5 มีนาคม 2553 12:55 น.
โอ้ละหนอ
เมื่อวานนี้ได้รับจดหมายบอกบุญมาจากอาจารย์ปฐมและคุณภัทรา นิคมานนท์ ฉบับหนึ่ง ได้แจ้งเรื่องการทำบุญมาดังนี้
เกี่ยวกับการซื้อที่ดินเพื่อสร้างอนุสรณ์สถานการบรรลุธรรมของหลวงปู่ขาว อนาลโย ที่ตำบลโหล่งขอด อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่
ตามประวัติ......หลวงปู่ขาว อนาลโย ได้ติดตามหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ไปบำเพ็ญเพียรที่จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อ พ.ศ.2476 อายุ 45 ปี พรรษา 9
บรรลุธรรมที่ตำบลโหล่งขอด อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ ระหว่างปี พ.ศ.2483-2484 อายุ 52-53 ปี พรรษา 16-17
ด้วยการ น้อมนำรวงข้าวที่สุกเหลืองอร่ามมาเป็นอารมณ์กรรมฐาน
ที่เสนาสนะป่ากลางทุ่งนา บ้านโหล่งขอด อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่
ท่านเล่าว่า เย็นวันหนึ่ง เมื่อปัดกวาดเสร็จ ออกจากที่พักไปสรงน้ำ ได้เห็นข้าวในไร่ของชาวเขาสุกเหลืองอร่าม ทำให้เกิดคำถามขึ้นมาในใจในขณะนั้นขึ้นมาว่า
ข้าวมันงอกขึ้นมาเพราะมีอะไรเป็นเชื้อพาให้เกิด ใจ ที่พาให้เกิด-ตาย อยู่ไม่หยุด ก็น่าจะมีอะไรเป็นเชื้ออยู่ภายในเช่นเดียวกันกับเมล็ดข้าว เชื้อนั้นถ้าไม่ถูกทำลายเสียที่ใจให้หมดสิ้นไป ก็จะต้องพาให้เกิด-ตายอยู่ไม่หยุด ก็แล้วอะไรเล่าที่เป็นเชื้อของใจ ถ้าไม่ใช่กิเลส อวิชชา ตัณหา อุปาทาน........
ท่านพิจารณาทบทวนไปมาในสมาธิ โดยถือเอาอวิชชาเป็นเป้าหมายแห่งการวิพาษษ์วิจารณ์ พิจารณาทบทวนไปหน้า-ถอยหลัง อนุโลมปฎิโลมด้วยความสนใจอยากรู้ตัวจริงของอวิฃฃา นับแต่หัวค่ำไปจนดึก ไม่ลดละการพิจารณา ระหว่าง อวิชชากับใจ พอจวนสว่างจึงตัดสินกันลงได้ที่ ปัญญา ตัวอวิชชา ขาดกระเด็นไปไม่มีอะไรเหลืออยู่
การพิจารณาข้าวก็มายุติที่ข้าวสุกหมดการงอกอีกต่อไป การพิจารณาจิต ก็มาหยุดกันที่อวิชชาดับ กลายเป็นจิตสุกขึ้นมาเหมือนข้าวที่สุก จิตหมดการก่อกำเนิดเกิดในภพต่าง ๆ อย่างประจักษ์ใจ สิ่งที่เหลือให้ชมอย่างสมใจคือความบริสุทธิ์แห่งจิตล้วน ๆ ท่ามกลางกระท่อมกลางเขาที่มีเพียงชาวป่าอุปัฎฐากดูแล
ขณะที่จิดผ่านดงหนาฝ่ากิเลสวัฎฎ์ไปได้แล้ว ก็เกิดความอัศจรรย์ใจอยู่แต่ผู้เดียว จนอรุณรุ่งพระอาทิตย์เริ่มสว่างบนฟ้า ใจก็เริ่มสว่างจากอวิชชาขึ้นสู่ธรรมอัศจรรย์ ถึงวิมุตติหลุดพ้นในเวลาเดียวกันกับพระอาทิตย์อุทัยเริ่มฉายแสงส่องปฐพี ช่าวเป็นฤกษ์งามยามดีเสียนี่กระไร.........
จากการติดตามสืบเสาะค้นคว้าเพื่อเขียนประวัติครูบาอาจารย์สายกรรมฐาน ในโครงการหนังสือบูรพาจารย์ ทำให้ทราบว่าสถานที่บรรลุธรรมของหลวงปู่ขาว อนาลโย เป็นทุ่งนาบริเวณที่เรียกว่า วัดร้างทุ่งกุย หมู่ 1 ตำบลโหล่งขอด อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ ปัจจุบันเป็นที่ของเอกชน ได้ขอซื้อคืนมาในราคาเฉลี่ยตารางวาละ 300.- บาท พระครูสิริวัฒน์(พระอาจารย์เศวต สกก.สิริ)เจ้าอาวาสวัดเจติยบรรพต และเจ้าคณะตำบลแม่ปั๋ง(ธ) ได้ติดต่อขอซื้อคืนมา จึงได้บอกบุญมาให้ทราบ เพื่อผู้มีจิตกุศลอยากร่วมทำบุญได้ร่วมทำบุญด้วยกันต่อไป..........
นี่ก็นับเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับข้าวเรื่องหนึ่งอยู่เหมือนกัน.......ที่หลวงปู่ได้นำมาเป็นตัวพิจารณาในการบรรลุธรรมของหลวงงปู่ท่านจนได้เกิดดวงตาเห็นธรรมฉะนี้แล.............
26 พฤศจิกายน 2550 19:37 น.
โอ้ละหนอ
ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คน
แต่ละวันพ่อแม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ
ฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3 ปี
วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆของฉันมีกัน
จากนั้นพ่อก็รู้เรื่องพ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพงโดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน
'ใครขโมยเงินไป' พ่อตวาด
ฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่นกัน
พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า 'ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ'
พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น
ทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้....แล้วพูดว่า 'ผมขโมยเองครับ'
ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉันอย่างต่อเนื่อง
พ่อโกรธมาก พ่อตีน้องของฉันไม่หยุด จนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย
พ่อนั่งลงบนเก้าอี้ และด่าว่าน้องชายของฉัน
' ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้ ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีก แกน่าจะโดนตีให้ตาย ไอ้หัวขโมย'
คืนนั้น
ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้ หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย
กลางดึกคืนนั้น
ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมาก
น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้
แล้วพูดว่า ' พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะมันผ่านไปแล้ว'
ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ
หลายปีผ่านไป แต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง
ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 8 ปี ส่วนฉันอายุ 11ปี...
เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้น เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียนม.ปลาย ว่าเขาสอบได้
ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลาย ก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกัน
คืนนั้น
พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า
'ลูกเราทั้งคู่เรียนดีเรียนดีมากนะ'
แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อ ได้พูดว่า
'แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไรในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน'
ทันใดนั้น น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า
'ผมไม่ต้องการเรียนต่อ ผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว'
พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่
'ทำไมถึงคิดโง่ๆ อย่างนี้ ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้ '
คืนนั้นทั้งคืน
พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆทั่วทั้งหมู่บ้าน....เพื่อขอยืมเงิน
ฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆ ของน้องชายเบาๆ และคิดว่า
'ต้องให้น้องได้เรียนต่อไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้'
แต่ในขณะเดียวกัน ฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้
ใครจะรู้ได้
.......
วันต่อมาในตอนเช้ามืด น้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้น
และถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิว ก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉัน
ขณะฉันกำลังหลับ
'พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ ....ผมจะไปหางานทำ...แล้วจะส่งเงินมาให้พี่ '
ฉันนั่งอยู่บนเตียง อ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า
.......ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17ปี
ส่วนฉันอายุ 20ปี
.....
ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน รวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงานเป็น
กรรมกรแบกหามที่ไซท์ก่อสร้างท่าเรือ .......ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3
วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า
'มีชาวบ้านมาหาเธอ...อยู่ข้างนอกแน่ะ'
ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ
???
ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่ ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง
ฉันถามเขาว่า 'ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ '
น้องชายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า 'ก็ดูผมสิสกปรกมอมแมมออกอย่างนี้...ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่
เพื่อนๆ ก้อได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี'
ฉันค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้อง และพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ
'พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม'
จากนั้น
น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ .
เขาติดกิ๊บให้ฉัน แล้วพูดว่า
'ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง'
ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด
ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ
20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี
.
วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก ฉันสังเกตเห็นว่าหน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป
ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก
หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า 'แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจก
เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ'
แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า ' แม่ไม่ได้จ้างหรอก...น้องชายลูกต่างหากวันนี้เค้าขอเลิกงานเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้านลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ '
ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา
ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ
ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด
'เจ็บมากไหม' ฉันถาม
'ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆมีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ และ........
น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูดเพราะฉันหันหน้าหนีเขา
น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง
'เพราะพี่เป็นพี่สาวของผมนี่ครับ'
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23 ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปี...
หลังจากนั้น
ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง
หลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองด้วยกัน...
แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ ท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง แต่เมื่อออกไปแล้ว
ท่านไม่รู้จะทำอะไรดี จึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิม น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป . ..เขาบอกกับฉันว่า
'พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง'
สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของครอบครัว
เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้
เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา
วันหนึ่ง
น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล และตกลงมาเพราะโดนไฟดูด
เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล
น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา
...
ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า ' ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!!
ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆอย่างนี้ ดูตัวเองซิ...เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว
ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง'
คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด ยังยืนยันความคิดเดิมของเขา
'พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขยเพิ่งจะได้เป็นประธาน ส่วนผมมันการศึกษาต่ำถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ
คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด'
น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย
.....
ฉันบอกกับน้องว่า 'แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่... '
'ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ'
น้องชายของฉันจับมือฉันไว้
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 26 ปี ส่วนฉันอายุ 29 ปี...
เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30 ปี เขาได้แต่งงานกับผู้หญิงในที่ทำงานที่เดียวกัน
ในงานแต่งงาน
ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า
'ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้'
น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล
'พี่สาวของผมครับ'
.....
และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้
'ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง เราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง 2 ชม.
เพื่อเดินไปเรียน...และเดินกลับบ้าน
วันหนึ่งในวันที่หิมะตกหนักผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง พี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง
และเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้างเดียวเดินเป็นระยะทางไกล
เมื่อเรากลับถึงบ้านมือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ
.......นับจากวันนั้น ผมสาบานกับตัวเองว่าตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดี
และจะทำดีกับเธอ'
เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว สายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน
คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก
.......
'ในโลกใบนี้คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด
คือน้องชายของฉันค่ะ'
ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้ น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง...
จงรัก และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆ วันในชีวิตของคุณและเขา
คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆ
แต่สำหรับคนคนนั้นอาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง
..ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อน หรือแม้คนที่คุณไม่รู้จัก ก็ตาม
จบบริบูรณ์....
ปล.ปัจจุบันผู้เป็นพี่สาวอายุ 86 ปีตำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารใหญ่บริษัทฮุนไดและในเครือกว่า 20 บริษัท
ส่วนน้องชายอายุ 83 ปีเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเล็กๆ ที่มีชื่อเป็นภาษาเกาหลีว่า 'ซัมซุง'
และเรื่องราวของท่านทั้ง 2 คนกำลังถูกนำมาสร้างเป็นซี่รี่ย์ โดยดาราเล็กๆ คนคือ ซอง เฮ เคียว / ลี ดอง ฮุค
บู มิง ฮอง
เล่าเรื่อง
6 กรกฎาคม 2550 23:38 น.
โอ้ละหนอ
ฮาบ่อยากไปเฮียนตี้อื่น หื้อฮาไปยะหยัง ฮือ ๆ (ผมไม่อยากไปเรียนที่อื่น ให้ผมไปทำไม) เด็กชาย ป.6 คนนั้นงอแงกับแม่อยู่ได้ เอาอยู่นั่นแหละเดือนกว่า ๆ นับตั้งแต่ไปสอบเรียนต่อ ม.1 ที่โรงเรียนต่างจังหวัดได้ เอาแต่โมโหโกรธาเอากับแม่ แม่เองก็เป็นแปลก โรงเรียนที่บ้านก็มี ทำไม้เอาลูกไปสอบเข้าเรียนต่อต่างจังหวัดให้เสียเงินเสียทอง มีเงินมาก ๆ เสียเมื่อไหร่ล่ะ แค่เรียนต่อชั้น ม.1 ไม่ใช่เข้ามหาวิทยาลัยซักหน่อย ก็โธ่คนเราแต่ละคนมันก็เหตุผลต่าง ๆ กันไปนี่นะ แม่ก็มีหตุผลของแม่ ลูกก็มีเหตุผลของลูก แต่ด้วยวัยและประสพการณ์ เชื่อเถอะน่าว่าแม่คิดได้มากกว่า กว้างกว่าและก็ไกลกว่าแน่นอน งอแง ๆ เตะๆ ถีบ ๆ บ่นๆ ด่าว่า หงุดหงิดอยู่นั่นแหละ แม่ก็อดท้น อดทน อดทนเข้าไว้ เวลาลูกอาละวาด ก็เงียบทำเฉย ๆ ซะ ค่อย ๆ เอาน้ำเย็นเข้าลูบ ค่อย ๆ พูด ค่อย ๆ จา ค่อยอธิบายเหตุผลต่าง ๆ นา ๆ ให้ลูกฟังถึงข้อดีที่มีมากกว่าข้อเสียถึงอนาคตของลูก จนกระทั่งถึงวันที่ต้องแพ็คกระเป๋าไปหอ ก็ตื่นเต้นกันทั้งแม่ทั้งลูกแหละเพราะไม่เคยห่างกันเลยนี่ทั้ง 12 ปีของชีวิตลูก สำหรับพ่ออย่าไปพูดถึงเลย เพราะพ่อไปทำงานต่างจังหวัด พ่อเขาเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูงมากเรื่องเงินทองไม่ได้ขาด แต่เวลาเขาอุทิศให้การทำงานทั้งหมด ก็ไม่ว่ากัน แค่นั้นเรารับได้สบายมาก ขอให้สิ้นเดือนเงินเลี้ยงลูกมีในบัญชีก็พอใจเราแล้วล่ะ ไปถึงหอต่างจังหวัด บอกให้แม่กลับเลย ไปแนะนำตัวเองกับพี่ ๆ ที่หอ ผมชื่อ.....ครับ พี่ ๆ ชื่ออะไรกันบ้างครับ มีอะไรให้ผมทำบ้างครับ เออ ดี อ้ายน้อง ถูกใจพี่ รอดตัวไปไม่โดนแกล้งล่ะ อะไรมาจากบ้านนอกต่างจังหวัดเข้าเรียนม.1-4 เป็นหัวหน้าไปซะทุกปี เกรดก็ดี หน้าก็ตี๋ อินเทรนด์ถูกใจวัยสาว(วัยตุ๊ด...อย่าเชียวนะลูก)ไปซะหมด (จะตกเทรนด์ก็ตอนภราดรมาเข้าตานาตาลีนี่แหละ) แม่ครับ ๆ ขอบคุณแม่นะครับ ที่ให้ลูกมาเรียนที่นี่ ลูกโชคดีที่ได้เกิดมาเป็นลูกแม่ ฮึ ! แม่ทำหน้าดุ อะไร(เน้นเสียง) ตอนนั้นว่าไงนะ ฮาบ่อยากไปเฮียนตี้อื่น หื้อฮาไปยะหยัง....ฮือ ๆ ....... โธ่ แม่ อย่าล้อลูกน่า .......จบ