20 มีนาคม 2549 15:29 น.
โอไรออน
"...ใกล้ตา...ไกลตีน
แผ่นดิน...แผ่นฟ้า
ความรัก...น้ำตา
สีฟ้า...สีแดง
ความหวัง...ความฝัน
รุ้งนั่น...สีแสง
ขาวฟ้า...แสดแดง
ลมแรง...ต้นหญ้า
ชีวิต...ของฉัน
ผูกพัน...กันมา
ผืนดิน...แผ่นฟ้า
ต้นหญ้า...แมลง
ความคิด...จิตใจ
ต่างไป...เปลี่ยนแปลง
ได้เห็น...เขาแสดง
แก่งแย่ง...กันไป
ชีวิต...คนเรา
โศกเศร้า...ทำไม
ต่างคน...ต่างใจ
ตัวใคร...ตัวมัน
สีดำ...สีขาว
เรื่องราว...ความฝัน
กลางคืน...กลางวัน
ความฝัน...ความจริง
อดีต...ปัจจุบัน
ต่างกัน...จริงจริง
เวลา...ไม่นิ่ง
ความจริง...คืออะไร......"
20 ตุลาคม 2548 17:08 น.
โอไรออน
"........ลมพัดเมื่อยามเช้า
เบื้องหน้าเราภูเขาใหญ่
ใจเราก็ลอยไป
ไกลแสนไกลในความจริง
...แม้อาจเป็นเพียงฝัน
เพราะเรานั้นใช่ทุกสิ่ง
วาดภาพเกินความจริง
แค่พึ่งพิงสิ่งในใจ
...บางครั้งเราอ่อนล้า
ข้างในตาก็สั่นไหว
เหนื่อยล้าอยู่เรื่อยไป
ทดท้อใจในบางครา
...คิดถึงคนที่บ้าน
ครูอาจารย์ระลึกหา
เพื่อนฝูงเคยคุ้นตา
ต้องจากลามาแสนไกล
.....จากหวังจึงได้วาด
ลายเส้นขาดก็แก้ไข
ผิดมากเราเริ่มใหม่
ทำต่อไปให้เป็นจริง
...เพื่อฝันที่วาดไว้
ความตั้งใจคือทุกสิ่ง
โลกของความเป็นจริง
มิใช่สิ่งสวยดังใจ
....มีดำและมีขาว
หอมและคาวคละกันไป
ทุกอย่างอยู่ที่ใจ
เลือกทางใดในทางเดิน
...วันนี้ที่เป็นอยู่
ใจก็รู้เหนื่อยเหลือเกิน
ขวากหนามต้องเผชิญ
จะต้องเดินก้าวฝ่าไป
...หากถามถึงเหตุผล
จะดิ้นรนเพื่ออะไร
พ่อแม่เราหวังไว้
ลูกจึงได้ทดแทนคุณ
...มายาที่แวดล้อม
สติพร้อมจะเกื้อหนุน
ความรักที่หอมกรุ่น
จะเป็นทุนและแรงใจ
........ลมพัดเมื่อยามเย็น
น้ำกระเซ็นแลหลั่งไหล
ระยิบกระพริบพราย
คล้ายดังสายทองธารา
...ลมเย็นกระทบผิว
ลอยละลิ่วระเริงร่า
ใบไม้กลาดเกลื่อนตา
แซมด้วยหญ้าเขียวขจี
...ท้องฟ้าเคยสดใส
บัดนี้ใยฟ้าเปลี่ยนสี
แดงฉานปานอัคคี
ทาบนทีเถ้าถ่านแดง
...ดวงดาวเริ่มพราวพร่าง
งามกระจ่างสร้างสีแสง
ขาวฟ้าและแสดแดง
กระพริบแสงแปลงสีกัน
...นอนลงบนผืนหญ้า
แล้วหลับตาพาสู่ฝัน
ล่องลอยร้อยคืนวัน
สู่ปัจจุบันที่เป็นไป
...รอยเท้าที่เคยย่ำ
กับน้ำคำที่หวั่นไหว
ความจริงเป็นเช่นไร
จะมีใครช่วยตอบเรา
...เมื่อฝันนั้นเป็นอื่น
ขอจงกลืนความโง่เขลา
คือเราที่เป็นเรา
แล้วจึงก้าวสู้ความจริง..
...ฝากฝันไว้กับฟ้า
ฝากศรัทธาที่ใหญ่ยิ่ง
ฝากรักฝากทุกสิ่ง
คงเป็นจริงเข้าสักวัน......
20 ตุลาคม 2548 10:43 น.
โอไรออน
"...มองออกไปบนผืนทราย
ลัดเลาะแถวแนวชายหาด
เห็นเม็ดทรายขาวสะอาด
น้ำเซาะสาดกระเซ็นสาย
คลื่นระลอกแล้วระลอกเล่า
บ้างก็เบาค่อยคล้อยไหล
ขับกล่อมบรรเลงเคล้าเพลงไป
ไกลแสนไกลสุดใจสุดสายตา
แต่เมื่อใดลมแรงแข่งสายน้ำ
เมฆมืดคล้ำดำทะมึนขึ้นตรงหน้า
คลื่นกระหน่ำซ้ำซัดสาดสายมา
พายุร้ายใกล้เข้ามา ณตัวเรา
เหมือนชีวิตคนเราทุกเช้าค่ำ
ช่วงมืดดำทำใจเราให้ขลาดเขลา
เมื่อพายุพ้นผ่านชีวิตเรา
ฟ้าใสใสไงเล่า...เมื่อพายุผ่านพ้นไป...
.....ธรรมดา เวลาฟ้า เมฆครึ้มหม่น
พายุฝนโหมกระหน่ำบนฟากฟ้า
อีกไม่นานตะวันแดง สาดแสงกล้า
ส่องแผ่นฟ้า และพสุธา ให้งดงาม....
30 ธันวาคม 2546 13:20 น.
โอไรออน
....ขอให้ทิ้งเรื่องร้ายร้ายลงไว้กับปีเก่า
ปีหน้าเราเฝ้าพานพบในจุดหมาย
มีดีอยู่ดีมีสุขสบาย
ที้งเรื่องร้ายให้มลายไปตามกาล
คิดก่อนทำทำหลังคิดผิดยอมรับ
ใช้ปัญญาสดับรับคำขาน
ทำสิ่งใดให้ตรองตรึกนึกนานนาน
แล้วพบพานกับสิ่งงามตามใจตน
หากบังเอิญเผชิญชั่วมัวหมองไซร้
ก้าวฝ่าไปด้วยใจให้ได้ผล
ทางเส้นนี้มิใช่ง่ายอย่างใจตน
เกิดเป็นคนต้องฝึกฝนทนต่อไป
ให้ร่ำเรียนในวิชาด้วยสามารถ
แม้จะไม่เก่งกาจเราสู้ไหว
สักวันหนึ่งคงถึงซึ่งเส้นชัย
ขจรไกลขยายออกทุกซอกแดน
มีความรู้คู่คุณธรรมนำความคิด
อันเขียนคิดอย่าได้ผิดตามแบบแผน
พ่อและแม่มีบุญคุญเฝ้าทดแทน
เรื่องน้ำใจอย่าหวงแหนแสนสำคัญ........
23 พฤษภาคม 2546 15:27 น.
โอไรออน
ด้วยสองเท้าก้าวย่างทางภูผา
ตั้งใจมาหมายมุ่งสู่ภูสูง
จึงออกจากแสงสีความเฟื่องฟุ้ง
มาสู่ทุ่งมุ่งมาป่าหาภูดอย
ภูกระดึงนามนี้ที่รู้จัก
ผู้คนมักป่ายปีนตีนขึ้นสอย
สู่หลังแปที่ราบที่เฝ้าคอย
นี่คือยอดภูดอยภูกระดึง
จากตีนภูเดินขึ้นสู่หลังแป
ขอเพียงแค่สองตีนเดี๋ยวก็ถึง
สัมภาระมากมายอย่าดื้อดึง
เพราะท่านอาจล้มตึงก่อนเวลา
ที่ทำการเขามีลูกหาบไว้
คอยรับใช้เราท่านขึ้นภูผา
กิโลกรัมละสิบบาทเราอย่าช้า
กระเป๋ายักษ์มหึมาขึ้นสบาย
เดินตัวเปล่าปลิวมาถึงซำแฮก
จุดพักแรกหอบแฮกแฮกน่าใจหาย
เดินมาแค่แปดร้อยเมตรเหนื่อยแทบตาย
ที่ไหนได้ยังไม่ถึงครึ่งค่อนทาง
จากซำแฮกแบกสังขารผ่านกกกอก
เหงื่อกระฉอกตอกย้ำซำกกไผ่
เดินมานานผ่านหลายซำจำไม่ไหว
ซำแคร่ไงท้ายสุดตอนก่อนหลังแป
หลายกิโลผ่านไปกายตรำตราก
เดินขาลากฝากรอยไว้ได้หลายแผล
ความเหนื่อยอ่อนมาหยุดจุดหลังแป
ที่ราบอันกว้างแผ่แลสุดตา
มาเพียงนี้ยังไม่ถึงซึ่งจุดหมาย
ดั้นด้นกายสองกิโลเราใฝ่หา
ศูนย์บริการฯเราจักพักกายา
หาน้ำท่ามีสุขาไว้บริการ
เมื่อถึงนี่เร็วรี่เรื่องที่พัก
ผู้คนมักนอนเต็นท์เป็นพื้นฐาน
แต่บ้านพักก็มีไว้ให้บริการ
เรื่องอาหารน้ำดื่มลืมได้ไง
มีร้านค้าอาหารอยู่กลาดเกลื่อน
พาเพื่อนเพื่อนมานั่งกินสิ้นสงสัย
ทำไมของมันถึง แพงเกินไป
ก็เข้าใจ เขาจ้าง ขึ้นหาบมา
พอรุ่งขึ้นตื่นมาสุดหนาวเหน็บ
หนาวจนเจ็บ ปลุกเรา เหตุใดหนา
เพิ่งตีสี่ เร็วรี่ แหกขี้ตา
เพื่อมุ่งมา ผานกแอ่น แสนวิไล
รอจนหลับหลับไปได้หลายตื่น
เสียงระรื่นคนโห่ร้องให้สงสัย
แสงตะวันจับขอบฟ้าอันแสนไกล
ดวงตะวันก็เคลื่อนกายพ้นขอบดอย
แสงอาทิตย์จ้าแล้วจึงรีบกลับ
เร่งรีบจับสัมภาระไว้ใช้สอย
เพื่อมุ่งหน้าผาหล่มสักที่เฝ้าคอย
มิใช่ย่อยเตรียมไว้คอยเดินทางไกล
เริ่มกันที่วังกวางน้ำตกแรก
เจอทางแยกไปสู่เพ็ญพบใหม่
ผ่านโผนพบเพ็ญพบทางไม่ไกล
ก็เข้าสู่ถ้ำใหญ่ตระการตา
ถ้ำสอใต้ไกลเหลือเกินเดินจนท้อ
ถ้ำสอเหนือก็รออยู่ข้างหน้า
อโนดาตน้ำใสสะอาดตา
ชื่นอุรานั่งพักทักทายกัน
ห้ากิโลเดี๋ยวก็ถึงผาหล่มสัก
แดดร้อนนักพักสักหน่อยค่อยผ่อนผัน
พบผู้คนมากหน้าสารพัน
ถึงแล้วนั่นผาหล่มสักแห่งยอดดอย
ผู้ต้องการถ่ายรูปต้องเข้าแถว
เห็นเป็นแนวอะไรกันฉันไม่ถอย
ยืนเข้าคิวถ่ายภาพที่เฝ้าคอย
ผาหล่มสักกับสนดอยคอยคู่เคียง
ตัดใจจากเมื่ออาทิตย์ยังไม่ลับ
เร่งรีบกลับที่พักไม่ฟังเสียง
คนแออัดอื้ออึงซึ่งสำเนียง
เดินเลาะเรียงเคียงขอบภูดูตื่นตา
ผ่านผาแดงผาเหนียบเมฆก็เย็นย่ำ
ลมหนาวร่ำ คร่ำครวญ ที่ริมผา
อากาศเย็น เยือกยิ่งสิงกายา
ก็เคลื่อนกายจากมาเพื่อก้าวไป
เดินเรื่อยเรื่อยเลาะเรียงเคียงขอบผา
เดินก้าวมาถึงนาน้อยหน้าผาใหญ่
หยุดนั่งพัก อากาศสะท้านกาย
หนาวจับใจความมืดคืบคลุมมา
เปิดไฟฉาย ห่มเสื้อ เหลือจะหนาว
ส่วนสองเท้าก็เร่งก้าวด้วยเสาะหา
ผาหมาดดูกจุดสุดท้ายก่อนนิทรา
สองกิโลต่อมาจึงได้นอน
ถึงเวลาแล้วหนาต้องลาจาก
ความลำบากความสนุกและสุขขี
ประสบการณ์อันยิ่งใหญ่ที่ได้มี
เหนือยอดภูแห่งนี้ ภูกระดึง
ในสามวัน สองคืน ที่อยู่พัก
ธรรมชาติ งดงามนัก สุดเปรียบถึง
บนภูผา แห่งความฝัน ภูกระดึง
ใจข้าจึง จะหวัง กลับมาเยือน