เดือนกรกฎาคมช่างเป็นเดือนที่วุ่นจนรู้สึกเหมือนชีวิตติดอยู่กับใยแมงมุมซะจริง แต่เดือนกรกฎาคมของปีนี้ก็เป็นปีที่อบอุ่นและมีความสุขมากที่สุดเช่นกัน ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๕๒ วันนี้จะได้เจอน้าและเด็กๆ ที่ไปเรียนต่อ ต.ป.ท แล้ว ปิดเทอมปุ๊บก็กลับมาปั๊บ แม้จะแค่ไม่กี่เดือนที่เพิ่งจากกันแต่ก็เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับหัวใจ เวลาที่คิดถึงใครอีกฝั่งฟ้า ช่วงเวลาที่เราต้องอยู่กันคนละประเทศ คนละเวลา คนละอากาศ มันช่างเหมือนกับว่า มีใครสักคนบนฟ้าจับพวกเราแยกจากกันแต่สิ่งหนึ่งที่ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถสร้างความแตกต่างได้คือ "ความคิดถึง" ๒๐--๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๒ พวกเราตระเวณไปกินอาหารไทยร้านประจำที่พวกเราเคยไปกินด้วยกันบ่อยๆตอนที่อยู่ด้วยกัน ไม่มีโปรแกรมทำอาหาร...เพราะ น้าบอกว่า อยากมาพักผ่อนและอยากเก็บเกี่ยวความสุข ความทรงจำทุกอย่าง ช่วงขณะที่อยู่เมืองไทยไว้ให้มากที่สุด น้าบอกว่า....รักเมืองไทยขึ้นอีกเยอะเลย...และเพิ่งรู้ว่าตัวเองมีอารมณ์อ่อนไหวและเข้าใจคำว่า home sick ตอนนี้เอง บ้านเราดีที่สุด แผ่นดินไทยอบอุ่นที่สุด ประเทศไทยดีที่สุด คำเหล่านี้พรั่งพรูออกมาจากปากน้าทุกครั้งที่เราคุยกัน ประเทศเราอาจไม่ใช่ ประเทศที่รวยที่สุด ประเทศที่สงบที่สุด ประเทศที่สวยที่สุด ประเทศที่สะอาดที่สุด ประเทศที่ใหญ่ที่สุด ประเทศที่เจริญที่สุด แต่ก็เป็นที่สุดในหัวใจของพวกเรา ๒๗-๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๒ เป็นช่วงเวลาที่ได้กลับบ้านเกิด... ได้พบกับ ยาย พ่อ แม่ พี่ ป้า น้า อา หลานๆ และ น้องเหมียว น้องหมา ทั้งหลาย การกลับบ้านหนนี้ เรากับน้าต่างมีความรู้สึกที่แตกต่างออกไปจากครั้งก่อนๆ เพราะพวกเราไม่อยากไปเที่ยวที่ไหน อยากอยู่บ้าน และใช้เวลาอยู่กับทุกคนให้มากที่สุดโดยเฉพาะช่วงอาหารเย็น จะเป็นช่วงที่เจียวจ๊าวกันมาก แต่นี่แหละพวกเรา....ไม่ว่าจะกี่ปีก็ยังคงเหมือนเดิม...และขอให้เหมือนเดิมตลอดไป..... ช่วงเช้าเรากับน้าจะลงไปกินกาแฟพร้อมกับยายที่กำลังกินข้าวเช้าพอดี และน้าๆคนอื่นๆก็จะตามมาสมทบทีหลัง... และเช้าวันหนึ่งขณะที่พวกเรากำลังจิบกาแฟคุยกันอย่างสนุกสนาน...จู่จู่ยายก็ลุกขึ้นหลังจากที่ทานข้าวเสร็จและพูดว่า "เอ้อ.....ตามสบายนะ....ทานข้าวเสร็จก็ง่วงนอนอีกแล้ว..."แล้วก็คลานขึ้นเตียง ท่ามกลางสายตางุนงงของพวกเรา....(ก็ยายอ่ะ ยังไม่ได้ล้างมือเลยนะ...อิอิ) น้าสามกระซิบว่า นี่ยังดีนะ ถ้าเป็นพวกน้าเหรอ ยายจะปิดไฟ ปิดพัดลม มุดมุ้งหน้าตาเฉยเลยล่ะ พวกเราก็เลยเพิ่งรู้ตัวว่า...บางครั้งความอบอุ่นที่หนาแน่นเกินไปมันอาจจะทำให้อุณหภูมิสูงขึ้นได้....และ ยาย ก็คือปรอทที่เที่ยงตรงที่สุดที่พิสูจน์ได้ว่า....ฉันร้อน...อิอิ ดังนั้นเช้าวันต่อมา เรากับน้าก็จะนั่งจิบกาแฟกันเงียบๆพอยายอิ่มพวกเราก็จิบกาแฟหมดถ้วยพอดี เก็บจานชามไปล้างแล้วค่อยๆปลีกตัวออกมาอย่างเป็นอันรู้กัน หลังจากนั้นก็จะไปรวมตัวกันที่ลานกลางบ้าน ช่วงกลางวันก็จะไปกระจุกตัวกันอยู่ที่ร้านข้าวซอยของน้า1 ช่วงเย็นกลับมาบ้าน น้าสี่ที่เป็นเชฟอยู่ก็จะเป็นคนทำอาหารเย็นโดยมีแม่และ น้า 1 ทำอาหารมาแจมบ้างเล็กน้อย ช่วงเย็นเป็นช่วงจับเข่าคุยสัพเพเหระ ความเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่งของบ้านเกิดที่กลับไปคราวนี้ที่เห็นได้ชัดคือ บ่อนคาสิโน ทางฝั่งลาวที่นักธุรกิจจากมาเก๊าเป็นเจ้าของ...สุดยอดอลังการและอีกไม่นานก็คงจะเสร็จ....เห็นว่าจะทำ สนามกอล์ฟ โรงแรมและอื่นๆ.... มองจากฝั่งเราไปเห็นโดมสีทองยาวหลายกิโล เงินคงหนาจริงๆ คิดไปคิดมาพวกเราเริ่มจะตกอยู่ในวงล้อมของแหล่งอบายมุขเข้าไปทุกที เพราะฝั่งพม่าก็มี บ่อนคาสิโนที่ชื่อว่า "พาราไดซ์" เปิดมาก่อนหลายปีแล้ว และตรงสามเหลี่ยมทองคำก็มีนักการเมืองท้องถิ่นคนหนึ่งหรืออาจจะหลายคนกำลังสร้าง บ่อนไก่ ที่ดูแล้วใหญ่ไม่ใช่เล่น อาจจะเสร็จเร็วๆนี้ อืม......เมืองเชียงแสน......เมืองโบราณ....ที่โอบล้อมด้วยกำแพงเมืองก่าแก่ และไม้สักที่บรรพบุรุษสร้างขึ้นเพื่อปกป้องบ้านเมือง ทุกตรอกซอกซอยเต็มไปด้วยวัดเก่าแก่โบราณ..... แต่วันนี้ นอกจากจะถูกโอบล้อมด้วยธุรกิจที่เป็นแหล่งอบายมุขแล้วยังมีภัยอีกอย่างที่หลายคนอาจจะมองข้ามไป ท่าเรือที่เราติดต่อค้าขายกับประเทศจีน คนจีนมากหน้าหลายตาเริ่มเข้ามาเช่าอยู่ตามอาคารต่างๆที่ชาวท้องถิ่นดัดแปลงจากบ้านสมัยเก่ามาเป็นอาคารชุดเพื่อให้เช่า หลายคนแต่งงานกับนักธุรกิจชาวจีน....และชาวจีนเหล่านั้นก็มีเงินมากพอจะกว้านซื้อที่ดินรอบๆที่จะถูกธนาคารยึดมาครอบครองหลายไร่....สร้างบ้าน ร้านอาหาร คลังเก็บของ ที่ไม่ใช่ภาพคุ้นตาและภาพคุ้นเคยของชาวบ้านที่ยังคงวิถีชิวิตเดิมๆอีกต่อไป หน้าบ้านของพวกเราเมื่อก่อนก็เป็นที่ดินของน้องต่างมารดาของยาย เมื่อก่อนไม่มีรั้วเวลาจะเดินไปฝั่งแม่น้ำโขงก็จะเดินลัดผ่านบ้านกันได้เลย แต่หลายปีมานี้ที่ดินผืนนั้นได้ถูกขายไปให้นายทุนที่เห็นแก่ตัว ต้องการจะกว้านซื้อที่ดินของยายและติดต่อขอซื้อเรื่อยๆ เมื่อยายและพวกเราไม่ขาย...พวกเขาก็สร้างอาคารสองชั้นบังแม่น้ำโขง ที่พวกเราเคยมองเห็นแค่ยืนอยู่หน้าประตูบ้าน...สร้างอาคารชิดและเกือบจะเกยรั้วของพวกเรา.... พวกเราทำได้แค่ปลูกต้นไม้เยอะๆเพื่อบังไม่ให้ต้องเห็นภาพที่ไม่อยากเห็น เวลาจะเดินเล่นลัดเลาะเลียบแม่น้ำโขงก็ต้องปั่นจักรยานหรือไม่ก็เดินอ้อมออกไป ไกลอีกหน่อย.....แต่ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาเปลี่ยนวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมของพวกเราชาวเชียงแสนได้....แม้รอบข้างจะเริ่มเปลี่ยนไปทีละนิดๆ แต่ก็มีชาวเชียงแสนอีกไม่น้อยที่รักแผ่นดินถิ่นเกิดและจะไม่ยอมขายแผ่นดินบรรพบุรุษกิน ไม่ยอมให้นักธุรกิจหน้าไหนมากว้านซื้อที่ดินของพวกเราได้ ตราบใดที่พวกเรายังมีลมหายใจอยู่ ชาวบ้านส่วนใหญ่ใช้ชีวิตอย่างพอเพียงและเริ่มรู้แล้วว่า เงิน ไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้ชีวิตมีคุณค่า หากแต่การรักษาตอบแทนคุณแผ่นดินถิ่นเกิดต่างหากที่สำคัญ แม้ความเจริญจะมาเยือนถิ่นฐานของพวกเรา จนรู้สึกว่าตั้งรับไม่ทัน แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเราจะคงไว้และสอนลูกหลานรุ่นต่อๆไปคือ......"สำนึกรักบ้านเกิด"