29 มกราคม 2550 17:17 น.

***คนโง่...คนฉลาด...คนเจ้าปัญญา***

โคลอน

อืม...เป็นหนังสือที่หน้าปกสีขาวสะอาดตา...หาเจอโดยบังเอิญจากร้านหนังสือ...เพราะตั้งใจจะหาซื้อหนังสือดีๆสักเล่มเป็นของขวัญวันเกิดให้เพื่อน...ตอนแรกเห็นชื่อหนังสือก็ขำซะ...นึกในใจใครจะกล้าซื้อแล้วถือติดตัวไปไหนด้วยล่ะเนี่ย แต่พอได้เปิดอ่านแล้วก็เหมือนถูกตบหัวอย่างแรง มันเป็นความรู้สึกของคนที่ถูกกระชากกลับอย่างเร็วน่ะ...บางเรื่องที่เราเคยคิดว่าสิ่งที่เราทำหรือคิดน่ะดีแล้วถูกแล้ว  แต่พอมาอ่านหนังสือเล่มนี้ อีโก้ในตัวคุณมันจะลดลงโดยไม่รู้ตัว...บางเรื่องที่เขียนไว้ในหนังสือก็ทำให้เรารู้ทันคนและรู้จักคนอื่นมากขึ้นและเรียนรู้เร็วขึ้นว่าเราควรจะทำตัวอย่างไรหรือตัดสินใจอย่างไรเวลาเจอเรื่องเดียวกัน หรือแม้กระทั่งเนื้อหาในหนังสือเหมือนกระจกสะท้อนตัวเราและ สะท้อนคนในสังคมที่เราพบเจอให้ใสกระจ่างขึ้นเหมือนเป็นคัมภีร์สอนตัวเราที่ไม่มีถ้อยคำอ่อนหวาน หรือ ให้กำลังใจ แต่เป็นการเตือนสติอย่างตรงไปตรงมา ไม่เสียเวลาอ้อมค้อม ซึ่งสังคมปัจจุบันหาคนที่จะพูดหรือเตือนอะไรกันตรงๆ หรือชี้จุดบกพร่องที่เราเป็น ได้น้อยมาก หรือถ้ามีก็คงจะมองหน้ากันไม่ติดเลยมั๊งแต่พออ่านหนังสือที่เขียนจากผู้รู้แจ้งแล้ว(เราขอยกให้ท่านเป็นผู้รู้แจ้งในการมองคนเลย ท่านชื่อ ไชย ณ พล)ทำให้เราต้องยอมรับโดยดุษฎีและเริ่มมองย้อนดูตัวเองว่าเราเป็น คนโง่ คนฉลาด หรือ คนเจ้าปัญญา จริงๆแล้วพออ่านจบคุณจะพบว่าคุณเป็นทั้ง คนโง่ คนฉลาด และ คนเจ้าปัญญา ในคนๆเดียวกัน แค่เพียงรู้เท่าทันตัวเองคุณก็จะรู้จักหยิบมาใช้ให้เป็นประโยชน์ เราจะขอโพส บทความดีๆแบ่งปันให้เพื่อนๆนักอ่านที่สามารถเปิดใจกว้างและยอมรับตัวเองได้ อาจมีบางข้อที่ดูแรงไปแต่เชื่อแน่ว่ามันเป็นการเตือนสติเราได้เร็วกว่า คำพูดหวานๆแน่นอน...

@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

***ว่าด้วยความคิด***

...คนโง่... ทำก่อนแล้วจึงคิด จึงผิดพลาดเนืองๆ เปลืองเวลาและความรู้สึก และต้องตามแก้ปัญหาไม่สิ้นสุด

...คนฉลาด...คิดมากก่อนแล้วถึงทำ จึงเพ้อเจ้ออยู่เป็นประจำ แม้ประสงค์จะทำดีมากแต่ทำได้น้อย เพราะเขม่าความคิดมักปิดกั้นความหาญกล้า

...คนเจ้าปัญญา...คิดไปทำไป จึงทำได้อย่างที่คิด และคิดพอดีที่ทำ ประหยัดพลังงานและบริหารเวลาได้เหมาะสม ลดความหลอนป้องกันความพลาดขื่นขม และประสบผลสำเร็จโดยไม่เหน็ดเหนื่อย


***THOUGHTS*** 

The foolish act and then think afterward,This leads to mistakes and endless trouble.

The clever think first and act afterward,And often ride in a labyrinth of imagination.Many times their thoughts obstruct their own courage.

The wise act out of thought and think as they act,Making activity practical and possible.They are safe from illusions,save energy and time,And travel the smooth path to success.

แค่เรื่องความคิดก็เล่นเอาอ่วมแล้วนะ ตอนแรกทุกคนก็คงคิดว่าคิดก่อนทำย่อมดีแต่ความเป็นจริงแล้วมันใช้ได้แค่บางกรณีเท่านั้นแหละ บางกรณีเมื่อคิดแล้วก็ต้องลงมือทำไปด้วยถึงจะรู้จริง ตอนนี้เราซื้อหนังสือเล่มใหม่ให้เพื่อนไปแล้วล่ะ ส่วนเล่มนี้เราพกติดตัวไปตลอดเลยในกระเป๋า เผื่อเวลาหลงทางจะได้ไม่เสียเวลาไง...อิอิ(เข็มทิศชีวิต)

ต่อไปเราขอนำเสนอเรื่องเกี่ยวกับการวิพากษ์วิจารณ์ดีกว่า ถ้าใครที่กำลังท้อแท้อยู่เพราะคำคนล่ะก็อ่านบทนี้แล้วจะยิ้มออกเลยล่ะ

@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

***ว่าด้วยการวิพากย์วิจารณ์***

...คนโง่...มัววิพากย์วิจารณ์นินทาคนอื่น คนอื่นจึงเจริญแต่ตนเสื่อม และเพราะไม่จริงใจกับใคร จึงไม่มีใครจริงใจด้วย เขาคือมิตรเทียมและย่อมมีแต่มิตรเทียม

...คนฉลาด...มัววิพากย์วิจารณ์ตนอย่างที่เป็น โดยไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ตนต้องเป็นไป จึงไม่พอใจตัวเองจนต้องถล่มทลายตนเนืองๆ คนอื่นจึงมักไม่เข้าใจเขาและเคียงข้างเขาด้วยความกังขา

...คนเจ้าปัญญา...ย่อมไม่วิพากย์วิจารณ์ใคร ด้วยแจ่มแจ้งว่าทุกคนย่อมเปลี่ยนไป เขาย่อมเลี่ยงคนที่ชอบวิจารณ์ตนและคนอื่น ทุกคนจึงสบายใจที่จะอยู่ใกล้เขา เขาย่อมเป็นมิตรแห่งตน และมีมิตรแท้ที่มั่นคง

***CRITICISM***

The foolish enjoy criticizing others,And therefore lack sincere friends,

The clever only criticize themselves,Others find them difficult to understand And leave them alone.

The wise do not criticize anyone.They realize people are constantly changing And striving to be their best. They forego all criticism and gain true friends.

วันนี้มีเวลาแค่นี้ไว้จะมาโพสเพิ่มนะหวังว่าคงเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย

@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

				
14 มกราคม 2550 20:16 น.

ความประทับใจแรก

โคลอน

"Be prepared you never get a second chance to make a good first impression."
"จงเตรียมพร้อม คุณไม่มีโอกาสที่2 ที่จะสร้างความประทับใจที่ดีในยามแรกพบอีก!"

เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องที่จะช่วยสนับสนุนประโยคข้างต้น ที่เคยอ่านในหนังสือ"ข้อเขียน ควรคิด"เมื่อนานมาแล้วได้เป็นอย่างดีเลย แต่ถ้าคาดหวังว่าจะเป็นเรื่องรักแรกพบอะไรเทือกนั้นล่ะก็ ได้โปรดมองข้ามเรื่องสั้นนี้ไปเสียเถอะ เพราะคงไม่มีเรื่องหวานแหววให้ได้อินเลิฟตามแน่ๆ... (*^3^*)

 เมื่อมาย้อนคิดถึงจุดเริ่มต้นที่เราได้พบกับเจ้าเหมียว ที่ตอนนี้ถูกเราตั้งชื่อให้ว่า มีมี่(ชื่อจริง มารายห์  แครี่ (- ^^)" แล้วล่ะก็ เราขอยกนิ้ว (^A^) ให้กับคนที่คิดคำคมนี้ขึ้นมาเลยว่า ทำให้เราทึ่งได้จริงๆ... ขอหมุนเวลาย้อนกลับไปเมื่อประมาณ1ปีที่แล้วแป๊บ...แกร๊กๆๆๆ(เสียงเกาหัวเพราะเราแค่คิดเฉยๆน่ะ :p)

 เรื่องก็มีอยู่ว่า เช้าวันหนึ่งขณะที่เรากำลังเปิดหน้าต่างเพื่อรับลมก็บังเอิญไปจ๊ะเอ๋เข้ากับ เจ้าเหมียวตัวหนึ่งเข้า เป็นตัวเมีย สีเทา-ดำ ลายเสือ ท่าทาง ปราดเปรียว เฉลียวฉลาด หางสั้นกุด(ไม่รู้เป็นกรรมพันธุ์หรือว่าถูกตัดหางเหมือน ร๊อตไวเลอร์ ...มีใครรู้มั่งว่าทำไม ร๊อตไวเลอร์ต้องตัดหางตั้งแต่ยังเด็กด้วยอ่ะ เราว่ามันคงไม่ชอบเท่าไหร่หรอก...)เราสังเกตุเห็นว่าเจ้าเหมียวมีตาสีทอง...กำลังจ้องมองมาทางเราอย่างไม่คลาดสายตา ภายในปากมีจิ้งจกลักษณะขาวๆอวบๆดิ้นดุ๊กดิ๊กๆอยู่ ...ด้วยความตกใจเราก็เลยเผลออุทานออกมาเสียงดังว่า บรู๊วววววว...(เจ๊ย!...ล้อเล่น)(^^)"แต่เสียงอันนุ่มนวลของเราก็ทำให้เจ้าเหมียว วิ่งหายไปเลย หลังจากนั้นอีก2-3วันเราก็เจอเจ้าเหมียวบ่อยๆแต่ก็แค่มองกันไกลๆไม่มีอะไรมากกว่านั้น แถมเรายังอดตั้งคำถามกับตัวเองไม่ได้ว่า"แมวกินจิ้งจกด้วยเหรอ?(หรือว่าเป็น ออเดิร์ฟ ของเจ้าเหมียวมานานแล้ว) 

 อีกเหตุการณ์หนึ่งที่เจอกันจังๆก็ตอนที่เราออกไปข้างบ้านแล้วก็จ๊ะเอ๋เข้ากับ เจ้าเหมียวที่กำลังนั่งเฝ้าเหยื่อที่นอนหายใจรวยรินอยู่ตรงหน้า เหยื่อที่ว่าก็คือ นก ลักษณะ อ้วนดำ ปากสีเหลือง(อืม...กินไม่เลือกแฮะ)เราก็เลยเผลอไล่เจ้าเหมียวไปอีก จากนั้นเราก็อุ้มนก เคราะห์ร้ายตัวนั้นมาสำรวจบาดแผลซึ่งก็ไม่มีแต่อย่างใด เราก็เลยเอาไปใส่กล่องแล้วแอบไว้ห้องเก็บของ
หลังบ้าน กลัวเจ้าเหมียวจะย้อนกลับมาอีก คิดว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าจะมาปล่อยแระกันเพราะมันบินได้ไม่สูง คงจะบอบช้ำจากข้างในมากกว่า พอตอนเช้าเรามาดู นกตัวนั้นก็ไม่รอดแล้ว อืม...เราก็เลยจัดแจงเอาไปฝังไว้ใต้ต้นปีบหน้าบ้าน(ไม่รู้ทอดกรอบจะอร่อยป่าวนะ...มาคิดตอนนี้ก็ช้าไปแระ...)^^" ก็เลยคิดในแง่ดีว่าอย่างน้อย เจ้านกน้อยตัวนั้นก็คงได้นอนตายตาหลับล่ะนะเมื่อคืน
ลองคิดภาพว่าเราเข้าไปอยู่ในหนังจักรๆวงศ์สมัยก่อนที่มียักษ์กินคนดูดิ ให้แมวเป็นยักษ์แล้วตัวเราเป็นนกตัวนั้น...กึ๋ย... (*~*)

 ช่วงนั้นดวงเราเป็นไรไม่รู้ต้องได้มาพบเจอ ศพแล้วศพเล่าของทั้ง นก และ หนู อยู่คนเดียวในบ้าน ไหนใครว่า นกมีหู หนูมีปีก ไงล่ะ สรุปไม่รอดเงื้อมมือเจ้าเหมียวซักตัว หลังๆมาเราเริ่มจะทนไม่ไหวแล้ว ก็เลยตัดสินใจนั่ง ลับมีด เอิ๊ก...ไม่ใช่(^^)" เราก็เลยเริ่มคลุกข้าวให้เจ้าเหมียวกินโดยคลุกทิ้งไว้งั้นแหละ กินมั่งไม่กินมั่ง...แต่ก็ดีที่ไม่มีซากของเหยื่อเคราะห์ร้ายของเจ้าเหมียวมาให้เราเห็นอีก...บอกตรงๆนะเหตุผลที่ทำแบบนี้ไม่ใช่เราใจบุญอะไรหรอก แล้วก็ไม่ใช่ใจบาปด้วย(สรุปเราไม่ใช่ทั้งนางฟ้าและซาตานอ่ะแหละ จะอธิบายทำไมเนี่ย(^^)") เหตุผลสำคัญก็คือเรากินข้าวไม่ลงอ่ะ(^A^)(ฟังดูเข้าท่าเนาะ) พักหลังเจ้าเหมียวเริ่มมานอนค้างอ้างแรมที่บ้านเกือบทุกคืน(สงสัยยังโสดอยู่)...พอเช้าก็หายไปเหมือนเดิม แต่ก็นับว่าเป็นสัญญาณที่ดีในการที่จะผูกมิตรกับอาคันตุกะตัวนี้ใช่มั๊ยล่ะ...

เหตุการณ์ก็ดำเนินไปแบบนี้เรื่อยๆจนเราเริ่มชินและเจ้าเหมียวก็คงชินเพราะรู้สึกว่าจะเริ่มปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนบ่อยขึ้น บางวันก็แอบมานอนกลางวันที่โรงรถมั่ง ข้างบ้านมั่ง อยู่ประจำแต่เราไม่เคยได้ยินเสียงร้องของเจ้าเหมียวเลยสักแอะ...ชักสงสัยว่ามันจะเป็นใบ้หรือเปล่าหนอ:p 

จนเช้าวันหนึ่งเราก็ได้ยินเสียงร้องอย่างออดอ้อนสุดฤทธิ์(เอ...จะเป็นไปได้เหรอเจ้าเหมียวที่วันๆเอาแต่ สวย...เริ่ด...เชิด...หยิ่ง จะยอมศิโรราบให้กับเรา)คิดได้อย่างงั้นก็รีบเปิดประตูออกไปดู แต่ผิดคาด ภาพที่เราเห็น กลับเป็น เจ้าเหมียวตัวผู้ ดูไม่คุ้นตานั่งทำหน้าเหรอหรา พอเห็นเราก็ร้องเมี๊ยวๆมาคลอเคลียเล่น รูปพรรณสัณฐานก็ ลำตัวสีขาวแต้มดำเป็นจุดๆ เท้าทั้งสี่เป็นสีขาว หางเป็นดอกสีดำ ปากสีชมพู(น่าอิจฉาชะมัด... ธรรมชาติช่างลงโทษมนุษย์ผู้หญิงอย่างเราได้ขนาดนี้เมื่อเทียบกับแมวตัวผู้ตรงหน้าที่แม้หน้าตาจะมอมแมมแต่ก็ปากสีชมพู๊ชมพูทั้งที่ไม่ได้ผ่านการแต่งหน้าหรือทาลิปกลอสมาเลย..เหอๆ..เริ่มฟุ้งแระกลับมาๆ ต่อ)เมื่อมานั่งพิศรูปร่างของเจ้าเหมียวดูอีกครั้งก็ดูจะผอมโซอยู่ คงจะหิวน่าดู เพราะร้องไม่หยุดเลยเราก็เลยคลุกข้าวให้กิน

 นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเราก็เลยต้องคลุกข้าวสองถ้วย ไว้คนละที่เพราะ มีมี่ดูเหมือนจะไม่ชอบ ทามะ(ตัวผู้...ซึ่งถูกเราตั้งชื่อไปอีกตัว) เจอกันทีไรก็เห็นมีแต่ ทามะอ่ะแหละที่คอยตื้อเค้าแล้วสุดท้ายก็ถูก มีมี่ ทั้งขู่ ทั้ง ข่วน จนเราเผลอคิดไม่ได้ว่าถ้าเป็นโลกของแมว นี่ ทามะคงจะไม่หล่อแน่ๆ เพราะ มีมี่แสดงท่าทางรังเกียจอย่างชัดเจน น่าสงสารสุดๆ ตื้อเค้าอยู่ได้ ลูกเอ๊ย... (แต่ถ้าในโลกของคนก็ถือว่า ทามะ เป็นผู้ชายหน้าหวานเลยล่ะประมาณ กอล์ฟ-ไมค์ยังไงยังงั้น) ช่วงหลังมานี่เราเริ่มสังเกตุเห็นว่า มีมี่จะมาตอนกลางคืนเพราะ ทามะไม่อยู่ พอเช้า มีมี่จะหายตัวไป แล้ว ทามะก็จะปรากฏตัวขึ้น เหมือนเป็นเส้นขนาน เหมือน พระอาทิตย์ กับ พระจันทร์ ที่มีเราเป็นศูนย์กลางมองดูอยู่(แล้วเราจะเป็นไรดีหว่า...ที่คั่นระหว่าง กลางวันกับ-กลางคืน...ความมืดและแสงสว่าง..)				
Calendar
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟโคลอน
ไม่มีข้อความส่งถึงโคลอน