ตอนนี้หนึ่งในข่าวที่ทำให้คนไทยมีรอยยิ้มและมีความสุข ก็คงจะเป็นข่าว ที่หลินฮุ่ยคลอด Baby Bear ที่น่ารักในประเทศเรา.... ขอบคุณรูปประกอบน่ารักๆของ หมีแพนด้าจากเว็บ http://gotoknow.org/blog/kamkam/197380 พอดีไปอ่านเจอกระทู้เกี่ยวกับ แพนด้าในพันทิพ และ สะดุดุกับ ความคิดเห็นหนึ่ง...และทำให้ย้อนคิดถึง ช้างไทย สมบัติของชาติไทย ที่ห่างไกลจากคำว่า สมบัติชาติ....เหลือเกิน ขออนุญาตยกข้อมูลที่คุณ "กล้าที่จะรัก"แสดงความคิดเห็นไว้ในกระทู้นี้มาโพสอ้างอิงนะคะ (ค.ห.ที่ 21) http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A7909901/A7909901.html เท่าที่ทราบมา....จีนไม่เคยยกแพนด้าให้ประเทศไหนทั้งนั้น เพราะการยกให้หมายถึงประเทศนั้นๆจะมีสิทธิ์ขาดในแพนด้าที่ได้รับ จะนำมาโคลนนิ่งหรือผสมเทียมขยายพันธุ์อย่างไรก็ได้.... นั่นหมายถึง....การสิ้นสุดความภูมิใจของจีนที่ว่าแพนด้าเป็นสัตว์ประจำชาติของจีนและเป็นสัตว์พื้นเมืองที่มีในประเทศจีนเท่านั้น แพนด้าทุกตัวที่อยู่นอกประเทศจีน....อยู่ภายใต้"สัญญาเช่า" นั่นหมายความว่าแพนด้ายังเป็นของจีน....ผู้เช่ามีสิทธิ์นำไปแสดงและกระทำการอื่นใดภายใต้สัญญาเท่านั้น ห้ามกระทำการใดๆที่อยู่นอกเหนือสัญญาเช่าเด็ดขาด.... ช่วงช่วงและหลินฮุ่ยก็เช่นกัน.... ทั้งสองตัวอยู่ภายใต้สัญญาเช่าระยะเวลา5ปี(ถ้าจำไม่ผิด) อันนี้ต้องจ่ายเงินนะครับ....ไม่ใช่ฟรี....แต่ผมจำไม่ได้ว่าค่าเช่าเจ้าสองตัวนั่นราคาเท่าไหร่...แต่ก็เป็นหลักล้านบาทต่อปี สวนสัตว์ถึงต้องเก็บเงินค่าเข้าดูเพื่อเอามาจ่ายค่าเช่าหมีและค่าดูแลมัน... เมื่อสิ้นระยะเวลาช่าแล้วต้องส่งคืนจีน แต่ในทางปฏิบัติถ้าประเทศที่ได้รับยังมีสัมพันธไมตรีอันดีกับจีน...จีนก็ให้"ต่อสัญญาเช่า"ได้เรื่อยๆ และหมีแพนด้าก็จะอยู่ในประเทศนั้นไปเรื่อยๆ... และหนึ่งในข้อผูกมัดของสัญญาก็คือ...ถ้าแพนด้ามีลูกในประเทศใดก็ตาม... ลูกจะต้องตกเป็นของจีนและจะต้องถูกส่งกลับไปที่จีน.... ในทางปฏิบัติก็คือ....จีนจะนำไปเลี้ยงดูให้เติบโต... เมื่อแพนด้าที่ประเทศผู้เช่าอายุมากขึ้น...จีนก็จะเรียกคืน....(ไม่ให้แก่ตายในประเทศอื่น) และก็จะส่งตัวใหม่มาให้...เลี้ยงดูไปเรื่อยๆแบบที่เคยเกิดขึ้นแล้วในอเมริกา อันนี้อยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า....ต้องยังคงมีสัมพันธไมตรีที่ดีกับจีนอย่างต่อเนื่องนะครับ ถ้ามีปัญหากัน...จีนอาจจะยึดหมีเช่าคืนก็ได้.... แต่ถึงจะเป็นการเช่า...ก็ใช่ว่าประเทศไหนมีเงินจะเช่าก็ได้ จีนไม่ให้ใครเช่าง่ายๆ....ต้องเป็นประเทศที่จีนให้ความสำคัญจริงๆถึงจะให้เช่าครับ .................................... ^ ^ ^ อ่านแล้วมีใครรู้สึก สงสารช้างไทยของเราบ้างมั๊ยคะ T_T ูและขอนำข้อมูลอ้างอิง เกี่ยวกับความจริงของช้างไทย สมบัติของชาติไทย จากข้อมูลเว็บ กรุงเทพธุรกิจมาประกอบบางส่วนนะคะ "สุวิทย์"เบรกส่งช้างไทยออกนอกประเทศ5ปี หลังพบถูกส่งเข้าธุรกิจท่องเที่ยวมากกว่า1พันเชือก ด้านกรมอุทยานฯยืนกรานสรุปเข้าครม.สัปดาห์หน้า 23 เม.ย 2552 นายสุวิทย์ คุณกิตติ รมว.กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) กล่าวภาย หลังการประชุม เพื่อพิจารณาความเห็นเกี่ยวกับนโยบายการแก้ไขวิกฤติช้างไทย จัดโดยกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ว่า ขณะนี้สถานการณ์ช้างไทยอยู่ในภาวะที่น่าเป็นห่วงมาก ซึ่งข้อมูลที่ได้รับล่าสุดมีช้างป่าเหลือ อยู่เพียง 3 , 000 ตัว และช้างบ้านอีก 3 , 000 เชือกเท่านั้น ทั้งที่ในอดีตในสมัยที่ยังมีการให้สัมปทานป่าไม้เฉพาะภาค เหนือมีช้างอยู่มากกว่า 20 , 000 ตัว โดยเฉพาะจำนวนช้างป่าที่ลดลงนั้น สาเหตุสำคัญเกิดจากพื้นที่ป่าไม้ที่ถูกบุกรุก ทำให้พื้นที่ป่าขาดการเชื่อมต่อเป็นผืนเดียวกัน ขณะที่ช้างบ้านก็ถูกนำมาเข้าสู่ธุรกิจช้างขอทานเร่ร่อนเฉพาะในกทม.คาดว่ามีมากกว่า 200 เชือก อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าการแก้ไขปัญหาช้างยังไม่คืบหน้าเพราะขาดความต่อ เนื่องแม้ว่า 4-5 ปีก่อนทส.เคยตั้งคณะกรรมการ และคณะอนุกรรมการตามแผนแม่บทอนุรักษ์ช้างถึง 6 คณะแต่ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาช้างได้ ดังนั้นจะถือโอกาสนี้พิจารณาทบทวน และปรับปรุงองค์ ประกอบหน้าที่ของคณะ กรรมการ อนุกรรมการดังกล่าวด้วยเพื่อให้การบริหารจัดการช้างไทยโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีเอกภาพ และมีประสิทธิภาพมากขึ้น .................................. ^ ^ ^ แม้จะมีความรู้สึกว่า พวกผู้ใหญ่ในบ้านเมือง เพิ่งจะตื่น ก็ยังดีกว่านอนหลับอุตุ....อย่างที่ผ่านมา และดูเหมือนข่าวนี้กลับไม่ได้รับความสนใจจากสื่อที่จะนำไปเผยแพร่เท่าที่ควร ช้างไทยถูกลักลอบออกนอกประเทศ ไม่ก็ แลกกับ หมีโคอาล่า (อยากดู สัตว์ประเทศอื่นทำไมไม่ซื้อตั๋วบินไปดูเองฟระ....ขัดใจมาก...กรณีนี้ ) ไม่ก็จะเห็นเดินเร่ร่อนในเมืองหลวง....โดยเฉพาะ ถนน สุขุมวิท พระรามเก้า และอื่นๆ... ไม่รู้ตำรวจทำอะไรอยู่ เห็นจะๆ....ยังนิ่งเฉยอยู่ได้ หรือต้องปล่อยให้ช้างถูกรถชน...เครียดจนต้องไล่กระทืบตำรวจ เอ๊ย กระทืบผู้คน...จึงจะตาสว่างลุกขึ้นมาทำอะไรกันจริงจังเสียที ขออนุญาตินำข้อมูลที่ รัฐบาลทักษิณ เอาช้างไทย9เชือกไปแลกกับ หมีโคอาล่า ข้อมูลจากเว็บ จาก www.dailynews.co.th ขอบคุณรูปประกอบหมีโคอาล่าน่ารักๆจากเว็บ http://kunglek.blogspot.com/2008/12/blog-post_16.html นายกรัฐมนตรี(ทักษิณ) เป็นคนไปทำสัญญากับออสเตรเลียในช่วงการเจรจรการค้าเสรีกับออสเตรเลียเมื่อปี 2546 และจะมอบช้างไทยให้เป็นของขวัญแลกกับหมีโคอาล่า อย่างน้อย 2 ตัว " NGO ต่างชาติรุมต้านรัฐบาลไทย ส่งช้าง 9 เชือกแลกหมีโคอาล่า ห่วงสวัสดิภาพช้างไทยหวั่นคนเลี้ยงออสซี่ไร้ประสบการณ์ องค์การสวนสัตว์ฯ ระบุเพื่อการศึกษาไม่ผิดเงื่อนไขไซเตส สุวิทย์เร่งส่งช้างก่อนสิ้นเม.ย.ตามกำหนดนายกฯ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 7 มีนาคม กลุ่มพิทักษ์สิทธิสัตว์ในประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ได้พากันประท้วงกรณีรัฐบาลไทยเตรียมส่งช้างไทย จำนวน 9 เชือกไปอยู่ในสวนสัตว์ของทั้ง 2 ประเทศตามโครงการแลกเปลี่ยนสัตว์ระหว่างประเทศของรัฐบาลไทย โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.) โดยล่าสุดกลุ่มองค์กรพัฒนาเอกชน(เอ็นจีโอ)ในประเทศ ออสเตรเลีย ระบุว่า ทางสมาคมสวนสัตว์ปฏิเสธที่จะเปิดเผยข้อมูลในเรื่องการขออนุญาตนำเข้าช้างจากประเทศไทย โดยจงใจปกปิดข้อมูลดังกล่าว ทั้งที่ได้พยายามยื่นหนังสือขอให้เปิดเผยรายละเอียดหลายครั้ง เพราะเป็นห่วงสวัสดิภาพของช้าง เนื่องจากมองว่าออสเตรเลียไม่มีประสบการณ์ในการดูแลและเลี้ยงช้าง อาจทำให้ช้างมีปัญหาล้มตายได้ น.ส.โซไรดา ซาลวาลา เลขาธิการมูลนิธิเพื่อนช้าง กล่าวว่า เรื่องนี้ตนเคยยื่นหนังสือคัดค้านถึงพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มาแล้วหลายครั้งแต่ก็ไม่ได้รับความสนใจเพราะเรื่องนี้ นายกรัฐมนตรี เป็นคนไปทำสัญญากับออสเตรเลียในช่วงการเจรจรการค้าเสรีกับออสเตรเลียเมื่อปี 2546 และจะมอบช้างไทยให้เป็นของขวัญแลกกับหมีโคอาล่า อย่างน้อย 2 ตัว จึงเป็นเรื่องยากที่จะให้นายกรัฐมนตรีเปลี่ยนใจ ดังนั้นเมื่อเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา ตนจึงเดินทางไปออสเตรเลีย และแถลงข่าวร่วมกับเอ็นจีโอของออสเตรเลีย เพื่อคัดค้านการนำเข้าช้างไทย รวมทั้งยังได้เข้าพบวุฒิสมาชิก และส.ส.ของออสเตรเลีย เพื่อขอให้ช่วยคัดค้านด้วย น.ส.โซไรดา กล่าวอีกว่า การนำเข้าช้างไทยครั้งนี้ ออสเตรเลียอ้างว่าไม่ได้นำเข้าช้างป่าแต่เป็นช้างบ้านที่ซื้อมา แต่ตนได้ชี้แจงไปว่าประเด็นไม่ได้อยู่ตรงนั้น แต่เห็นว่าเป็นการส่งช้างไปอยู่ในสถานที่ที่ไม่เหมาะสม และยากให้ช้างเหล่านี้มีชีวิตตามธรรมชาติ จึงเป็นเรื่องไม่สมควร ทั้งปัจจุบันไทยมีช้างเหลือเพียง 2,600 เชือกเท่านั้น นอกจากนี้แหล่งข่าวจากองค์การสวนสัตว์ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวถึงความคืบหน้าว่า ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบเอกสารรายละเอียดการส่งช้าง รวมทั้งการตรวจสอบสุขภาพช้างทั้ง 9 เชือก ซึ่งเรื่องนี้ทางสำนักงานไซเตส ประเทศไทย กำลังตรวจสอบอยู่ แต่คาดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะช้างทั้งหมดไม่ใช่ช้างป่า แต่เป็นช้างบ้านครอบจาก จ.พระนครศรอยุธยา และสุรินทร์ อายุเฉลี่ยประมาณ 3-8 ปี นอกจากนี้ ยังเป็นการแลกเปลี่ยนกันเพื่อการวิจัยและศึกษาในโครงการแลกเปลี่ยนสัตว์ระหว่างประเทศ ไม่ได้มีการซื้อขายกันเป็นเงิน และรัฐบาลออสเตรเลีย จะเป็นผู้ออกค่าขนส่งเองทั้งหมด ดังนั้น จึงมั่นใจว่าจะไม่ผิดเงื่อนไขของไซเตส แหล่งข่าวคนเดิม ยังกล่าวถึงกรณีที่อาจมีการประท้วงจากเอ็นจีโอไทย และต่างประเทศ ซึ่งจะทำให้การส่งช้างไทยไปต่างประเทศต้องถูกระงับหรือไม่นั้น ว่า ต้องดูเหตุผลของการประท้วง แต่ส่วนตัวเชื่อว่าไม่น่าจะมีปัญหาอย่างแต่อย่างใด อีกทั้งการดำเนินการนั้นองค์การสวนสัตว์ฯ เป็นเพียงหน่วยงานประสาน ร่วมกับทางกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช เท่านั้น ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ในการประชุมผู้บริหารกระทรวง ทส.เมื่อเร็ว ๆ นี้ นายสุวิทย์ ยังได้ย้ำเรื่องการดำเนินงานเกี่ยวกับการจัดหา และแลกเปลี่ยนสัตว์ในโครงการต่างๆ ได้แก่ การจัดหาสัตว์สำหรับไนท์ซาฟารี ที่จ.เชียงใหม่ โดยในส่วนของหมีโคล่านั้น ให้นำมาพักเอาไว้ที่สวนสัตว์เชียงใหม่ เพื่อให้ทันตามที่พ.ต.ท.ทักษิณ กำหนดให้เดือน เม.ย.นี้ รวมทั้งการเร่งรัดส่งมอบช้างไทยให้ประเทศออสเตรเลียด้วย ............................................................... ^ ^ ^ หมีโคอาล่า 2 ตัว แลกกับ ช้างไทยสมบัติชาติไทย 9เชือก อยากจะเอาเรื่องนี้มาตีแผ่และตอกย้ำอีกที...เผื่อจะปลุกจิตสำนึกให้คนไทยรักษ์ช้างและช่วยกันแสดงความเป็นเจ้าของในสมบัติล้ำค่าที่มีชีวิตจิตใจ ตัวใหญ่น่ารัก และใจดี อย่างจริงๆจังๆ ...................................................... ขอโพสรูปความน่ารักของช้างไทยของพวกเรามาให้ดูค่ะ ขอบคุณภาพช้างน่ารักๆจากเว็บ http://seedang.com/stories/39460 ......................................... สองรูปข้างล่างจากเว็บ http://travel.sanook.com/north/lumpang/lumpang_02711.php ..................................................... หากเสียงนี้จะมีโอกาสไปถึงรัฐบาลได้อยากฝากบอกท่านนายก ว่า ขอความกรุณา แต่งตั้งคนดีๆที่อนุรักษ์ช้างด้วยใจจริงไม่หวังผลปรโยชน์ทางธุรกิจ ช่วยให้ความสำคัญกับ ท่านที่อนุรักษ์ช้าง มูลนิธิต่างๆ ให้โอกาสคนเหล่านี้ได้เข้ามาทำงานระดับชาติ และให้ปัญหาของช้างไทยขยับขึ้นเป็น วาระแห่งชาติ วาระเร่งด่วน โดยให้คนที่เขาทำงานใกล้ชิดกับช้าง เข้าใจธรรมชาติของช้าง และทำงานเพื่อช้างไทยมานาน ได้มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง โดยไม่ต้องฟังคำสั่งจากพวกนักการเมืองที่มาแล้วก็ไป.....ไม่สนใจแก้ปัญหาอย่างจริงใจหรือจริงจัง สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทุกมูลนิธิ และทุกๆท่านที่ได้ดูแลและร่วมอนุรักษ์ช้างไทยด้วยค่ะ ขอกราบคาราวะด้วยใจจริง ................................................... 1.เว็บมูลนิธิช้างแห่งประเทศไทย http://www.asian-elephant.org/default_t.shtml 2.มูลนิธิเพื่อนช้าง http://www.elephant-soraida.com/ 3.มูลนิธิคืนช้างสู่ธรรมชาติ http://www.elephantreintroduction.org/thai/about_th.html ใครมีข้อมูลเพิ่มเติมรบกวนช่วยแปะเว็บที่ร่วมอนุรักษ์ช้างด้วยค่ะ ร่วมด้วยช่วยกันเนาะ (o*^________________^*o)
^ ^ ^ (เพิ่งจะหารูปประกอบสวยๆเจอ:p) "นี่ๆมีของดีมาบอก....เดี๋ยวนี้บ้านเรากำลัง ฟีเวอร์ มะรุม กันอยู่ ดีต่อสุขภาพและได้รับการวิจัยจากอเมริกาเลยนะเฟร้ย "เสียงเพื่อนเจื้อยแจ้วมาตามสาย ถึงสรรพคุณของ มะรุม....เอ.... "ว่าแต่ว่า มะรุมนี่มันอะไรอ่ะ ไม่เคยได้ยิน" ฉันอดจะถามไปด้วยความสงสัยไม่ได้หลังจากนั่งฟังสรรพคุณของ มะรุมอยู่นานก็ไม่เก็ทสักที "ก็ บ่ะค้อนก้อม บ้านเฮาไง๊" "แล้วไหงไม่บอกแต่แรกฟระ....บ่ะค้อนก้อม แค่นี้ก็จบ...ฮ่วย..."(เด็กกรุงเต็บชักขัดใจเด็กภูธรแระ) "ตอนนี้เรากำลังจะบรรจุใส่แคปซูล และหนูทดลอง เอ๊ย...ลูกค้ากลุ่มแรกก็คือ บ้านเราไง แค่ แม่ กับ ป้าๆ น้าๆ ก็หมดแระ ล็อตตนี้" (ลืมบอกไปว่าเพื่อนคนนี้คือ ลูกพี่ลูกน้องของฉันเอง...เรียนห้องเดียวกันมาตั้งแต่อนุบาล พลัดพรากจากกันตอน ม.ต้น เพราะอยู่คนละห้อง แล้วก็มาร่วมชะตากรรม เอ๊ย...เรียนห้องเดียวกันอีกที ตอน ม.ปลาย) "555แบบนี้จะขายได้เหรอเนี่ย...." "ขายได้สิ แกไม่รู้อะไร ปากต่อปากนี่แหละ ยิ่งคนกันเองไปโพทะนา เอ๊ย.. โฆษณา ให้ด้วยนะ....คุ้มสุดคุ้ม ไม่เชื่อแกคอยดู๊" ....................สามวันผ่านไป....................... "ห้าโหล" "555รู้มั๊ย เดี๋ยวนี้ มะรุม ชั้นดังใหญ่แล้วเฟร้ย...........ใครต่อใครก็มาสั่งกันใหญ่...ลูกค้าที่ร้านเวลามากินข้าวซอย ก็จะสั่งมะรุมไปด้วย เป็นไงเก็บได้ทุกเม็ด" "โห...รุ่งจริงแฮะ" "ไว้ผลิตล็อตใหม่จะส่งไปให้นะ" "เอ่อ...อืมๆๆๆ"(รับปากไปแบบเสียไม่ได้ เพราะเรื่องยงเรื่องยานี่ไม่ค่อยจะถูกกันพอๆกับเข็มฉีดยานี่แหละ) คติประจำตัวของฉันคือ สุขภาพจะดีได้ก็ต้องมาจากการกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ไม่ต้องพึ่งยาบำรุงที่ไหน แต่ก็ไม่อยากจะขัดใจเพื่อน อุตส่าห์กุลีกุจอขนาดนั้น สักพักวางสายไป คราวนี้เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาอีก...ตอนแรกคิดว่าอะไรอีกฟระเนี่ย....จะเอาอะไรมารุมชั้นอีก...เข้าใจแล้วเฟร้ยว่าของแกอ่ะดีจริง(เตรียมคำพูดไว้รอ) กลายเป็นว่า แม่โทรมาเล่าเรื่อง มะรุม ที่หน่อย(ขออนุญาตพาดพุง...แฮ่ม)ผลิตและนั่งอ่านสรรพคุณให้ฉันฟัง 3-5 นาทีโดยประมาณ....เริ่มสงสัยทำไมข้อมูลแม่แม่นจัง.... "โห...แม่....อะไรจะมีประโยชน์มากมายขนาดนั้นงี้ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่นี่เราไม่ต้องกลัวกันเลยเนาะ" "แหมๆ มันดีจริงๆนะนี่แม่อ่านจากหนังสือที่เค้าแปลมาเล๊ย" เริ่มเข้าใจ..555 มะรุมฟีเวอร์จริงๆ เดี๋ยวขออนุญาตพิมพ์เป็นภาษาถิ่นให้อ่านดูนะคะ "ฮักษาโรคมะเร็ง,เป๋นยาระบาย,ป้องกั๋นโรคหัวใจ๋,ไขมันในเส้นเลือด,ความดันโลหิตสูง,โรคเก๊า,โรคกระดูก,เสริมสร้างแคลเซียม ,ลดเบาหวาน, ฟันแข็งแฮง..............." "แม่ๆ....ลูกว่าไปยาลใหญ่ดีกว่า ฮู้ละว่าดีแต๊ๆ"(ถ้าไม่รีบเบรคก่อนคาดว่าคงอ่านหมดเล่ม555) "เดวก่อน ตี้สำคัญ ชะลอความแก่ , ฮักษาสิว,ฮักษาจุดด่างดำ,หน้าขาวผิวขาวผ่องเป๋นยองใย......." "โห....(หูผึ่ง.......ในบรรดาสรรพคุณทั้งหมดที่กล่าวมาอันหลังนี่เข้าท่าสุด555) แต๊กา"(ฟอร์มหลุด ณ บัดดล)แต่มันแก่ไปแล้วจะมาชะลอบ่ะเด่วบ่ะตันแล้วก้าแม่55 กัดตัวเองอีกตามเคย" "แต๊ะก่ะ...มีคนกิ๋นแล้วเปิ้นผิวขาวขึ้นเลยหนา แก่แล้วกิ๋นก็ได้ จะได้บ่ะแก่ไปกว่านี้ไง" (^^A" ซับเหงื่อ...เหอๆ .....................หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป.................... "แม่ส่งของไปหื้อแล้วเน้อ มีบ่ะม่วง กับ ลิ้นจี่ แล้วก็ มะรุม"(มะรุมก็มะรุม สงสัยจะพูดง่ายกว่า บ่ะค้อนก้อม555) "ขอบคุณเจ๊า เดวจะกิ๋นเลย" คุยกับแม่สักพัก....... ก่อนอาหารเช้า-เย็น ครั้งละสองเม็ด ตายๆๆๆสองเม็ด....(แต่เพื่อความสาวความขาวและความสวยต้องทน) กินสองเม็ดแรกไม่มีอาการอะไร มื้อแรกเป็นมื้อเย็น จะกินครั้งต่อไปก็ พรุ่งนี้เช้า มื้อเช้า....สองเม็ด..... หลังจากคุยโทรศัพท์กับน้าอยู่ จู่ๆก็ หน้ามืด ตาลาย คล้ายจะเป็นไข้ แต่ก็ทนได้ เพราะน้าอุตส่าห์สกายมาจาก ต.ป.ท (หาใช่ ต.จ.ว ไม่) พอวางสายเท่านั้นล่ะ โอ๊กอ๊าก......ไม่หยุดเลย...... จากบ่ายสามถึงทุ่ม โห........ตายๆๆเป็นไรฟระเนี่ย จนท้องไม่มีอะไรจะอ๊อกออกมาแล้วก็ยังอุตส่าห์จะออกอีกแน่ะ T_T คิดในใจวันนี้กินแต่ กาแฟ ผัดบร๊อคโคลี่ แล้วก็ มะรุม เท่านั้น เพราะฉะนั้น ผู้ต้องสงสัยรายแรกก็มะรุม นี่แหละ... โห่...ฉันจะตายตอนนี้ไม่ได้....ฉันยังไม่ได้ขาวให้ใครเห็นเลย(อันนี้ใส่ไข่เอง...เอิ๊กส์) สี่โมง หน่อยโทรมา........"เป็นไงมั่ง ทำไรอยู่โทรมาหลายครั้งไม่รับสาย" "งืม...อืม....."(ยังไม่มีแรงพูด) "ก็มะรุม แกนั่นแหละ ชั่วโมงแล้วฉันเพิ่งได้พักขานี่ล่ะ อ๊วกตลอดเลย" "โห...จริงอ่ะ แกมันอ่อนยานี่ฟระ คนอื่นเค้ากินไม่เห็นเป็นไรเลย...อย่างมากก็แค่ถ่ายท้อง ว่าแต่แน่ใจนะว่าแกไม่ได้กินอย่างอื่นเข้าไป" "เออ....ฉันมันคงจะอ่อนจริงๆอ่ะแหละ...เดี๋ยวจะส่ง ไอ่มะรุม กลับไปยังแหล่งผลิต เตรียมรับเลยนะแก" "555ก็ได้ๆ ไม่ต้องกินก็ได้ แต่ฉันว่าแกลองกินเม็ดเดียวดูสิ...เด็กๆแถวบ้านเค้ากินเม็ดเดียว ไม่เป็นไรเลยนะ" "โห่.....แก.....เออๆ......."(เดี๋ยวจะยาว) ก่อนวางสาย "รักษาเนื้อรักษาตัวดีๆนะ พรุ่งนี้โทรมาใหม่55 เออ...อย่าลืมนะ วันนี้วันเกิดน้า4เรา"(มีน้าหลายคนแทนเป็นตัวเลขแระกันนะคะ" "เออ....ลืมๆฉันไปก่อนนะช่วงนี้" "555ได้ๆ เอาเป็นว่าเดี๋ยวอวยแทนให้" "อืม................." พอวางสายเท่านั้นล่ะ....อาการโอ๊กอ๊ากก็กลับมาอีก...คราวนี้ยาวถึงทุ่มเลย นอนสลบอยู่ที่โซฟา ได้ยินเสียงโทรศัพท์แว่วเข้าหู....แต่ไม่มีแรงไปรับ รู้ตัวอีกที สามทุ่มครึ่ง อาการวิงๆ เห็นโลกหมุนๆๆ หายไปแล้ว ไม่อยากอ๊วกแล้ว....เย้........อิสระเสียที ตอนแรกว่าจะไปอาบน้ำนอนแต่นึกขึ้นได้วันนี้ แจ๋วใจร้ายกับคุณชายเทวดา นี่นา ก็เลยไปนั่งดู อาการก็ดีขึ้นจนเกือบปรกติแระ แต่ยังไม่กล้ากินอะไรแม้ ญาติ(พยาธิ)จะร้องกันระงมก็ตาม น้องหมาก็นอนข้างๆตลอดช่วงที่ไม่สบาย เวลาวิ่งไปอ๊อกก็จะวิ่งตาม ถ้าลูบหลังให้ได้ก็คงจะทำแล้ว....ซึ้งใจน้องหมาจัง เช้านี้ จิบกาแฟไปถ้วยหนึ่ง ค้นตู้เย็นมี ข้าวโพดหวาน....ก็เลยเอามานั่งแทะเล่น เพราะข้าวโพดเป็นตัวดีท๊อกที่ดีที่สุดเลยล่ะ เหลือบไปเห็นมะรุม อยู่ข้างเตาปิ้งขนมปัง อาการเฝื่อนๆที่คอเริ่มจะกลับมาต้องรีบเอาไปหลบในที่ๆมองไม่เห็น เฮ้อ..........ทั้งหมดนี่คือ เรื่องมะรุม ที่มะรุมมะตุ้มจนเกือบเอาตัวไม่รอด ไม่ใช่ว่า มะรุม ไม่ดีนะคะ แต่น่าจะเป็นตัวฉันเองที่ไม่ดีพอสำหรับ มะรุม......เง้อ (^m^)" ข้อมูลของ มะรุม ที่เป็นประโยชน์ เพื่อนๆสามารถหาอ่านได้จากเว็บข้างล่างนี้ได้เลยค่ะ http://thaiherbclinic.com/node/141 รูปของต้น มะรุมหาได้จากเว็บข้างค่ะ http://hilight.kapook.com/view/28135 เดี๋ยวคนอื่นมาอ่านเรื่องนี้แล้วจะเข้าใจผิด เรื่อง มะรุม เลยต้องแอบแนบท้ายประโยชน์ของ มะรุม ที่ผ่านการค้นคว้าจากผู้เชี่ยวชาญมาแล้วว่าดีต่อสุขภาพจริง (o*^_________^*o) ลองดูนะคะ...คงจะมีน้อยคนที่จะเป็นแบบ โคลอน ไอ่เรามันชนกลุ่มน้อย......งือ T_T ไว้จะไปเด็ดใบกินสดๆเลยคอยดู ถ้ากลับบ้านคราวหน้า (เพราะ แม่และ ญาติๆหาต้นมะรุมมาปลูกกันที่สวนหลังบ้านหลายต้นเลย....เสร็จแน่แก ไอ่มะรุม) 555 ไม่รู้จะเป็นไงไว้ถ้ากินแล้วเป็นไงจะมาเล่าแล้วกันนะคะ...กินสดๆอาจจะดีก็ได้เนอะ...(ปลอบใจตัวเอง) (o*^_________^*o)