผันแปรท้อแท้หนี
ให้คำมั่นนั้นเทียบเทียมชีวี
แม่มีไม่มีวันเชื่อเหลือข่าวลือ
.....................................................
ในปีนี้สุรีย์แรงดั่งแกล้งบ้า
ดวงตะวันกลั่นกล้าล้าแล้วหรือ
แตกระแหงแรงลดจรดฝ่ามือ
กำเคียวถือทอดอาลัยใกล้สิ้นลม
กูไม่หนีนี่คือถิ่นดินแดนเก่า
อีกสิบเท่ากูไม่ท้อรอขื่นขม
กูทนแม้นใจกร้าวร้าวระบม
แม้นขื่นขมระทมทับนับเท่าใด
กูไปแล้วถ้าขุนทองเล่ามันกลับ
มันจะหลับนอนหนุนอุ่นที่ไหน
กูจะรอมันบอกกับกูไว้
ว่าฟ้าสางสว่างไพรได้คืนมา....................
......................................................
รวงระยับวับวาวพราวอร่าม
ทุ่งข้าววาววามงามสง่า
ลมโรยโชยเย็นเช่นเป็นมา
เนิ่นกาลนานช้าสักเท่าใด
หนุ่มสาวกราวเคียวเกี่ยวกวัด
ข้าวร่วงรวงตัดจัดใหม่
ร้องรำทำเพลงครื่นเครงใจ
เพลงเกี่ยวข้าวพราวไพรในใจจับ
วัดเอ๋ยวัดโบสถ์ข้าวโพดกล้า
ไอ้ขุนทองมันว่าข้าจะกลับ
เมื่อฟ้าสางจางมาไม่ลาลับ
แม่มันนับวันรอพ่อคืนมา
ตายไปเป็นรวงข้าวอันกราวเกรียว
อยู่เดียวเปลี่ยวกว้างในกลางป่า
คอยมองไอ้ขุนทองมันต้องมา
เนิ่นกาลประมาณมาอีกช้านาน....................
โอ๋ศิษย์นันท์คนเขียนโคลงกลอน 02.21น. 21 ส.ค.2545
ขุนทองเจ้าจะกลับเมื่อฟ้าสางเป็นเพลงร้องกล่อมเด็กตั้งแต่สมัยปู่ย่าทวด มีคนเคยนำมาแต่งเป็นกลอนบ้างเรื่องสั้นบ้างให้ความประทับใจทุกครั้งที่อ่าน ครั้งนี้ผมนำมาประพันธ์ ในแบบของผม เพราะอย่างน้อยก็มีผมคนนึงที่รู้ว่า ทุกวันนี้แม่ก็ยังนั่งรอขุนทองอยู่ทุกวัน ..........................
18 สิงหาคม 2545 14:20 น.
โอ๋ ศิษย์นันท์คนเขียนโคลงกลอน
ยังยืนเดียวเปลี่ยวกายในแดนนี้
อาภากรอ่อนสีแสงแล้วแดงใส
วัฏจักรพักผ่อนย้อนกลับกลาย
จักกรีดร้องให้ก้องไพรใครจักยิน
หนาวก็หนาวราวมีดมากรีดแกล้ง
ทิชากรร่อนร่อนแผลงแกล้งผกผิน
ณ ห้วงใจให้ชอกช้ำน้ำตาริน
นี่ฤา เถื่อนแดนถิ่นที่สิ้นใจ
ทำไมเล่าเราต้องเปลี่ยวเดียวอยู่นี่
สุขเคยมีแสร้งสลับดับสูญหาย
นำตานองร้องร่ำพร่ำฟูมฟาย
เพียงสักคนสนใจใคร่จักฟัง
โลกของฉันนั้นสิ้นศัพท์ดับที่นี่
แม้นย่อยับไม่ลับลี้หนีกลับหลัง
ทุกข์ก็ทุกข์แม้นรุกโรมโหมประดัง
สู้แค่ฝังดินกลบศพตนเอง
ตายก็ตายสลายสิ้น ณ ถิ่นนี้
บ่ ได้มีใครสามารถอาจข่มเหง
แม้นชีพวายมลายไซร้ไป่ ยำเยง
บ่ กริ่งเกรงชะตาแกล้งแส้รงบีฑา
จงร่ำร้องครรลองเพลงบรรเลงเถิด
ให้แจ่มเจิดกวีศัพท์ขับภาษา
โศลกร้องคล้องเคียงเพียงเจรจา
กาลหนึ่งข้าอยู่ที่นี่ สิเพียงเดียว..........