16 มกราคม 2551 00:23 น.
โอเลี้ยง
ดึกคืนหนึ่งคืนนั้นยากเห็นหน้า
ทั่วฟ้ามัวฟ้าหม่นพาใจหมอง
ฉันนั่งนึกนั่งนิ่งไร้คะนอง
ปากอ่านท่องอ่านทวนพลางมองทาง
ฟ้าคล้ำมืดคล้ำมัวสีหมึกหม่น
ใจกระเสือกกระสนวุ่นมิสร่าง
กลอนที่ร่ายที่เรียงเริ่มเลือนราง
ใจเริ่มจืดเริ่มจางเหมือนจ่อมจม
สายลมเย็นลมเยือกผิวยิ่งเยียบ
ยากเทียบบ่งเทียบบอกลมที่บ่ม
เงาประชิดประชันเข้ามาชม
ฉันแทบล้มแทบหลับทรุดข้างรั้ว
เงาที่เกยที่กรายมายืนก๋า
พูดด้วยหาด้วยห่วงแล้วลูบหัว
หนูนั่งรอนั่งรนสั่นระรัว
หรือหวั่นกลัวหวั่นเกรงมีใครกราย
ลุงมาตามมาเตือนไปขึ้นตึก
ด้วยดึกนักดึกหนาอย่าเบื่อหน่าย
ไฟก็วูบก็วาบดูวุ่นวาย
อาจมีคนมีคล้ายคนร้ายคอย
ลุงเดินคลอเดินเคียงขนานข้าง
ฉันเดินย่างเดินหยิบเศษเงินย่อย
ให้ด้วยคิดด้วยคุณที่ลุงคอย
ยามเหม่อลอยเหม่อลืมเลือนเวลา
16 มกราคม 2551 00:14 น.
โอเลี้ยง
ฉันคือเงาที่เปล่าเปลี่ยวและเศร้าโศก
ฉันคือเงาผู้ไร้โชควาสนา
ฉันคือเงาผู้พลาดหวังเคว้งคว้างมา
ฉันคือเงาแสวงหากับรวงรัง
ฉันคือเงาเที่ยวซุกซ่อนบทบันทึก
ฉันคือเงานอนหลับลึกของความหลัง
ฉันคือเงาผู้บ้าใบ้ไร้ภวังค์
ฉันคือเงาท่ามชิงชังของเวลา
ฉันคือเงาไร้ที่พัก ณ ที่นี่
ฉันคือเงาต้องหลบลี้อยู่ใต้หล้า
ฉันคือเงาไม่อาจฝันสร้างชีวา
ฉันคือเงาเพลิงอิจฉาเปี่ยมราคี
ฉันคือเงาที่เพียงพบฝันสลาย
ฉันคือเงาวนวุ่นวายกับวิถี
ฉันคือเงาลางเลอะเลือนบนนที
ฉันคือเงาหมดแสงสีหลอนหลอกตา
ฉันคือเงาลอยละลิ่วไร้ซึ่งหลัก
ฉันคือเงาไร้เพิงพักให้แวะหา
ฉันคือเงาร้องโหยหวนรวนอุรา
ฉันคือเงาถูกสรรค์มาให้ย่ำยี
ฉันคือเงาถูกกักขังห้ามวาดฝัน
ฉันคือเงาห้ามผูกพันวาดแสงสี
ฉันคือเงาห้ามเพาะปลูกลานวจี
ฉันคือเงามอดมณีท่ามตะเกียง
ฉันคือเงาสิ้นศักดิ์ศรีให้เชือดเฉือน
ฉันคือเงาฟ้าไร้เดือนจนหมดเกลี้ยง
ฉันคือเงาต้องประหารที่รอเรียง
ฉันคือเงาลมลอยเฉียงต้องปลิดปลง
ฉันคือเงาแสงตะวันยามมืดค่ำ
ฉันคือเงาฉาบสีดำไม่ประสงค์
ฉันคือเงาซ่อนรังเกียจอย่างเจาะจง
ฉันคือเงาเส้นนอกวงปฐพี
ฉันคือเงาถูกบังคับให้ทับสิทธิ์
ฉันคือเงาต้องรอนริบคิดภาษี
ฉันคือเงาต้องเสือกไสลอยลิบลี้
ฉันคือเงาปลดวจีปลดราคา
ฉันคือเงาเผลอผันผ่านไม่อาจหลบ
ฉันคือเงาห้ามพานพบประสบหน้า
ฉันคือเงาถ่วงเวลาให้เชื่องช้า
ฉันคือเงาควรไล่ล่าสาดอารมณ์
ฉันคือเงานอกเวหาหลากภูผา
ฉันคือเงาแสนระอาต้องถุยถ่ม
ฉันคือเงาสิ้นศรัทธาไม่เชยชม
ฉันคือเงาต้องจ่อมจมตลอดกาล
ฉันคือเงาถูกเสริมสร้างมารับผิด
ฉันคือเงาคอยสะกิดเจ็บผสาน
ฉันคือเงาที่ถูกทิ้งเพราะหมดลาน
ฉันคือเงาห้ามเอ่ยขานยามคร่ำครวญ
ฉันคือเงาบนสายโซ่ตามแต่ถือ
ฉันคือเงาตัวกระบือขาดเสียงสรวล
ฉันคือเงาต้องดึงรื้อมาล่ามตรวน
ฉันคือเงาฝาดอบอวลซ่านราตรี
ฉันคือเงาไร้ภาษายากถวิล
ฉันคือเงาไร้กรุ่นกลิ่นให้สุขศรี
ฉันคือเงาถูกปลูกฝังนอกเวที
ฉันคือเงาไร้วลีมาเปล่งเรือง
ฉันคือเงาแสนเหนื่อยล้าปลดความสุข
ฉันคือเงาจุความทุกข์ผู้ปราชญ์เปรื่อง
ฉันคือเงาผู้ประสานโรคขุ่นเคือง
ฉันคือเงาปลดประเทืองที่ยืนรอ
ฉันคือเงาผิดคนเดียวตลอดชาติ
ฉันคือเงาไม่สะอาดที่เหลือหลอ
ฉันคือเงาอเวจีคิดนั่งวอ
ฉันคือเงาถูกชะลอรอปัดพ้น
ฉันคือเงาต้องคิดจบแต่หมองเศร้า
ฉันคือเงาทึบสีเทาไร้เหตุผล
ฉันคือเงาขวางเทพไท้ยามเยี่ยมยล
ฉันคือเงาสาบกมลบนโลกนี้
ฉันคือเงาภูตผีร้ายเฝ้ากราบไหว้
ฉันคือเงาสูงยิ่งใหญ่กว่ายักษี
ฉันคือเงาพรากอารมณ์ผลาญชีวี
ฉันคือเงาสอดเสียดสีบนผิวกาย
ฉันคือเงาน้ำข้นคลั่กชวนสลบ
ฉันคือเงายามกระทบยากถอนถ่าย
ฉันคือเงานิยามชั่วพาวุ่นวาย
ฉันคือเงาที่วาดว่ายอยากหลีกพ้น
ฉันคือเงาไม่รักดีให้ต้องผลัก
ฉันคือเงาขาดพิทักษ์วิ่งสับสน
ฉันคือเงาเจ็บรอนร้อนต้องอดทน
ฉันคือเงาห้ามบ่นบนลานกวี
15 มกราคม 2551 17:24 น.
โอเลี้ยง
เวิ้งเวิ้งว่างเวิ้งวาง...วุ่นไหวไหว
หม่นหม่นไหม้...หม่นเหม่อ...จันทร์หมองหมอง
คล้ายคล้ายรอน...คล้ายรุ่ม...ใจร้องร้อง
เหม่อเหม่อท่อง...เหม่อเที่ยว...บั่นทอนทอน
นั่งนั่งวุ่น...นั่งไหว...ห่วงหวามหวาม
ลามลามรุม...ลามรัก...คอยหลอนหลอน
แอบแอบคิด...แอบครวญ...ใจคลอนคลอน
จิตจิตอ่อน...จิตอ้อน...อ่อนเอียงเอียง
วุ่นวุ่นคิด...วุ่นเคว้ง...คว้างขวางขวาง
กรุ่นกรุ่นกว้าง...กรุ่นกลิ่น...เกินเกี่ยงเกี่ยง
ใจใจไหม้...ใจหมาย...ใครเมียงเมียง
คิดคิดเคียง...คิดคลอ...คนคอยคอย
รอนรอนหยัด...รอนยั้ง...ใจหยันหยัน
กดกดกลั้น...กดกลืน...เศร้ากร่อยกร่อย
ทั้งทั้งทุกข์...ทั้งทน...ช้ำทอยทอย
ใจใจจ้อย...ใจจม...ขมจางจาง
นั่งนั่งนึก...นั่งนาน...ทั้งหนาวหนาว
เริ่มเริ่มหาว...เริ่มห่วง...คนห่างห่าง
คิดคิดพร่ำ...คิดเพ้อ...เหม่อพลางพลาง
คล้ายคล้ายค้าง...คล้ายหลับ...คนเคียงเคียง
15 มกราคม 2551 02:21 น.
โอเลี้ยง
จะเก็บเธอเก็บซ่อนไว้ในฝัน
ดั่งตะวันตะลอนเก็บซ่อนแสง
ผูกห่วงใยห่วงหาระวังระแวง
เติมต่อแต่งต่อแต้มแซมคะนึง
ปูลานฝันลานใฝ่ด้วยไม้หอม
กักล้อมรอบล้อมรายด้วยคิดถึง
วาดที่ว่างที่วางคนซาบซึ้ง
วาดมุมหนึ่งมุมที่มีเพียงเธอ
ยามราตรีรารอนตะวันฉาย
อย่าวุ่นวายวุ่นว้างเพ้อเหม่อเก้อ
จะแซมเทียนแซมไฟปลอบละเมอ
จะคลอเคียงคลอเธอด้วยเพลงพลิ้ว
อย่าวุ่นหวั่นวุ่นไหวว่าตื่นสาย
จะคอยกรายคอยปลุกรวดเร็วลิ่ว
ด้วยไม้หอมไม้กรุ่นตามลมปลิว
ให้ใจวาบใจหวิวหวนอาบไอ
เธอจะสุขจะอุ่นบนฝันฉัน
จะสรรค์สร้างสรรค์สุขซ่อนสว่างไสว
ให้ความฝันความใฝ่มิหมดไฟ
ฝันร่ำไรร่ำเรียกมิลับเลือน
14 มกราคม 2551 01:41 น.
โอเลี้ยง
๑
แค่สามเดือนอิสระก็มาใหม่
พาสาวสวยได้พบชายอีกหน
เธอตั้งท้องมีลูกเป็นแม่คน
เป็นเหตุผลพ้นโทษก่อนเวลา
เพราะไวพจน์เป็นห่วงกลัวลูกแย่
ด้วยตัวแม่ถูกขังโศกนักหนา
ไม่กินข้าววกินปลาหลายวันมา
เขาจำรามืออ่อนข้อยอมให้เธอ
๒
ออกจากคุกสองคนใช่เคียงคู่
แค่พธูมีสัญญามาเสนอ
ให้ไวพจน์เป็นบิดาลูกของเธอ
เป็นข้อเสนอมีกำหนดเพียงสามปี
เมื่อลูกโตเข้าเรียนต่างพร้อมหย่า
ในสัญญามีคำสั่งแค่หน้าที่
ให้เป็นพ่อสามล้านในสามปี
แค่ทุกปีมาเยี่ยมตลอดไป
๓
อย่ามองว่าเพราะเงินเขาจึงเปลี่ยน
เพราะเขาเพียรห่างเธอคอยผลักไส
ตั้งแต่ต้นตั้งแต่เลิกกันไป
มาอ่อนให้เพราะในใจรักลูกจริง
กลัวทารกอาจตายอยู่ในคุก
ด้วยแม่ทุกข์เหมือนบ้าราวผีสิง
เฝ้าคร่ำครวญทุบตนถีบข้าวทิ้ง
ไม่หยุดนิ่งไม่กินหลายราตรี
๔
ยิ่งมีท้องอารมณ์เพ้อพลุกพล่าน
เขาสงสารลูกน้อยมิอาจหนี
อาจต้องตายขาดตนหมดชีวี
เพราะแม่อัปรีย์ทุบท้องร้องครวญคราง
จำยกโทษให้ปรับเงินแทนต้องขัง
ให้เธอนั้นมีหวังตามสรรค์สร้าง
ได้ตัวเขาเป็นสามีตามคิดวาง
เป็นคู่นางนานแค่เพียงสามปี
เพื่อลูกน้อยได้เกิดมาดูโลก
ได้โชคดีเป็นคนมีวิถี
ไม่ต้องสิ้นเพราะอารมณ์แม่อัปรีย์
ใช่ฤดีมีรักหลงอาลัย
.......จบสมบูรณ์........................