15 กันยายน 2545 21:18 น.

คิดถึง

โอ๋ ศิษย์นันท์คนเขียนโคลงกลอน

คิดคำนึงรำพึงถ้อยเรียงร้อยพจน์
ด้วยดวงหน้ามาปรากฎสุดสดใส
อาวรณ์กายใจละเหี่ยเพีลยหทัย
ห้วงหวาดหวาดอนาถใจในห้วงรัก
  เพียงผ่านแผ่นพื้นภิภพประสบเจ้า
ให้ยั่วเย้าใจนี้สิแสนหนัก
บ่กล้าเอ่ยเฉลยความถามนงลักษณ์
ให้ประจักษ์แจ้งจิตพินิจใน
   หอมเอยหอมพยอมหวลอบอวนกลิ่น
วิเวกแว่วแผ่วแผ่วยินสิ้นเสียงสาย
นุชสะอื้นระรื่นเสียงสำเนียงใน
ซอวะหวาดดั่งขาดใจให้กังวล
   ราตรีเอยประดับดาวสิพราวพร่าง
ทำนองเพราะเสนาะสร้างดั่งสายฝน
ชโลมไล้กายฉ่ำระกำทน
พี่เจ็บจนเจียรใดใคร่ตระหนัก
   เมื่อใดหนอได้ประสบพบพักตร์เจ้า
กาลใดเล่าได้ร่วมคอนนอนหนุนตัก
ทุกนาทีมีจิตถึงรำพึงภักดิ์
เฝ้ารอวันอีกนานนักจักได้เจอ
   เฝ้ารอไล้ใกล้แก้มแต้มรอยจูบ
เพ่งพิศรูปในนภาหนอข้าเผลอ
เมื่อใดหนาข้านี้สิได้เจอ
คงละเมออีกนานเนิ่นเกินคืนวัน..............				
22 สิงหาคม 2545 18:46 น.

รางวัลของคนเขียนกลอน

โอ๋ ศิษย์นันท์คนเขียนโคลงกลอน

ฤาต้องเป็นลูกพระยามีนาหมื่น    จึงจะยืนเด่นระหงทรงสง่า
ได้โพสลงหน้าห้องทุกทุกครา        ตั้งแต่ฉันแต่งมายังไม่มี
ฤาต้องมีบุญหนักมีศักดิ์ใหญ่         มีสกุลพร่างพรายใสสดสี
อาจจำเพาะพวกพ้องต้องไมตรี        จึงจะมีสิทธิ์สิทธิ์อยู่คู่หน้าเว็บ
ฤาว่าฉันมีฝีมือด้อย                         ภาษาจรน์พจน์ถ้อยช่างน้อยเหน็บ
อย่างไรหนาจึงจะมาอยู่หน้าเว็บ     ใจช่างเจ็บจึงจัดเจรจา
ฤาว่าหากไม่มีฝีมือเทียบ                บ่ คิดเปรียบเลียบล่องต้องภาษา
คงจักหลบหลีกหายไม่เจรจา          เก็บตัวหมกป่าพนาดอน......				
21 สิงหาคม 2545 11:53 น.

สัญญานะว่าอ่านแล้วจะไม่ร้องไห้

โอ๋ ศิษย์นันท์คนเขียนโคลงกลอน

วันนึงที่น้องผมก้าวเดินออกไปจากบ้านแล้วไม่กลับมาอีก  ทุกวันนี้แม่ยังนั่งรอน้องอยู่
ขุนทองเจ้าจะกลับมาเมื่อฟ้าสาง

   ขลุ่ยละริ้วพริ้วพรายเป็นสายโศก
ลมระโรยโชยโบกโยกข้าวไหว
โอนละอ่อนผ่อนเผ่นเช่นเข็ญใจ
กร้านลมบ่มไว้ให้รวงราญ
   พยับแดดแผดจับระยับหยาด
วะวิบหวาดผาดแผลงดังแกล้งผลาญ
อกแม่เกรียมเกรียมกรมระทมทาน
กี่วันปีสิหนีผ่านพ้นกาลไป
   ฝนก็ล่วงช่วงเดือนเตือนระลึก
ชอุ่มพฤษกไพรฟื้นขึ้นยืนใหม่
ล่วงเข้าหนาวหนาวพัดระบัดใบ
กาลหมุนเวียนเปลี่ยนไปไม่คืนมา
   แม่ก็รอรอคอยเจ้าเฝ้าอยู่นี่
ณ ถิ่นที่นี้ดุจแสร้งแกล้งกังขา
ว่า  ขุนทองเจ้าใยไม่กลับมา
นี่แก้วตาอยู่เย็นเป็นเช่นไร
   น้ำพริกเอยเคยกินเล่นเห็นลูกชอบ
ระเริงรอบหมอบใต้ต้นไม้ใหญ่
แม่เหม่อมองท้องทุ่งรุ้งอำไพ
นี่เจ้าจากพรากไปใครจะนับ
   สัญญาเอยเคยให้ไว้แน่วแน่
ฟ้าสางแม่ ขุนทองจึงจะกลับ
เลือดชโลมโหมกายให้แม่ซับ
น้ำตานองรองรับด้วยมือเรียว
   เจ้าขุนทองเจ้าก็เดินเกินแกร่งกล้า
มุ่งลัดตัดตรงป่าพนาเขียว
แม่โหยหายละลายแห้งแล้งอยู่เดียว
ให้แห้งเหี่ยวเปลี่ยวจิตพินิจใน
   แม่ก็มองขุนทองหนาว่าจะกลับ
ไม่นานนับฟ้าสางนภางค์ใส
จะอิงแอบแนบตักคุ้นอุ่นละไม
ให้แม่กล่อมล้อมไว้ในอ้อมรัก
.....................................................
   
    มีข่าวว่าขุนทองมันตายแล้ว
โธ่ลูกแก้วใครนั่นหนาจะหนุนตัก
ใครจะปองปกป้องขุนทองพัก
ได้เท่าแม่แน่นักจักไม่มี
   แม่รู้แน่ว่าขุนทองมีชีวิต
ไม่มีคิดผันแปรท้อแท้หนี
ให้คำมั่นนั้นเทียบเทียมชีวี
แม่มีไม่มีวันเชื่อเหลือข่าวลือ
.....................................................

   ในปีนี้สุรีย์แรงดั่งแกล้งบ้า
ดวงตะวันกลั่นกล้าล้าแล้วหรือ
แตกระแหงแรงลดจรดฝ่ามือ
กำเคียวถือทอดอาลัยใกล้สิ้นลม
    กูไม่หนีนี่คือถิ่นดินแดนเก่า
อีกสิบเท่ากูไม่ท้อรอขื่นขม
กูทนแม้นใจกร้าวร้าวระบม
แม้นขื่นขมระทมทับนับเท่าใด
  กูไปแล้วถ้าขุนทองเล่ามันกลับ
มันจะหลับนอนหนุนอุ่นที่ไหน
กูจะรอมันบอกกับกูไว้
ว่าฟ้าสางสว่างไพรได้คืนมา....................
......................................................

   รวงระยับวับวาวพราวอร่าม
ทุ่งข้าววาววามงามสง่า
ลมโรยโชยเย็นเช่นเป็นมา
เนิ่นกาลนานช้าสักเท่าใด
  หนุ่มสาวกราวเคียวเกี่ยวกวัด
ข้าวร่วงรวงตัดจัดใหม่
ร้องรำทำเพลงครื่นเครงใจ
เพลงเกี่ยวข้าวพราวไพรในใจจับ 
   วัดเอ๋ยวัดโบสถ์ข้าวโพดกล้า
ไอ้ขุนทองมันว่าข้าจะกลับ
เมื่อฟ้าสางจางมาไม่ลาลับ
แม่มันนับวันรอพ่อคืนมา
   ตายไปเป็นรวงข้าวอันกราวเกรียว
อยู่เดียวเปลี่ยวกว้างในกลางป่า
คอยมองไอ้ขุนทองมันต้องมา
เนิ่นกาลประมาณมาอีกช้านาน....................

โอ๋ศิษย์นันท์คนเขียนโคลงกลอน   02.21น. 21 ส.ค.2545
ขุนทองเจ้าจะกลับเมื่อฟ้าสางเป็นเพลงร้องกล่อมเด็กตั้งแต่สมัยปู่ย่าทวด  มีคนเคยนำมาแต่งเป็นกลอนบ้างเรื่องสั้นบ้างให้ความประทับใจทุกครั้งที่อ่าน  ครั้งนี้ผมนำมาประพันธ์  ในแบบของผม  เพราะอย่างน้อยก็มีผมคนนึงที่รู้ว่า   ทุกวันนี้แม่ก็ยังนั่งรอขุนทองอยู่ทุกวัน ..........................				
18 สิงหาคม 2545 14:20 น.

แค่อยากจะเขียน

โอ๋ ศิษย์นันท์คนเขียนโคลงกลอน

ยังยืนเดียวเปลี่ยวกายในแดนนี้
อาภากรอ่อนสีแสงแล้วแดงใส
วัฏจักรพักผ่อนย้อนกลับกลาย
จักกรีดร้องให้ก้องไพรใครจักยิน
     หนาวก็หนาวราวมีดมากรีดแกล้ง
ทิชากรร่อนร่อนแผลงแกล้งผกผิน
ณ ห้วงใจให้ชอกช้ำน้ำตาริน
นี่ฤา เถื่อนแดนถิ่นที่สิ้นใจ
    ทำไมเล่าเราต้องเปลี่ยวเดียวอยู่นี่
สุขเคยมีแสร้งสลับดับสูญหาย
นำตานองร้องร่ำพร่ำฟูมฟาย
เพียงสักคนสนใจใคร่จักฟัง
    โลกของฉันนั้นสิ้นศัพท์ดับที่นี่
แม้นย่อยับไม่ลับลี้หนีกลับหลัง
ทุกข์ก็ทุกข์แม้นรุกโรมโหมประดัง
สู้แค่ฝังดินกลบศพตนเอง
    ตายก็ตายสลายสิ้น ณ ถิ่นนี้
บ่ ได้มีใครสามารถอาจข่มเหง
แม้นชีพวายมลายไซร้ไป่ ยำเยง
บ่ กริ่งเกรงชะตาแกล้งแส้รงบีฑา
    จงร่ำร้องครรลองเพลงบรรเลงเถิด
ให้แจ่มเจิดกวีศัพท์ขับภาษา
โศลกร้องคล้องเคียงเพียงเจรจา
กาลหนึ่งข้าอยู่ที่นี่ สิเพียงเดียว..........				
22 พฤษภาคม 2545 20:21 น.

โคลงสี่สุภาพ

โอ๋ ศิษย์นันท์คนเขียนโคลงกลอน

โคลงสี่สุภาพ

  เอกเจ็ดโทสี่ต้อง       คำโคลง
เรียงที่จักจรรโลง        จึ่งได้
กาลเลยล่วงยังคง        ยึดมั่น
เคียงนั่นเคียงโลกไซร้  จึ่งสิ้นกัปล์กาล				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟโอ๋ ศิษย์นันท์คนเขียนโคลงกลอน
Lovings  โอ๋ ศิษย์นันท์คนเขียนโคลงกลอน เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟโอ๋ ศิษย์นันท์คนเขียนโคลงกลอน
Lovings  โอ๋ ศิษย์นันท์คนเขียนโคลงกลอน เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟโอ๋ ศิษย์นันท์คนเขียนโคลงกลอน
Lovings  โอ๋ ศิษย์นันท์คนเขียนโคลงกลอน เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงโอ๋ ศิษย์นันท์คนเขียนโคลงกลอน