29 มีนาคม 2551 03:24 น.

ทำไมอยาก...ลอก...งานของผู้อื่น??

โอเลี้ยง

1072622_3663941.jpg





สังคมปัจจุบันเอื้ออำนวยให้เราเด่น ดัง และสวยได้รวดเร็วที่สุด ขอแค่เพียงมีเงิน
ในอดีตหลายพันปีที่ผ่านมา เรามักได้ยินคำว่า มีเงินถือว่ามีพระเจ้าคุ้มครองยัง
คงใช้ได้จนบัดนี้

จะเห็นได้ว่า นายต่างๆกลายเป็น...นางสาวแถมสวยกว่าสตรีแท้ๆอีกหลายหมื่นคน
ก็เพราะ...เงิน   และคนมีชื่อเสียงได้ง่ายดายอีกทางหนึ่งก็ด้วย..เงินอีกเช่นกัน
การเปิดบล็อก เปิดเวบ การไปเล่นฟรี หรือจะเปิดเองโดยยอมเสียค่าบริการต่างๆ
ในปัจจุบันนี้มีมากและง่ายยิ่งกว่า...การหาอากาศบริสุทธิ์

และเมื่อเราเปิดบล็อกหรือเปิดเวบแล้ว สิ่งต่อมาคือ...หาข้อมูลต่างๆมาเสนอ การหา
งานเขียนต่างๆมาประดับเวบหรือบล็อก ต่างก็มีเทคนิคและวิธีการไม่ต่างกันสักเท่าไร
ไม่ว่าจะเป็นการเขียนกลอน นิยาย พูดคุยเรื่องอาหารการกิน ตลอดจนไปถึงเรื่องเซ็กส์

ณ ที่นี้จะขอกล่าวแค่เรื่องเดียว คือการเขียนหนังสือ  เขียนไม่ว่าจะเป็นกลอน นิยาย หรือ
บทความต่างๆ  สิ่งหนึ่งที่มักมีมาให้เราท่านได้อ่านได้ถกเถียงไม่สิ้นสุดคือ....  โดนลอกงาน 

ก่อนอื่นเรามาดูกันก่อน การลอกนั้นถ้าพิจารณาดีๆ เราจะพบคนลอกงาน 2 จำพวก
1.	ลอกอย่างผู้รู้ดี
2.	ลอกอย่างผู้เพ้อ

การลอกอย่างผู้รู้เราจะเรียกอีกอย่างหนึ่งได้ว่า การเรียน เช่น เรียนลีลาการแต่งกลอน แต่งนิยาย
ดังเช่นตัวอย่างง่ายๆ ยามเราสวดมนต์ หรือ อ่านกลอนท่านสุนทรภู่ 

เราจะรู้ทันทีทุกครั้งที่ได้ยินคนสวดหรือเขียนคำสวดบทต่างๆ(กรณีเราเคยท่องจำมา) ว่าเขาท่องมนต์
อะไร มีประวัติความเป็นมาอย่างไร หรืออีกแนวหนึ่งและเราจะบอกได้ทันทีว่า คนๆนี้เขียนกลอนแนว
เดียวกับท่านสุนทรภู่หรือไม่ โดยจากการที่เราท่านเคยอ่านผลงานของท่านบรมครูมา  และผู้ลอกกลุ่มนี้ 
จะเป็นผู้ลอกที่เก่ง และเป็นผู้ลอกนักพัฒนา สามารถนำแนวการที่ เลียนตามไปพลิกแพลงเป็นการเขียน
 ฉบับของตน ได้ในที่สุด
 
ส่วนนักลอกผู้เพ้อนั้น เราท่านจะเห็นได้ง่ายอีกเช่นกัน  มักประกาศตนเป็นผู้มีความสามารถหลายอย่าง มักมี
ข่าวโคมลอยที่ เลิศหรู  โก้ ไปทุกอย่าง  อีกทั้งมีอัธยาศัยใจคอน่ารักเป็นที่สุด  มักมีเพื่อนพ้องล้อมหน้าล้อมหลัง
ล้อมเต็มบล็อก ล้อมเต็มเวบ ฯลฯ  มักมีผลงาน ...ดี..เด่น..ดัง..เหนือกว่าผู้คนทั่วไป ชนิด 7-11 (ตลอด24ชั่วโมง) 
ทว่า
ลองมีผู้ใดเข้าไปตั้งคำถามเกี่ยวกับบทความที่เขา...อ้างว่าเขียนเองสิ

จะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟทันที  ....ช้าก่อน อันนี้แค่นักลอกผู้เพ้อ  รุ่นอ่อนหัดเท่านั้นนะ   ถ้าเป็น นักลอกรุ่นเก่าเก๋ากึ๋กละก็  เขาจะมีลีลาการเล่าได้ไม่เลว....ทว่าอย่าเพิ่งแปลกใจหรือเชื่อว่าเขาเขียนงานเองจริง  การดูนักลอกกลุ่มนี้ไม่ยากเลย   เมื่อเราตั้งคำถามมากมายเข้าไปถึงจุดเน้นต่างๆของบทความ หรือบทกลอนเหล่านั้น ที่เขากล้าอ้างว่า.....เขียนมากับมือ  ท่านจงถามต่อไปเถิด  ถามต่อไปตามความจริงที่ท่านรู้ดี(กรณีท่านเป็นเจ้าของงานเขียนตัวจริง)   มินาน ท่านจะพบสิ่งมหัศจรรย์ทันตาเห็นเลย  คือบล็อกหรือเวบเหล่านั้นมีอันเป็นไปอย่างรวดเร็วกว่านักเล่นกล  .....และท่านอย่าเพิ่งภูมิใจนะที่จับคน....ลอกงานท่านได้  เพราะ 

นักลอกเหล่านี้เขาสามารถแปลงตัวเร็วกว่าจิ้งจก   เมื่อโดนจับได้ครั้งนี้  ครั้งหน้าเขามีประสบการณ์มากขึ้น รู้ทาง
หนีทีไล่ได้อีกขั้นหนึ่ง  ดังนั้นถ้าท่านบังเอิญต้องโคจรชีวิตไปหลงในกลุ่มคนลอกพวกนี้  สิ่งหนึ่งที่ต้องทำทันที คือ พยายามท่องเอาไว้ เราดังแล้ว  เพราะนักลอกพวกนี้ที่เขาเลือกลอกคน  เขาไม่ใช่สุ่มสี่สุ่มห้าลอก  เขาลอกอย่างมีลีลาลีลาศไม่น้อย  

เช่น  ดูว่าผู้ที่เขาคิดลอกงาน  มีงานหลายแนวไหม  มีงานเขียนเยอะไหม  งานของเขาสะดุดตาคนมากพอไหม เมื่อ
พิจารณาแล้ว  ก็มาคิดการลอก...ก่อนลอกเขาก็คิด  จะลอกทั้งดุ้น...หรือบางประโยคดีละ?

ตรงนี้แหละเราจะเห็นได้ชัดที่สุด   ถ้านักลอกคนนั้นยัง อ่อนหัด มักลอกไปทั้งดุ้น  ไม่มีการอ่านตรวจทาน ไม่มี
การเว้นวรรค  ไม่มีการตรวจว่า ผู้ที่เขาลอกไปนั้นเขียนผิดคำใดหรือเปล่า  และถ้าคนลอกผู้นั้น เคยโดนคนจับได้บ่อยๆแล้วละก็  วิธีการลอกจะต่างไปอีกแบบ  นั่นคือ

เขาจะทำการ  ผ่าบทความ โดยนำการเขียนของบุคคลที่ ๑ ไปต่อกิ่งกับ บุคคลที่๒ -๓-๔ ฯลฯ  และเติมคำแปลกๆที่เขาคิดว่า  มันเท่ห์มาก  ลงไปในบทความเหล่านั้นด้วย  เพื่อประกาศว่า... นี่แหละข้าฯเขียนเอง

อย่าเพิ่งทำหน้ากังวลจนเกินเหตุนะท่านผู้อ่าน....วิธีจับนักลอกเหล่านี้....มิได้ยากเลย!!!!

สังเกตสักนิด นักเขียนหนังสือเก่งจริงทุกท่าน  มักอ่านหนังสือ แตกความและแปลความได้ทันที  และสิ่งสำคัญ
นักเขียน ตัวจริงมักเว้นวรรค  แต่คนลอกงานกลุ่มนี้เขาไม่เว้นวรรคนะ...เพราะว่า  เว้นวรรคคนจะจับผิดได้ง่าย
ไงล่ะ   และที่เขาต้องเขียนติดยาวเหยียดให้เบียดกันเป็นปลากระป๋อง  เพราะเขาอ่านหนังสือ ข้ามและกระโดดไปมา เขาก็อปปี้ไปวางติดๆกัน เพื่อโชว์ว่า.... เด่นนะเนี๊ยะเขียนได้ยาวกว่ารถไฟแค่นั้นเอง...หาใช่อ่านเข้าใจไม่?

ทีนี้ก็มาถึงว่า ทำไมต้องลอกเราละ?   เขาเลือกเราเพราะเขาฝันถึงเราเสมอไงละท่าน!!! 

เพราะเขาตั้งความหวังอยากเป็นบุคคลผู้นั้นมากๆ  อยากมีชีวิตไปยืนแทนที่คนผู้นั้น  แต่พยายามแล้วพยายามเล่า
สมองและความคิดมันก็ยังทรยศไม่ยอมคล้อยตามให้เหมือน.... ในที่สุดทางเดียวที่จะไปสู่ความฝันของเขาได้ทันใจคือ............ลอกผลงานบุคคลผู้นั้นมันเสียเลย  และเมื่อลอกนานเข้าจึงมักตกเป็นทาสของ...
 เชื้อโรคแห่งความคิด......คิดว่าเขาคือบุคคลที่เขาลอกงานมานั่นเอง!!! 

ปล. วันนี้คุณเจอ....คนลอกงานคุณแล้วหรือยังคะ? ถ้าเจออย่ากลัวอย่าดีใจเกินไปนะ
เพราะว่า....พรุ่งนี้คุณอาจต้องเจอคนลอกอีกเป็น...เท่าตัวค่ะ				
26 มีนาคม 2551 14:54 น.

เหงาสีชมพู

โอเลี้ยง

1072622_3663956.jpg

ความเหงามีหลายแบบ แบบหนึ่งที่น้อยคนจะปฎิเสธมัน 
นั่นคือ ความเหงาสีชมพู 

เป็นเหงาที่เรามักแอบยิ้ม แอบหัวเราะกับกระจกเงาเรื่อย 
ไปถึงถังขยะที่ส่งกลิ่นรุนแรงที่หน้าบ้าน 

เป็นความเหงาที่เราไม่เต็มใจสักนิดที่จะให้เกิดขึ้น 
แต่เราก็ยินดีรับมันเข้ามาในอารมณ์..เมื่อพบประสบเข้า 

เหงาที่ได้คิดถึงเขา เหงาที่ได้มีเขาอยู่ในใจ 
เหงาที่ได้คอยเป็นห่วงหา เหงาที่ได้รู้ว่า..เราอยู่นอกสายตาเขา

เหงาที่เกิดขึ้นแบบนี้เป็นเหงาของคนแอบรัก 

แอบรัก แอบชอบเขา แอบเป็นห่วงเป็นใยกับตัวเขาตลอดเวลา 
แม้รู้ทั้งรู้ เขามีคนอื่นที่ไม่ใช่เราอยู่ในใจแล้ว 
ทว่า 

ความรู้สึกดีๆที่มีให้ ยังไม่ยอมปลดตะขออาลัยจากเขานะสิ 
เราล็อกความอาลัยที่เติมเต็มเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ห่วงใยฝาก 
ไว้ในตัวของเขา อย่างชนิดฝังแน่น ไม่คิดต้นทุน ดอกเบี้ย 
เวลาที่สูญเสียไป ขอแค่มีที่ให้เราระลึกถึงเขาสักนิดในโลก 
ของเราก็พอ โลกที่เหงาๆ เศร้าๆแต่หอมหวนไปด้วยความ 
ความสุขบนคมมีด 

เราล็อกเขาคนนั้นอยู่ในโลกเหงาๆของเราได้ 
แล้วเราก็อยากสละเวลาวันละเล็กละน้อยไปคิดถึงเขา 
คิดถึงทั้งที่รู้ว่า 
อด อดเสพรสความหอมหวานจากความรู้สึกดีๆจากตัวเขา 
แต่ก็..ไม่เป็นไรนะ เรายอม ยอมที่จะเหงา 
ถ้า 
ความเหงาที่ทรมานกักขังใจของเรา ทำให้เราพิศมัยอยาก 
อยู่ในโรคเหงาสะอย่าง เหงาที่ต้องทนเจ็บช้ำระกำอยู่ในบ่อ 
ความอ้างว้างเดียวดายที่หดหู่เศร้าสร้อยดีกว่า 
เพราะ 
อย่างน้อยเมื่อทุนอารมณ์ความหวังของเราต้องสลายลง 
กากความเหงายังช่วยให้เราเหงาได้อย่างเป็นสุข

โลกไม่ได้โสภาจนน่ามองไปทุกจุด แต่บางคนก็ยอม 
เป็นทาสของความทุกข์ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม แม้หัวใจจะ 
เต็มไปด้วยบาดแผลของความพ่ายแพ้ 
แต่ 
เป็นความพ่ายแพ้ที่ยินดี 
แค่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาสักนิด 
โลกเหงาของตัวเองก็มีค่าให้ดำรงต่อไป 

เหงาที่ไม่ต้องการเพื่อน เหงาที่ไม่ต้องการบุคคลที่สาม 
เหงาที่ไม่เคยยอมทอดทิ้ง คือเหงาของความรักฝ่ายเดียว 
เป็นเหงาสีชมพูที่น้อยคนพบเข้าจะยอมตัดใจเลิกเหงา 
				
19 มีนาคม 2551 14:40 น.

ความห่วงใยและคิดถึง

โอเลี้ยง

225.gif

การห่วงใครสักคนไม่ใช่ของแปลก แค่รับรู้ความทุกข์อย่างละเอียด ความเมตตาก็จะพุ่งเข้า
ใจเราได้ทันที แต่เมื่อเวลาเนิ่นนานไป อารมณ์เหล่านั้นก็จะจืดจางเลือน หายไปเอง 

แต่ถ้าวันใดที่เราเริ่มเอาใจเข้าไปผูกพันกับเขาคนนั้น เริ่มจากเล็กน้อยเลื่อนไปจนถึงขั้นทนไม่ได้เลยเมื่อแค่คิดว่า.. เขาอาจกำลังได้รับภัยจากอันตรายรอบด้าน. 

แค่คิด ความห่วงใยของเราก็พุ่งออกมามากมาย นั่นคือความรู้สึกที่ไม่ธรรมดาเสียแล้ว 

เริ่มมีอาการ เป็นห่วงที่ต้องการผูกพัน..เป็นความผูกพันที่อยากเฝ้ารับรู้.. เป็นการรับรู้ที่ทำให้เราเป็นสุข..ความสุขนั้นทำให้เราอยากคิดถึง.. .และเมื่อเราเริ่มคิดถึงเขา ความรู้สึกเหล่านั้นก็พุ่งออกมาเองโดยเราเริ่มไม่อาจยับยั้ง 


ความรู้สึกที่ใจเราให้เขาด้วยความเต็มใจ.. เคยคิดให้โดยไม่ต้องการเรียกร้องค่าตอบแทน แค่ได้คิดถึงบ้าง ส่งความห่วงใยนิด บอกฝันดีๆให้ชื่นใจ 

นั่นคือบันไดก้าวแรกที่เราเริ่ม "ผูก" 
ผูกเขาเป็นคนพิเศษสำหรับเรา. 

เมื่อผูกแล้ว ก็อยาก "พัน"เขาเข้าใกล้เราทุกที 
เราจะเริ่มเห็นแก่ตัว 
อยากให้เขา "ผูก" เราบ้าง และต้องแน่นหนากว่าเพื่อนทั่วๆไป 

ความกังวลจึงเริ่มแตกหน่อผลิใบ 
ความไม่มั่นใจเข้ามาเป็นปุ๋ย 
ความหวาดกลัวและระแวงจากเพื่อนคนอื่นรอบตัวเขา 
เป็นน้ำเสริมชีวิตความทรมานใจของเรา 

เพาะผลออกมาเป็น... 
ความห่วงใยที่ปนความเห็นแก่ตัวแทรกซ้อนในอารมณ์ 
จนเริ่มพาลเขา โดยเราลืมนึกไปถึงความหลังครั้งก่อนเสียแล้ว 
กว่าเราจะมาผูกพันใจไว้กับเขาได้ 
เราเคยยอมรับทุกอย่างที่ประกอบขึ้นมาเป็นตัวเขาไม่ใช่หรือ? 

เราเคยพิศมัยความ "ต่าง" ของเขาจนยอม "พันตัวเองเข้าหา" 


แล้วในเมื่อเรามั่นใจกับความชอบแบบตัวเขาตอนครั้งแรกที่คิด "ผูก" 
จะมาคิดเปลี่ยนเขาให้เหมือนที่เราวาดใหม่อีกทำไม? 

เกิดถ้าเราทำได้ขึ้นมา เขาต้องจมอยู่ในฝันแบบที่เราวาดจนผิดเพี้ยนจากชีวิตเดิม 
เราจะพอใจตลอดไปแน่หรือ? 
ใจเราจะตัดขาดจากความทุกข์ทรมานแน่นะ 
ใช่ เราอาจหลอกทุกคนได้ แต่ 

เรากล้ายอมรับกับตัวเองตรงๆไหม?..ทุกวันที่เราส่องกระจกดวงตาคู่นั้น..บอกความจริงให้เรารับรู้เสมอ..มิใช่หรือ? 

เคยคิดไหม บางครั้ง ที่เรายืนยันลบความรู้สึกที่ "เฝ้าห่วงใยและคิดถึง" 
แต่ความเจ็บปวดของอารมณ์ยังเยาะเย้ยเราที่หน้ากระจก บอกว่าเรา พ่ายแพ้ 
แล้วแบบนี้เราจะเฝ้าหลอกตัวเองอีกทำไมว่า "เราลบแล้ว" 

ลองมามองอีกทางดีไหมนั่นคือ..ให้.. ให้ที่มาจากความเมตตาในใจเรา เรามาเป็น..ทาส...ความห่วงใยและคิดถึงอย่างเป็นสุข ให้ความทุรนทุรายปวดร้าวในทะเลแห่งความเดียวดาย กลายเป็นยาหอมหาใช่ยาพิษ ในวันที่เราไม่อาจตัดขาดความห่วงและคิดถึงกันดีกว่า 

ความเมตตาที่มาจากใจที่ไม่ต้องการเรียกร้อง..ไม่โทษว่าแม้อีกฝ่ายอาจมอบตอบมา เพียงน้อยนิดแถมไม่เคยตรงต่อเวลาเลยสักครั้ง....เราก็จะเป็น...ทาส...ความห่วงใยและความคิดถึงได้อย่างเป็นสุขและเต็มใจ.. 


.และเมื่อนั้นหนทางข้างหน้าที่เราคิด "ผูกพัน"เขาต่อจนสุดปลายทาง แม้อาจพบมรสุมของหนามชีวิต จนกายบอบช้ำเพียงไร ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าก็ยัง แทรกความหอมหวานอุ่นนิดๆให้ใจยอมเป็นทาสไม่มีอารมณ์แปรป่วน เหมือน ยามเราต้องการเอาชนะ..เกมในคอมพิวเตอร์ ที่ซับซ้อนและยุ่งยาก แต่เราก็ยังตื่นเต้นยอมสละเวลาทนความเมื่อยล้านั่งนานนับวันคืนด้วยความเป็นสุข				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟโอเลี้ยง
Lovings  โอเลี้ยง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟโอเลี้ยง
Lovings  โอเลี้ยง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟโอเลี้ยง
Lovings  โอเลี้ยง เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงโอเลี้ยง