18 ตุลาคม 2549 16:43 น.
โคลอน
ถ้าคนเราเกิดมาเพื่อจะพบกับความสูญเสียก็คงไม่มีใครที่จะสามารถหลบเลี่ยงได้ไม่ว่าจะมีเงินทองมากขนาดไหน หรือมีความรู้มากเท่าไหร่ สุดท้ายก็หมดลมหายใจเหมือนกัน เมื่อสัจธรรมของชีวิตคือ * เกิด แก่ เจ็บ ตาย* แล้วทำไมคนเราจึงต้องแสวงหาสิ่งของมากมายมาประดับชีวิต
คนที่จากไปโดยที่ยังไม่ได้สร้างทุกข์ให้ตัวเองถือได้ว่าเป็นคนไม่มีกรรม หรือ กรรมน้อย แต่ก็ยังมิวายสร้างทุกข์ให้กับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ข้างหลังอยู่ดี
ถ้าหากการทำให้คนอื่นทุกข์ใจ ถือเป็นบาปอย่างหนึ่ง คนที่ยังอยู่ก็ควรอย่างยิ่งที่จะรีบทำใจยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง อย่างน้อยก็เพื่อเป็นการให้เกียรติกับผู้ที่จากไปว่าไม่ได้สร้างทุกข์ให้ใคร หากแต่เหลือไว้ซึ่งใจอันบริสุทธิ์ และ พึงระลึกถึงคุณงามความดี หรือ ความทรงจำที่ดีที่เขาหรือเธอได้มอบให้กับเราเป็นของขวัญก่อนจาก อย่างน้อยช่วงชีวิตที่เหลืออยู่ของเราก็ยังมีเรื่องดีๆให้น่าจดจำบ้าง
เวลาใดที่รู้สึกท้อแท้ หรือผิดหวัง สิ่งต่างๆไม่เป็นไปดังใจคิด หากลองมองในแง่ดี คนเราทุกคนย่อมมีกำลังใจอยู่ข้างตัวเสมอไม่ว่าจะเป็นกำลังใจที่เรามองไม่เห็นจากคนบนฟ้าที่คอยส่งสายตามองมาอย่างห่วงใย หรือ คนคุ้นเคยที่อยู่รอบข้าง ขึ้นอยู่กับว่าเราจะรับได้หรือเปล่า ถ้าหากเรามัวแต่จมอยู่กับความทุกข์ เหงา เศร้า ซึม จนบดบังสิ่งดีๆรอบตัว เราก็คงไม่สามารถรับพลังที่ส่งมาเหล่านั้นได้
ถ้าเราคิดได้ว่าการมีชีวิตอยู่เป็นอีกหน้าที่หนึ่ง ที่คนเราต้องทำนับตั้งแต่ถือกำเนิดขึ้นมาในโลกใบนี้ เราก็ควรจะทำหน้าที่นี้ให้ดีที่สุดโดยไม่สร้างทุกข์ให้กับตัวเองหรือผู้อื่น เมื่อถึงวันหนึ่งที่เราเป็นฝ่ายต้องจากไปบ้าง โลกใบนี้ก็ยังมีพื้นที่ว่างเสมอที่จะเก็บรวบรวมเรื่องราวดีๆของใครสักคน
ปล. สัจธรรมของความสูญเสียที่ได้ค้นพบด้วยตัวเองก็คือ *เมื่อเราร้องไห้แล้ว...เราจะพบว่า ตาบวม หน้ายับย่น หัวหมุนติ้ว เวลามองกระจกเราจะไม่อยากเจอมนุษย์อื่นอีกเลย...ถ้าหากการร้องไห้จะช่วยย้อนอดีตได้เราก็คงร้องทุกวันจนกว่าทุกอย่างจะดีดังเดิม แต่เมื่อมันไม่ใช่ก็จงยอมรับ เรียนรู้ที่จะอยู่กับมันให้ได้ดีกว่า
(o*^____^*o)
3 ตุลาคม 2549 16:37 น.
โคลอน
เป็นคำถามที่ดูจะตอบได้ง่ายๆ ถ้าคนที่ฟังหรืออ่านไม่เคยผ่านความรู้สึกเหล่านี้มาก่อน
...............................................................................................
ฉันพยายามทั้งชีวิตเพื่อหนีเงาของตัวเอง แต่ยิ่งหนีมันก็ยิ่งตามเรามา ถ้าเราวิ่งมันก็วิ่งไปกับเราด้วย ถ้าเราเดินมันก็เดินไปกับเราด้วย แม้กระทั่งเวลาเราหกล้มมันก็ยังล้มเป็นเพื่อนกับเราไปด้วย(ทำไมล่ะ ...ฉันอายคนเดียวไม่พอใช่มั๊ย?)
"อะไรกันนะเนี่ย...ไม่ได้ขอให้มาด้วยสักหน่อย ไม่มีเธอฉันก็ไปของฉันเองได้....ฉันเหนื่อยแล้วนะที่เธอมาเกาะติดฉันแจแบบนี้ ปล่อยๆฉันไปคนเดียวหน่อยได้มั๊ย?"
...เงียบ...ไม่มีแม้เสียงตอบรับหรือปฏิเสธใดๆทั้งสิ้น....เงียบจนฉันได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเองอย่างชัดเจน ชัดจนน่าใจหาย
ได้เลย...ขอฉันพักเอาแรงก่อน แล้วรับรองว่าพรุ่งนี้ฉันจะย่องหนีเธอก่อนที่เธอจะทันรู้ตัวด้วยซ้ำ(ฉันแอบวางแผนในใจ)
...แค่คิดก็ผิดแล้ว...ไม่ต้องรอให้เธอเผลอเลย พอฉันขยับตัวเธอก็พร้อมแล้วที่จะไปกับฉันโดยไม่เคยถามสักคำว่าฉันกำลังจะไปไหนเธอต้องการอะไรจากฉันกันแน่นะทั้งๆที่เวลาฉันมีความสุขฉันก็ไม่เคยเห็นรอยยิ้มของเธอสักครั้ง หรือเวลาที่ฉันมีความเศร้าก็ไม่ยักกะมีน้ำตาของเธอสักหยดที่จะร้องไห้ไปกับฉัน แล้วเธอจะอยู่กับฉันไปเพื่ออะไร?
เปล่าเลย...เธอไม่ได้ทำอะไรผิดสักนิดเธอยังเป็นเธอเหมือนเดิมตั้งแต่วันแรกที่ฉันเห็นเธอ...ตรงกันข้าม กลับเป็นฉันเองต่างหากที่เปลี่ยนไปนี่ฉันกำลังทำอะไรอยู่...ฉันถามตัวเองอย่างตรงไปตรงมาด้วยความจริงใจเป็นครั้งแรกในชีวิต....ฉันวิ่งหนีตัวเองทำไม...แม้เธอจะเป็นแค่"เงา" แต่เธอก็คือส่วนหนึ่งในความเป็นฉัน
เธอรู้จักฉันทุกแง่มุม...เธอเห็นฉันอย่างที่ไม่เคยมีใครเห็น...ยกเว้นเวลาที่ฉันหาที่อยู่ที่เธอจะไม่สามารถตามฉันไปได้ แต่ฉันก็อยู่ได้ไม่นาน ฉันไม่สามารถอยู่ในที่ๆไม่มีเธอได้ เพราะที่ๆไม่มีเธออยู่มันดูเงียบเหงาและอ้างว้างเหลือเกิน
ตอนนี้ฉันเรียนรู้ที่จะรักและอยู่กับเธออย่างมีความสุขได้แล้ว...เวลาใดที่ฉันรู้สึกเหนื่อยที่มีเธอเดินร่วมทางหรือตามไปทุกที่ที่ฉันไม่อยากให้ไป ฉันก็แค่อยู่นิ่งๆ....นั่งพักใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ร่มรื่น ลมเย็นสบาย ปล่อยใจให้ล่องลอยไปกับสิ่งรอบตัว มองดูความสวยงามของธรรมชาติรอบข้าง เก็บดอกไม้ตามทางที่ผ่านมาใส่ใจเอาไว้
"ตอนนี้ฉันไม่ต้องวิ่งหนี"เงา"ของตัวเองให้เหนื่อยแล้วล่ะ"