11 พฤษภาคม 2547 23:08 น.
โลกแห่งความฝัน
ชีวิตคนเราต้องเลือกและแลกกับบางสิ่ง
............เราเป็นผู้กำหนดโชคชะตาเองใช่ไหม
จะมีใครไหนกันเล่า.......
ที่จะรู้เส้นทางของชีวิตที่เรากำลังก้าวเดิน
คุณเคยบ้างไหม......
คุณเคยเดินทางไปอย่างไร้จุดหมายบ้างไหม
โดยที่ไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าจะดีหรือร้าย......
ฉันก็เหมือนคนหลงทางคนหนึ่ง
ที่ติดอยู่ในเขาวงกตแห่งชีวิต จนมาถึงในช่วงจังหวะหนึ่ง......
ที่ชีวิตต้องพบกันทางแยก
ฉันต้องเลือกแล้ว........
ถ้าเป็นเธอ.....เธอจะเลือกทางเรียบหรือทางขรุขระหละ...?
มีปีศาจน้อยตัวหนึ่งมาบอกกับเธอว่า.......
ทางนั้นเป็นทางแห่งความตาย.......ใครไปต้องตาย......
ไม่เพียงเท่านี้ยังมีแม่มดที่คอยกีดขว้างทุกวิถีทางที่จะไม่ให้เธอได้ก้าวไปถึงมัน
หรือเธอจะเลือกทางที่เรียบดีแหละ......
ชีวิตเธอเป็นไปอย่างเรียบง่าย......
ไม่มีอะไรที่จะท้าทายชีวิตของเธอเลย
หากสมมุติกว่าฉันเลือกไปทางที่เรียบง่ายแล้วจุดสรุปคือคำว่า......
ว่างเปล่าหละ.......
แต่ถ้าฉันเลือกไปทางที่ขรุขระแล้วมีแม่มดมีแต่มารพจญอย่างที่เค้าบอกกันแหละ.....
...............................................
จงเอาชนะความกลัว.......สิ.....แล้วได้แต่ปลอบใจตัวเอง........
9 พฤษภาคม 2547 21:13 น.
โลกแห่งความฝัน
ฉันไม่เคยรู้ความหมายของคำว่า"แฟน" เลย......
ทั้ง..ฉันพยายามค้นหามันมาตลอด......มันไม่มีในตำราเรียนหรือพจนานุกรมเลย
ความรักเป็นเรื่องที่เข้าใจยากเสียจริง.........
ความรักคืออะไรอะหรือ.?.......
ฉันคงไม่ต้องการคำนี่อีกแล้วหละ.....
เพราะมันชินชาเลยเกินกลับความรู้สึกที่ได้รับมัน
ขอได้ไหมแค่การแสดงออก ว่าเธอห่วงใยฉัน เธอคิดถึงฉัน ......แค่นั้น
ฉันไม่รู้ว่าเธอจะเป็นคนเจ้าชู้หรือคนหลอกลวง
แต่ฉันก็ทำตามหน้าที่อย่างที่เพื่อนเป็น
คำว่าเพื่อนมีความหมายมากที่สุดแล้วสำหรับชีวิตฉัน
ขอบใจนะที่บอกความจริงในวันนั้นที่ฉันควรจะรู้
ฉันก็คงเป็นได้แค่เพื่อนที่ดีกับเธอ
ฉันยังรอเธออยู่ที่เดิมนะ
รออยู่ทุกวัน............ฉันไม่ได้เป็นคนใจร้ายอย่างที่เธอคิดหรอก
เพียงแต่ฉันไม่แน่ใจหัวใจตัวเอง
เพื่อนรักของฉัน.......
ฉันรอเธอกลับมามีเราตรงนี้.......รอเธออยู่ที่เดิม
รอวันที่เธอกลับมา......คอยเป็นกำลังใจให้แก่กัน
27 มกราคม 2547 17:51 น.
โลกแห่งความฝัน
**@**ยามรุ่งอรุณตะวันทอแสงเปล่งสีเป็นประกาย นกกาเหว่าแว่วบรรเลงเพลงแผ่วเสียงกังวานหวาน มีกระต่าย ตัวหนึ่งกระโดดโลดเต้น กลางทุ่งหญ้าเขียวพลิ้วไหวคล้ายระลอกคลื่นแห่งระบำยอดหญ้า หมอกควันลอยละเลียบเหนือผืนแผ่นปฐพี พลางม้วนตัวปลิวพลิ้วไหวไปตามสายลมโชยอ่อน
**@**ยามเย็นแสงสีหมากสุกของแดดอ่อนสาดสะท้อนพร่างอาบไล้ชโลมหล้าทั่ว
ไพรพฤกษ์ คละครึ้ม ทุ่งหญ้าที่พลิ้วปลิวสบัดพัดสายลมต่างเงียบสงัด พร้อมกับเสียงนกกาเหว่าก็พลันเงียบ คงเหลือเพียงเสียงกระแสลมที่กรรโชก
**@** พลบค่ำแสงจันทร์เต็มดวง นวลละอองตาวางกระจ่าง ท่ามกลาง หมู่เมฆในม่านของรัตติกาล ราวแผ่นผืนกำมะหยี่ สีดำ กากเพชรแพรวพราว วาววับพลันประดับเรียงราย ณ กลางกระดานผืนฟ้า เบื้องล่างแลเห็นภาพสะท้อนของดวงจันทรา อยู่กลางแอ่งน้ำที่กำเนิดด้วยรอยเท้าสัตว์ กระต่ายน้อยพานพบเงาจันทร์ ก็พลันอยากครอบครอง พรำรำพันว่า " ถ้าเราวิดน้ำจากแอ่งน้ำจนหมด คงได้ครองจันทราสมใจหมาย " กระต่ายน้อยจึงวิดน้ำขึ้นมาจากแอ่งด้วยความพยายาม วันแล้ว- วันเล่า ในที่สุดน้ำในแอ่งน้ำก็เหือดแห้งหายไปหมด พร้อมทั้งเงาจันทร์ที่หายไป กระต่ายน้อยตกใจที่ไม่ได้ครองพระจันทร์ จึงตรอมใจตาย ก่อนลมหายใจจะดับสิ้น จึงอธิษฐานถึงดวงจันทร์ ว่าอยากครอบครอง ด้วยจิตตั้งมั่นได้ส่งถึงเทพธิดา ผู้อาศัยอยู่บนดวงจันทร์
***เทพธิดาจึงเห็นใจ ในตัวกระต่ายผู้โง่งม จึงได้นำกระต่ายน้อยไปจำจอง ณ กรงจันทรา...........
****เมื่อส่องกระจก เงาจะสะท้อนมาถึงตัวเรา ผู้ที่หลงใหลในเงาที่ไม่ใช่ของตัว ย่อมเป็นเฉกเช่น กระต่ายที่หลงใหลในเงาจันทร์