26 พฤศจิกายน 2550 19:37 น.

อ่านเรี่องนี้แล้วอยากร้องไห้มากกกกกก

โอ้ละหนอ

ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คน 
แต่ละวันพ่อแม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ  

ฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3 ปี 
วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆของฉันมีกัน  

จากนั้นพ่อก็รู้เรื่องพ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพงโดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน

'ใครขโมยเงินไป'   พ่อตวาด  

ฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป            น้องชายฉันก็เช่นกัน  

พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า 'ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ'  

พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น 
ทันใดนั้น           น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้....แล้วพูดว่า       'ผมขโมยเองครับ' 

ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉันอย่างต่อเนื่อง 

พ่อโกรธมาก       พ่อตีน้องของฉันไม่หยุด จนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย 

 พ่อนั่งลงบนเก้าอี้           และด่าว่าน้องชายของฉัน 

' ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้          ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีก     แกน่าจะโดนตีให้ตาย ไอ้หัวขโมย' 

คืนนั้น 
ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้    หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด       แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย

 กลางดึกคืนนั้น 
ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมาก

น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้ 
แล้วพูดว่า          ' พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะมันผ่านไปแล้ว' 

ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ



หลายปีผ่านไป                แต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง  

ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย               

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 8 ปี ส่วนฉันอายุ 11ปี... 

เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้น     เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียนม.ปลาย ว่าเขาสอบได้ 
ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลาย ก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกัน

 คืนนั้น 
พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน             ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า 

 'ลูกเราทั้งคู่เรียนดีเรียนดีมากนะ'

 

แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อ ได้พูดว่า 

'แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไรในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน'

 ทันใดนั้น          น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า 

 'ผมไม่ต้องการเรียนต่อ    ผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว'  

พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่ 

'ทำไมถึงคิดโง่ๆ อย่างนี้    ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้ '

 

คืนนั้นทั้งคืน 
พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆทั่วทั้งหมู่บ้าน....เพื่อขอยืมเงิน  

ฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆ ของน้องชายเบาๆ และคิดว่า 

'ต้องให้น้องได้เรียนต่อไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้'

 แต่ในขณะเดียวกัน         ฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้ 

 ใครจะรู้ได้ 
.......

 วันต่อมาในตอนเช้ามืด   น้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้น 

 และถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิว               ก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉัน 

 ขณะฉันกำลังหลับ

 'พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ ....ผมจะไปหางานทำ...แล้วจะส่งเงินมาให้พี่ '

 ฉันนั่งอยู่บนเตียง           อ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า 
.......ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป

 ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17ปี 
ส่วนฉันอายุ 20ปี 
.....

 

ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน   รวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงานเป็น 

 กรรมกรแบกหามที่ไซท์ก่อสร้างท่าเรือ .......ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3 

 วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก    เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า 

 'มีชาวบ้านมาหาเธอ...อยู่ข้างนอกแน่ะ'

 ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ 
???

 

ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่     ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง  

ฉันถามเขาว่า                 'ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ '

 น้องชายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า        'ก็ดูผมสิสกปรกมอมแมมออกอย่างนี้...ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่ 
เพื่อนๆ ก้อได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี'

 ฉันค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้อง          และพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ 

 'พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง  เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม' 

 จากนั้น 
น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง         เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ . 
เขาติดกิ๊บให้ฉัน แล้วพูดว่า

 'ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน  ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง' 

 ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด

 ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน

 ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 
20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี 
. 

 วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก   ฉันสังเกตเห็นว่าหน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป 
ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว                เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก

 หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า  'แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจก 

 เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ'

 แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า           ' แม่ไม่ได้จ้างหรอก...น้องชายลูกต่างหากวันนี้เค้าขอเลิกงานเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้านลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ '

 ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา

 ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ

 ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด 
'เจ็บมากไหม' ฉันถาม 

 'ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆมีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ และ........ 

น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูดเพราะฉันหันหน้าหนีเขา 

น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง 
'เพราะพี่เป็นพี่สาวของผมนี่ครับ' 

 

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23 ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปี...

 

 หลังจากนั้น 
ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง

 หลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองด้วยกัน...

 แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ   ท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง   แต่เมื่อออกไปแล้ว 
ท่านไม่รู้จะทำอะไรดี  จึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิม น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป . ..เขาบอกกับฉันว่า

 'พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง'

 

สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของครอบครัว

 เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท      แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้ 

 เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา

 

วันหนึ่ง 
น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล   และตกลงมาเพราะโดนไฟดูด

 เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล                   ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล 

 น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา

 ... 
ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า                 ' ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!!

 ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆอย่างนี้           ดูตัวเองซิ...เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว 
ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง'

 

คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด            ยังยืนยันความคิดเดิมของเขา 

 'พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขยเพิ่งจะได้เป็นประธาน ส่วนผมมันการศึกษาต่ำถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ 

 คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด'

 

น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย 
.....

 

ฉันบอกกับน้องว่า            'แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่... '

 'ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ'

 น้องชายของฉันจับมือฉันไว้

 ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 26 ปี ส่วนฉันอายุ 29 ปี... 

  

เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30 ปี   เขาได้แต่งงานกับผู้หญิงในที่ทำงานที่เดียวกัน 

 

ในงานแต่งงาน 
ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า

 'ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้'

 น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล 
'พี่สาวของผมครับ' 
.....

 

และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้

 'ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง  เราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง 2 ชม.  

เพื่อเดินไปเรียน...และเดินกลับบ้าน

 วันหนึ่งในวันที่หิมะตกหนักผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง        พี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง 

 และเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้างเดียวเดินเป็นระยะทางไกล

 เมื่อเรากลับถึงบ้านมือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว         เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ 
.......นับจากวันนั้น          ผมสาบานกับตัวเองว่าตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดี 

และจะทำดีกับเธอ'

 

เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว          สายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน 

 คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก 
....... 

 'ในโลกใบนี้คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด 
คือน้องชายของฉันค่ะ' 

 

ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้      น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง... 

 

จงรัก     และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆ วันในชีวิตของคุณและเขา 

 คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆ

 แต่สำหรับคนคนนั้นอาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง

 ..ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ    พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อน หรือแม้คนที่คุณไม่รู้จัก ก็ตาม 

 จบบริบูรณ์....

 

ปล.ปัจจุบันผู้เป็นพี่สาวอายุ 86 ปีตำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารใหญ่บริษัทฮุนไดและในเครือกว่า 20 บริษัท

 ส่วนน้องชายอายุ 83 ปีเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเล็กๆ   ที่มีชื่อเป็นภาษาเกาหลีว่า  'ซัมซุง'

 และเรื่องราวของท่านทั้ง 2 คนกำลังถูกนำมาสร้างเป็นซี่รี่ย์ โดยดาราเล็กๆ คนคือ ซอง เฮ เคียว / ลี ดอง ฮุค 

 บู มิง ฮอง 
เล่าเรื่อง				
Calendar
Lovers  1 คน เลิฟโอ้ละหนอ
Lovings  โอ้ละหนอ เลิฟ 1 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟโอ้ละหนอ
Lovings  โอ้ละหนอ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟโอ้ละหนอ
Lovings  โอ้ละหนอ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงโอ้ละหนอ