จะมีใครเข้าใจบ้างมั๊ยน๊อว่าคนไซส์มินิอย่างฉันต้องพบเจออุปสรรคใดบ้างในแต่ละวัน ...สมัยเด็ก... แม่จะซื้อเสื้อผ้าเผื่อโตเสมอ...น้อยครั้งที่จะได้ใส่เสื้อผ้าพอดีตัวเท่าที่จำความได้ เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่าวัดความสูงแต่ละเดือนเขยิบขึ้นทีละมิลลิเมตร แล้วแบบนี้เมื่อไหร่จะได้เขยิบไปอยู่โซนหลังห้องได้ล่ะเนี่ย ^^" ...สมัยเรียนมัธยมต้น... คุณครูจะให้เข้าแถวเรียงจากคนตัวเล็กไปหาคนตัวสูง ฉันต้องได้อยู่โซนหน้าทุกทีสิน่าเวลาเคารพธงชาติต้องร้องเพลงดังๆ เพราะมีสายตาอันคมกริบของบรรดาคุณครูทั้งหลายเพ่งเล็งอยู่ หลังจากเคารพธงชาติจบสวดมนต์เสร็จก็จะมีการยืนทำสมาธิหนึ่งนาที ท่ามกลางแดดอันร้อนระอุ กลางสนามหญ้าที่แห้งกรอบ เหงื่อไหลหยดซิกๆก็ห้ามกระดุ๊กกระดิ๊กเพราะถือว่าไม่สำรวม ในขณะที่ความเงียบปกคลุมรอบตัว หูของฉันก็แว่วได้ยินเสียงคุยจุ๊กจิ๊กๆของเพื่อนตัวโย่งที่ยืนอยู่ท้ายแถว แอบคิดในใจทำไมไม่สลับโซนข้างหลังมาอยู่โซนข้างหน้ามั่งน๊อเนี่ย แบ่งแยกชัดๆ....ความยุติธรรมอยู่ที่ไหน...ฮือออออ.... พอขึ้นมัธยมปลายเป็นรุ่นพี่แล้วคุณครูก็ไม่ค่อยเคร่งครัดเท่าไหร่ สภาพของการยืนเข้าแถวก็จะไม่ตายตัว ใครใคร่ยืนตรงไหนยืน ไม่ต้องห่วงเลยโอกาสที่จะได้สัมผัสบรรยากาศท้ายแถวเป็นเช่นไรฉันไม่รอช้าจัดแจงเอาตัวเองไปอยู่โซนต้องห้ามเสร็จสรรพ... โอ้โฮ....มันดีอย่างนี้นี่เอง สมัยก่อนที่อยู่โซนหน้า ในขณะที่พวกไซส์มินิอย่างฉันต้องตะเบ็งเสียงกันตัวโก่ง แต่พวกตัวโย่งที่อยู่โซนหลังปากไม่ขยับกันเลยสักนิด ถึงว่าพวกแนวหน้าอย่างเราถึงต้องเสียพลังงานทุกเช้า...ชิๆ... กว่าจะได้รับอิสระก็ใกล้จบเสียแระ....เฮ่อ....ประชาธิปไตยอยู่ที่ไหน... น่าจะมีการทำประชามติโหวตว่าควรจัดแถวหน้าเสาธงตอนเช้าอย่างไรรับรองพวกเราชนะขาดลอย ตอนม.๕ เลือกเรียนชมรมดนตรีไทยทางโรงเรียนจะมีเครื่องดนตรีให้ยืมไปฝึกซ้อมที่บ้านได้ ฉันเล่นซออู้ ซอด้วง สะล้อ มาตลอด แต่จะมีใครสักคนรู้ไหมว่าความจริงแล้วฉันอยากเล่นขิมมากๆ แต่หมดปัญญาหอบกลับบ้านไหนจะหอบมาโรงเรียนอีก เพราะสมัยเรียนต้องเดินไปโรงเรียนหลายกิโลอยู่ เพื่อนที่เขาอยู่ไกลกว่าเราเขาก็จะนั่งรถสองแถว ไม่ก็ขับมอเตอร์ไซค์มา ขิม เป็นเครื่องดนตรีที่ถูกเพ่งเล็งมีแต่คนอยากเล่นจนคุณครูต้องมาช่วยตัดสินใจให้ เวลาที่อำเภอมีงานคุณครูก็จะเลือกคนไปฟ้อนเล็บ พวกผู้หญิงถามเรียงตัวได้เลยไม่มีใครอยากทำ เพราะอากาศร้อน ซ้อมก็นาน แต่งหน้าทาปากกินอาหารก็ลำบาก พวกเราตัวเล็กๆไซส์มินิอยู่โซนหน้าไม่กล้าสบตาคุณครู ก้มหน้างุดๆ จนคุณครูแอบแซวบ่อยๆว่า"ไม่ต้องก้มครูก็แทบจะมองไม่เห็นอยู่แล้ว" ...บนรถเมล์... พอก้าวขาขึ้นปั๊บ พี่กระเป๋ารถเมล์ก็พูดประโยคเดิมราวกับแผ่นเสียงตกร่องปุ๊บว่า "ชิดในหน่อยเพ่ชิดใน" ตอนแรกกะจะเกาะเสาตรงประตูเป็นหลัก ก็จำต้องขยับเข้าไปข้างในที่เหล่าบรรดาพนักเก้าอี้ล้วนแต่มีเจ้าของจับจองไว้แล้วแทบทั้งสิ้น เส้นทางที่ฉันเดินทางประจำ ณ ช่วงเวลาเร่งรีบของผู้คนที่ต่างมุ่งหน้าเข้าเมืองกรุงก็ดูจะอีรุงตุงนังเสียเหลือเกิน จะเอื้อมมือโหนราวรถเมล์ก็ท่าทางจะต้องห้อยต้องแต่งเป็นแน่ อย่ากระนั้นเลยคุณผู้ชายใจดีทั้งหลายไหนๆก็ใส่เข็มขัดมาแล้วขอยืมใช้เป็นตัวช่วยหน่อยเหอะนะคะ คิดได้ดังนั้นก็ใจกล้าหน้าด้านเข้าไปสะกิดพี่ผู้ชายที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เลือกใบหน้าที่ดูแล้วใจดีมีเมตตาซะหน่อยว่า "พี่ขาขอจับหูกางเกงหน่อยนะคะ" ขอขอบคุณพี่ผู้ชายที่เคยช่วยเหลือให้การอนุเคราะห์เสียสละความไม่สบายส่วนตัวให้ผู้หญิงตัวเล็กๆไซส์มินิอย่างฉันได้มีที่จับชั่วคราว เรื่องที่นั่งอย่าได้ฝันถึง เพราะเราไม่ได้อยู่ต้นสายมิเคยเข้าใกล้คำว่าคล้ายจะได้นั่งเลยสักกะติ๊ด เหลือบเห็นคนที่เขาได้นั่งแถมยังสัปหงกน้ำลายไหลยืดหยดติ๋งๆแล้ว ก็มองด้วยความอิจฉานิดๆ แต่ก็คิดในแง่ดีว่ายืนอย่างสิงห์ดีกว่า...(ขาสิงห์ ...อิอิ...อย่าได้แคร์) จำได้ว่าตอนเข้ามาเรียนกรุงเทพฯใหม่ๆก็ย้ายมาอยู่ชานเมือง เส้นทางก็ไม่คุ้นแถมสิ่งที่กลัวที่สุดในการเข้ามาเมืองกรุงก็คือ"การนั่งรถเมล์" วันแรกที่นั่งรถเมล์ก็เป็นอย่างที่เล่าข้างต้น(อย่าให้เล่าซ้ำ เหอๆ) ขาไปไม่เท่าไหร่เพราะปลายทางสุดสายพอดี แต่ขากลับนี่สิพอขึ้นรถก็มีสภาพเหมือนปลากระป๋องโดนอัด จะมีใครสังเกตุบ้างมั๊ยว่ามีปลาซิวปลาสร้อยตัวเล็กๆโดนอัดก๊อปปี้อยู่ตรงกลางรถเมล์ ไม่มีโอกาสได้รับลมที่พัดมาทางหน้าต่าง หรือแม้กระทั่งจะมองวิวสองข้างทางก็ไม่เห็น จากสายตาคนไซส์มินิอย่างฉันถ้าไม่เจอบั้นเอวของชายหนุ่ม ก็เจอแผ่นหลังของหญิงสาว ปัญหาอยู่ตรงที่นอกจากจะร้อนตับแล่บจนแทบจะเป็นลมแล้วล่ะก็ ยังต้องคอยชะเง้อคอว่าถึงป้ายไหนแล้วหว่า อีกนานไหมกว่าจะถึงป้ายหน้าหมู่บ้านเรา มีอยู่ครั้งหนึ่งยืนเพลิน เลยไปถึงท่าน้ำปากเกร็ดสุดสายพอดี หลังๆฉลาดขึ้นมาหน่อยก็เอ่ยปากบอกพี่ที่นั่งข้างหน้าต่างหรือคนที่ยืนริมว่า" พี่คะถ้าใกล้ถึงป้าย...ตุ๊ดๆ...(เซ็นเซอร์) ช่วยบอกหน่อยนะคะ" ต้องขอบคุณคนแปลกหน้าทุกท่านที่แสนใจดีเหล่านั้นมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ.. ...ณ ห้างใจกลางกรุง... ...ในซุปเปอร์มาร์เก็ต... ตอนไปซื้อของ แต่ของที่เราต้องการไม่รู้ใครดั๊นไปจัดวางไว้อยู่ชั้นบนสุด แถมของโซนหน้าก็ถูกหยิบไปหมดแล้ว เห็นอยู่ลางๆว่ายังมีของเหลืออยู่ข้างในแต่ไม่สามารถใช้วิธีธรรมดาได้ อย่างเราต้องอาศัยวิชาตัวเบา เขย่งปลายเท้ายืดคอยืดแขนทำท่าปูไต่จนตระคริวเกือบจะกินก็ยังเอื้อมไม่ถึงเป้าหมาย เหลียวซ้ายแลขวาหาตัวช่วย ชั่วโมงนั้นแค่มีใครสักคนที่ตัวสูงกว่าเราเดินผ่านมา แม้จะสูงกว่าแค่ไม่กี่เซ็นต์ก็ดีใจราวกับว่าได้เจอเนื้อคู่ที่รอคอยมาแสนนาน ขอขอบคุณพี่ขายาวทุกท่านที่ช่วยเอื้อเฟื้อแก่คนขาสั้นตาดำๆ ...แผนกเสื้อผ้า... อยากได้ยีนส์สักตัวต้องตรงเข้าไปแผนกเสื้อผ้าเด็กโต พนักงานขายถามด้วยความหวังดีว่า "น้องอายุเท่าไหร่คะ" เดี๊ยะๆ แต่ฉันก็ตอบไปด้วยความใจเย็นว่าซื้อให้หลานอ่ะค่ะ"น้องเค้าหุ่นประมาณนี้อ่ะค่ะใส่ไซส์อะไร" ห้องลองมีไว้ทำไม.....(ไม่ลอง)....ฮ่า....กลับไปลองที่บ้านก็ได้เพราะสอบถามแล้ว ถ้าใส่ไม่ได้รับเปลี่ยนคืน ร้านไหนขึ้นป้ายซื้อแล้วไม่รับเปลี่ยนคืนอย่าได้หวังว่าจะย่างกรายเท้าอันเล็กๆคู่นี้เข้าไปสำรวจ เคยซื้อยีนส์ผู้ใหญ่มาก็ต้องลำบากไปหาร้านตัดขาวุ่นวายแถมเสียดายผ้าส่วนเเกินอีกต่างหาก เลยเอามาเย็บเป็นกระโปรงยีนส์ให้ตุ๊กตาหมีใส่ เห็นแล้วชีช้ำจริงๆอะไรจะพอดีขนาดนั้นยะ ยิ่งช่วงที่เขาฮิตกางเกงขาม้ากันไซส์มินิอย่างฉันได้แต่มองตาปริบๆ เพราะเคยซื้อมาลองแต่ก็ต้องไปตัดขาแถมพอตัดแล้วไม่มีสภาพขาม้าเหลือให้เห็นดูไปดูมา"ขาลา"ชัดๆ... พระเจ้าส่งฉันมาเกิดไฉนให้ความสูงแต่ปางก่อนระเหิดออกไปกับอากาศด้วยเนี่ย ท้ายที่สุดนี้ขอบคุณทุกท่านที่กรุณาเสียสละเวลาเข้ามาอ่านความในใจไซส์มินิค่ะ และขอบคุณที่อย่างน้อยในโลกนี้ก็ยังมีคนตัวใหญ่ๆให้พึ่งพา ขอบคุณอีโมชั่น Little Bear น่ารักๆจากเว็บhttp://www.tlcthai.com/webboard/list_topic.php?page=5&table_id=1&cate_id=7
ขออนุญาตเก็บมารวมไว้ที่เดียวกัน....นะคะ แม่น้ำโขง๑ แม่น้ำโขง๒ แม่น้ำโขง๓ แม่น้ำโขง๔ แม่น้ำโขง๕ แม่น้ำโขง๖ ริมโขง๑ ริมโขง๒ ริมโขง๓ ทะเลยามเย็น รูปต้นไม้หน้าวัดมีโคมลอยเล็กๆแขวน ความอ่อนโยนของดวงอาทิตย์ ท้องฟ้ายามพลบค่ำ ท้องฟ้าตามจินตนาการ ตะวันเหงา พร้าว นกบินผ่านเมฆโดยบังเอิญ ท้องฟ้าลำปาง ไร่ข้าวโพดระหว่างไปสามเหลี่ยมทองคำ ท้องฟ้ารูปหัวใจ๑ ท้องฟ้ารูปหัวใจ๒ พระจันทร์คืนลอยกระทง๑ พระจันทร์คืนลอยกระทง๒ พระจันทร์รูปหัวใจ แอ่งน้ำรูปหัวใจ ดอกยี่โถ๑ ดอกยี่โถ๒ ดอกยี่โถ๓ ดอกยี่โถ๔ ดอกยี่โถ๕ รวมดอกยี่โถสีชมพู รวมดอกไม้คละสี ภาพการกำเนิดชีวิตของนกในสวนไผ่ค่ะ ตั้งแต่วันที่ ๑๗ - ๐๕ - ๕๓ ถึง ๒๗ - ๐๕ -๕๓ เดิมทีไข่มีสองฟองแต่ฟักเป็นตัวแค่ฟองเดียว พอมาถึงวันสุดท้ายหายไปทั้งนกทั้งไข่ T_T เหลือแต่รังไว้ให้ดูต่างหน้า กาแฟยามเช้า ขอบคุณ ไลน์สวยๆจากเว็บ ญามี่ ค่ะ http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=jiujik&month=11-2010&date=09&group=24&gblog=41
บ่อยครั้งที่ฉันเขียนถึงเรื่องราวของตัวเอง แต่มักจะเป็นมุมที่สนุกสนานซะเป็นส่วนใหญ่...แต่ใช่ว่าฉันจะได้รับการยกเว้นจากความเศร้าซะเมื่อไหร่ คนเรามักมีทางออกที่จะเยียวยาตัวเองเนาะ... นี่คงเป็นความมหัศจรรย์ของมนุษย์ข้อหนึ่งกระมัง... เวลาคุณเศร้าคุณนึกถึงเพลงอะไร สำหรับฉันมีสองเพลงในชีวิตที่จะผุดขึ้นมาในความคิดคือเพลง "ก้อนหินก้อนนั้น"ของ โรส ศิรินทิพย์ และเพลง "อย่าทำให้ฟ้าผิดหวัง" ของ ดา เอ็นโดฟิน ฟังทีไรก็ปลุกใจที่ห่อเหี่ยวให้พองโตขึ้นมาได้ทุกทีสิน่า... ท่ามกลางความวุ่นวาย สับสน อลหม่าน อีรุงตุงนัง ที่ประเดประดังเข้ามาในชีวิตบางช่วง ฉันเชื่อว่าคงไม่ใช่ทุกช่วงของชีวิตที่เราจะรู้สึกว่าตัวเองอ่อนล้า แต่มองอีกมุมหนึ่ง เรื่องที่บั่นทอนจิตใจก็มักจะทำให้เกิดสิ่งดีๆและทำให้เรามองเห็นคนดีๆที่อยู่รอบตัวได้ชัดขึ้น ฉันเป็นคนที่ไม่มีเพื่อนเยอะ เพื่อนสนิทที่ฉันจะบอกเล่าเรื่องราวในชีวิตมีอยู่กี่คนน๊า นับนิ้วก่อน หนึ่ง... สอง.... สาม.... แค่นี้แหละสามคน...อิอิ...... สองในสามเป็นเพื่อนในบ้านกลอนที่เคยเอ่ยถึงบ่อยมากๆในเรื่องสั้น วันนี้ฉันขอเขียนถึงเพื่อนแท้อีกคนที่คลานตามกันมาตั้งแต่เกิดเพราะเราเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ฉันเป็นลูกพี่ส่วนหน่อยเป็นลูกน้องตามศักดิ์ แต่ความจริงก็ห่างกันไม่กี่เดือนเฉยๆ...อ้อ...เพื่อนคนนี้ฉันเคยเขียนถึงในเรื่องสั้นชื่อ"มะรุมมะตุ้ม"ด้วยสิเมื่อนานมาแล้วล่ะ เราอยู่อนุบาลห้องเดียวกัน ยังจำได้เวลาคุณครูให้เด็กๆนอนกลางวันเราสองคนจะแอบเหล่ว่าครูออกไปจากห้องหรือยังแล้วก็ผงกหัวขึ้นมาส่งยิ้มให้กันบ่อยๆ เหมือนคำถามจากเสียงเล็กๆที่มิกล้าปริปากพูดออกมาว่า"นอนทั้งวัน" ฮ่า.... จนมาถึงวันนี้สามสิบกว่าปีที่เราร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาแชร์ความรู้สึกกันตลอดแม้จะอยู่ห่างกันแต่ก็มีสายใยความผูกพันของครอบครัวเชื่อมพวกเราไว้ไม่ให้หายขาดจากกันไปเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ ดังนั้นทุกเรื่องที่เราคุยกันก็จะเป็นเรื่องในครอบครัวซะส่วนใหญ่ หน่อยอยู่เชียงรายส่วนฉันอยู่กับน้าที่ปากเกร็ดเราสองคนจึงเป็นเหมือนคนส่งสารข้ามจังหวัดให้ญาติพี่น้องไปโดยปริยาย จนน้าคนหนึ่งขนานนามให้พวกเราว่า นักข่าวท้องถิ่น กับ นักข่าวปริมณฑล สรุปก็ยังไม่ได้อยู่ในห้องส่งอยู่ดีสิฉัน...ฮ่า หลายวันที่ผ่านมานี้เราร่วมกันทำเรื่องถูกให้มันถูก... คุณๆอย่าเพิ่ง งง ค่ะ สมัยนี้มีคนเจตนาแปลงเรื่องถูกให้เป็นเรื่องผิดจนเกิดอุปทานหมู่คิดว่าเรื่องที่ผิดเป็นเรื่องถูกคือเรื่องจริง หากเราไม่ทำอะไรเลยวันหนึ่งเรื่องที่ถูกก็จะเป็นเรื่องที่ไม่ถูกขึ้นมาในสักวัน ฉันไม่ขอเล่ารายละเอียดนะคะเพราะต้องรักษาความลับของบริษัท...ฮ่า ฟังดูดีชะมัดเลย...แต่ก็นั่นแหละน๊า เราต่างคนต่างกรำศึกจนต่างฝ่ายต่างเหนื่อยล้าและอยากวางมือแล้ว แต่เราก็มีแรงฮึด เพราะเรามีจุดมุ่งหมายเดียวกัน สิ่งหนึ่งที่พวกเรามักจะงัดมาใช้ปลุกใจกันเสมอก็คือ.........(ทิ้งช่วงให้คิด) คุณๆใช้อะไรคะเพื่อปลุกใจเวลาอ่อนล้า เหน็ดเหนื่อย กับสิ่งที่ทำเท่าไหร่ก็ไม่สำเร็จสักที ฉันกับหน่อยใช้อารมณ์ขันมาประชันกันจนกว่าอีกฝ่ายจะยอมรามือและแยกย้ายกันไปพักผ่อน....เพื่อเริ่มต้นวันใหม่ไปด้วยกันอีกครั้ง เราจะไม่วางมือจนกว่าจะทำสำเร็จ หรือถึงไม่สำเร็จอย่างที่พวกเราหวังไว้ อย่างน้อยพวกเราก็ได้ลงมือทำอะไรสักอย่างเพื่อคนที่เป็นที่รักของพวกเรา ไม่ว่าผลที่ตามมาจะเป็นหัวหรือก้อยพวกเราก็ไม่คอยโชคชะตาเพราะเรารู้ว่า...ฟ้ามีตาเสมอ... นั่นคงเป็นผลมาจากอารมณ์ขันกระมังพลังที่ไม่ต้องซื้อหา หากแต่ติดตัวพวกเรามาตั้งแต่เกิด ฉันยังสงสัยอยู่ทุกวันนี้ว่าตอนพวกเราลืมตามาดูโลกครั้งแรกพวกเราหัวเราะหรือร้องไห้กันหนอ ขอตัดข้อความบางส่วนมาเป็นส่วนประกอบของเรื่องสั้นที่ถ้าไม่มีส่วนนี้คงไม่สมบูรณ์.... เสียงในฟิล์ม........ถ้าต้องการฟัง Sub กด หนึ่ง....ถ้าต้องการล่าม....กรุณาสะกิดหาจากคนรอบข้าง.....ฮ่า หน่อย - เอ...แล้วคนอื่นๆเค้าคิดแบบเราเปล่าน๊า...ติ๊งต่างเอาเองไม่รู้อ่ะ....ไม่เป็นไรคิงมาโตยฮา ฮาบ่ต้องกลั๋ว ฉัน - ๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕ (ตั้งตัวไม่ติด ถูกจู่โจมก่อนหนึ่งดอก) หน่อย - เมริงแน่จริงต่อยกะเพื่อนตรูมั๊ย ฉัน - ๕๕๕๕แจ่มๆ สองมุกนี้ซื้อๆ (โดนดอกสอง) หน่อย - สรุปคือตรูลอยนวลชิมิ (กำลังนั่งปาดน้ำตาป้อยๆ...ฮ่าๆ) ฉัน - เออ...ตรูดีใจด้วย.........................(เพิ่งจะได้ยิงมุกสวนกลับ) แล้วเราสองคนก็ต่างฝ่ายต่างบอกราตรีสวัสดิ์วันที่เหน็ดเหนื่อยด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ขอบคุณฟ้าที่ทำให้เราได้เกิดมาเป็นทั้ง เพื่อน ทั้ง พี่ ทั้ง น้อง ทั้งคู่หูคู่ฮา ตลอดสามสิบกว่าปีที่ผ่านมาขอบคุณ และขอบคุณสองลิงที่บ่อยครั้งนั่งฟังเรื่องราวต่างๆอย่างผู้ฟังที่ดี...แม้ฉันอาจจะไม่ใช่ผู้เล่าที่ดีเท่าไหร่นัก......สำหรับฉันไม่ว่าจะโลกแห่งความจริงหรือโลกออนไลน์ฉันใช้อารมณ์ขันในการใช้ชีวิตอยู่ทั้งสองโลก...ดังนั้นทั้งสองโลกก็คือโลกทั้งใบของฉันนั่นเอง...ฉันจะไม่ทำให้ฟ้าผิดหวังสัญญา
วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ ลชร กับ ลสร นัดโต้รุ่งกันสามทุ่ม ณ บ้านกลอน เรื่องรู้ถึงหูไอ่ลิงอ้อยที่ไปลั๊นลาอยู่หัวหินมังเลยเมสเสจกลับมาหาว่า "เดี๋ยวตรูเค้าน์ดาวกับพวกแกรด้วยนะ" "ฮ๊า....แกรจะมาเค้าน์ดาวในบ้านกลอนกะพวกตรูเร๊อ" "ป๊าว....โทรดิ" "ตรูลืมไปว่าแกรค่อดขยันฟร่ะ" (ลชร.มิวายอวย) "ฮ่าๆๆๆ" (ลคส.หัวเราะร่วน) นาฬิกาข้างฝาบอกเวลา สี่ทุ่มกว่า โดยประมาณ ขณะที่ ลชร. กับ ลสร. คุยกันในบ้านกลอน เสียงโทรศัพท์ ลชร.ก็ดังขึ้น ณ บัดดล กริ๊งงงงงงงงงงงงงงงงงงงง ลชร - "ไอ่ลิงอ้อย แกรโทรมาไมยังไม่ปีใหม่เลย" ลคส -"ไอ่บร้า...เก๊าะตรูจะมาเค้าน์ดาวด้วยไงฟระ" ลชร - "ฮ่าๆๆๆ" (สะใจได้แหย่มัง) แล้ว ลชร. ก็โทรหา ลสร. ประชุมสามสาย ลชร."ไอ่ลิง มาๆสามสาย" ลสร."อ๊ายยยยย พี่อ้อยยยยยยยยยย มาด้วยเหรอ" ลชร."ฮ่าๆ ดูเสียงไอ่ลิงมัง" ลคส. "เออดิ งานนี้จะขาดตรูได้ไงว๊า...อิอิ" ลชร..แม่หลับยังไอ่ลิง. ...กลัวรบกวนเพราะแม่ ลสร เพิ่งออกจาก ร.พ ได้ไม่กี่วัน... ลสร...."หลับแล้ว อยู่คนละมุมอ่ะ คุยได้ๆแกร" (มังกลัวโดนตัดจากกองมรดก เอ๊ย กลัวโดนตัดสาย ฮ่าๆ) ลคส."ตอนนี้ตรูนั่งอยู่ข้างนอกชมดาว ชมยี่เป็งค่อดสวยเลยฟร่ะพวกแกร แต่ตรูลืมเอากล้องมา(ประจำ) ตรูใช้มือถือถ่ายก็ไม่ชัด ตรูชอบโคมลอยมากเลยแกร สวยๆ" ลชร."ตรูไปเดินดูดาวมั่งดีฝ่าแกร...ฮี่ๆ" ลสร. "ไปเลยๆแกร" ลชร. "ตรูก็เอาพวกแกรไปดูกะตรูด้วยเฟร้ย..........อ๊า....แถวนี้ก็มีโคมลอย สวยๆ " ลสร."บ้านตรูมีเสียงพลุด้วย" (มังกลัวน้อยหน้า...ฮ่าๆ) ลชร."แถวนี้ก็ดังตูมตามเลยแกร" ลคส."หนาวๆๆๆตรูเอาผ้าห่มออกมาด้วย แต่เก้าอี้มันสั้นฟร่ะ" (โฮะๆ...อยากขายาวดีนักไอ่ลิงอ้อยอิจฉาตรูล่ะซี่) สักพักได้ยินเสียงกุกกักๆ ลชร."แกรทำอะไรไอ่ลิงอ้อย" ลคส."ตรูลากเก้าอี้มาวางเท้าอีกตัว ตรูน่าจะทำตั้งนานแล้วฟร่ะ แกรนึกภาพตรูนะนอนขดอยู่บนเก้าอี้อ่ะ" แล้วสามลิงก็คุยกันไปเรื่อยเปื่อย บลาๆๆๆๆๆๆๆๆ ลสร. "ฝนแกรกิงไร เสียงเคี้ยวกรุบกรับ" ลชร."กินเป็บซี่กับคุ๊กกี้อิจฉาตรูล่ะซี่พวกแกร" ลคส."แกรอย่าหวังว่าตรูจะตอบว่า เออดิ เหมือนกับแกร วะฮ่า" ลสร."ฮ่าๆๆ" ลชร. ชิๆ...กรุบกรับๆ ยังคงกินขนมอย่างเอร็ดอร่อย ขณะที่คุยสามสาย ก็เปลี่ยนกันหลุดทั่วถ้วน จนไม่รู้ว่าใครโทรหาใคร ฮ่า ลชร."นาฬิกาคอมตรู ๒๓.๕๔ นาฬิกาฝาผนัง ๒๓.๕๕ อีกอันแขวนหน้าบ้าน เสียงดนตรีดังบอกเวลา ๒๔.๐๐ บ้านแกรกี่โมงฟระ เที่ยงคืนยังเนี่ย" ลคส."ยังไม่ถึง" ลสร."บ้านตรูก็ยังไม่ถึงเที่ยงคืน" ลชร."แต่ตรูได้ยินเขาจุดพลุกันตูมตามแระนะแกร เที่ยงคืนแระมั๊ง" ลคส."ยังแกร" ลสร."ยังมั๊ง" ลชร. "น่าน...แกรจุดดอกไม้ไฟกันแล้วแถวบ้านตรู"..... "สวัสดีปีใหม่นะพวกแกร" ลคส."ความจริงตรูไม่ได้ให้ความสำคัญนะ เดี๋ยวมันก็กลับมาเป็นเหมือนปกติเช่นทุกวัน" ลสร. "อืมมมม" (คาดว่ามังคงกำลังกลืนคำว่า"สวัสดีปีใหม่"ลงคอได้ทันเวลาพอดี) ลชร.(หนอยยยย....มังยังฟอร์ม)..."...เงียบ" (หมดมู๊ด...) ลคส."ตรูไม่ค่อยชอบพูดอวยพรไรงี้ไงแกร แค่ได้พูดคุยกันเล่นอย่างงี้ก็ดีใจแระ" ลชร. (ชิๆ....ฮึๆ....เฮอะๆ....ค้อนมังในใจ .....) ลสร."โห คุยกันข้ามปีเลยฟร่ะพวกเราสามคน" ลคส."ตรูดีใจที่ได้คุยกับพวกแกรนะ" ลชร."อืม....มีทู" ลสร."เค้าก็เหมือนกัน" ............................. สักพัก.... ลชร. "ไอ่ลิง มังหลุดฟร่ะแกร" ลคส." ถึงว่ามังเงียบผิดปกติ" ลชร."เดี๋ยวตรูโทรหามังก่อง" .......................ตึ้ดดดดด ตึ้ดดดด ลสร."ตังค์ตรูหมดฟร่ะพวกแกร" ลชร. "ฮ่าๆลืมไปว่าแกรโทรหาตรู ต่อไปแกรก็สะกิดหน่อยดิว๊า" ............................ สักครู่ใหญ่ๆ ลชร."ไอ่อ้อยมังหลุดฟร่ะแกร" ลสร."ฝน ทำไมเสียงฝนมังซ่าอ่ะ ไม่ชัด" ลชร."ตรูไม่ได้ทำไรเลยนะแกร" ...............แล้วไอ่ลิงอ้อยก็โทรเข้ามา.............. ลคส."อะไรฟระพวกแกร" ลชร. "แกรอ่ะหลุด" ลคส." อ้าว ...." ลสร."พี่อ้อยอ่ะหลุด" ลคส."ไอ่ฝน เสียงแกรเป็นอะไรซ่าๆ " ลสร."วาก็บอกมังอยู่นี่อ่ะ" ลชร."ไรว๊าพวกแกร...ตรูไม่ได้ทำไรเลยนะ" ลคส."ตรูว่ามังต้องนอนตะแคง พลิกตัวไปมาอีกแน่ฟร่ะไอ่ลิง" ลสร."เออดิ เสียงไม่ชัดอ่ะฝน" ลชร."ไรว๊า พวกแกร ตรูนอนท่าเดิมเลย เอาทอสับวางบนหมอนข้างอ่ะ" ลคส."เห็นป่ะๆมังเอาทอสับไว้ข้างๆปากมัง ตรูว่ามังต้องพลิกตัวไปมาแหง" ลสร. "เค้าก็ว่าอยู่" ลชร."ชิๆ พวกแกรสองตัวชอบรุมตรู ตรูจะรู้ได้ไงว๊าว่าเสียงไม่ชัดก็ตรูไม่ได้เป็นคนฟังนิ" (นอนกระดิกนิ้วสั้นอยู่บนเตียง) ลคส. "พอไม่มีไรพูด มังก็เริ่มกัดกังเองพวกลิง" ลชร "ตรูนอนท่าเดิมเฟร้ย....พวกแกรนี่รุมตรูประจำเลยเป็นปี่เป็นขลุ่ย" ลคส. "จระเข้ขวางคลอง" ลชร."เข็นครกขึ้นภูเขา" ลคส."เดี๋ยวนะตรูถีบผ้าก่อน" ลชร."ปากกัด ทรีนถีบใช่ป่ะแกร" ลคส."เออดิ ปากตรูก็กัดพวกแกร ทรีนตรูก็ถีบผ้าห่มอยู่เนี่ย" ลสร. หัวเราะคิกคัก แล้วก็พูดกันเรื่องสุภาษิตไทย สาระล้วนๆ อิอิ บลาๆๆๆ............. ลคส. "ตรูขอพูดมั่งดิ" ลชร. "ฮ่าๆ ไอ่ลิงดูดิ ในที่สุดไอ่ลิงอ้อยมังก็ขอพูดมั่งล่ะวุ๊ย...." ลสร. "ฮ่าๆๆๆพี่อ้อย".... ลชร."อ้อย แกรยกมือก่อนเลยถ้าอยากจะพูด...." ลคส."ตรูพูดได้ยังอ่ะ" ลสร." คริๆๆๆ" ลชร."เออพูดมาดิ พวกตรูอนุญาตแระ" (นอนขำกลิ้ง) ลคส."ตรูจะบอกว่าตอนนี้ตรูอยู่ข้างนอกคนเดียว หนาวๆๆๆ ดูดาวชัดมากสวยๆ" ลชร.เหลือบดูนาฬิกาเกือบตีสาม.. ."อ้อย แกรไม่กลัวเหรออยู่คนเดียวข้างนอก" ลคส."มันค่อนข้างจะไพรเวทนะแกร ไม่น่ากลัวหรอกแต่คนอื่นคงจะหลับหมดแระ เหลือแต่ตรูกับคนที่อยู่ประจำล็อบบี้" ลชร."เปล่า ตรูหมายถึงให้แกรรีบไปนอนได้แล้ว อันตราย.....................อันตรายกับชาวบ้านเขาน่ะ" ลสร."ฮ่าๆๆๆ" ลคส."หนอย...แกรนี่....... ความจริงตอนแรกตรูก็กะจะลงมาเล่นคอมที่ล็อบบี้เหมือนกัน แต่มันเจือกหันหน้าออกมาข้างนอกดิ เดี๋ยวเขาก็รู้หมดว่าตรูเข้าเว็บไหน และที่สำคัญตรูกลัวจะหลุดหัวเราะออกมาไอ่พนักงานมังต้องมองหน้าตรูแหงๆ" ลชร. "ฮ่าๆๆ" ลชร."ไอ่ลิงหลุดอีกแระแกร...เดี๋ยวตรูโทรหามังก่อน" ..................ตุ๊ดดดดด....ตุ๊ดดดดด ลสร."หว่าย....โทรมาทำไมเสียตังค์" ลชร."เรื่องของตรู" ลคส."เรื่องของไอ่ฝนมัง เกี่ยวไรกะแกร" ลสร."ก็ตรูเกรงใจไง๊" ลชร. "ถ้าใครหลุดไปอีกหนนี้ก็แยกย้ายเลยแระกันนะพวกแกร" ลคส."ได้ๆ...ยิ่งดึกยิ่งหนาวน้ำค้างฟระแกร" แล้วก็คุยกันต่ออีกสักพัก แยกย้ายกัน ณ เวลา ตีสามกว่าๆ เอวัง ด้วยประการฉะนี้แล.......... .................................................................