6 พฤศจิกายน 2550 11:40 น.
โคลอน
เคยมีคนต่างชาติถามว่า ทำไมคนไทยต้องคุกเข่าทำความเคารพในหลวงด้วย
พวกเขาคงไม่รู้หรอกว่าพระองค์ ทรงคุกเข่า ท่ามกลางประชาชนของพระองค์เหมือนกัน
26 ตุลาคม 2550 09:42 น.
โคลอน
***สุภาษิต***
กิ้งก่าได้ทอง-จั๊กก่าได้ทอง
เข็นครกขึ้นภูเขา = หยู้ครกขึ้นดอย
น้ำขึ้นให้รีบตัก = น้ำขึ้นขะไจ๋ตัก
ขี่ช้างไล่จับตั๊กแตน = ขี่จ้างไล่ยับตั๊กแต๋น
ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ= ต๋ำน้ำพริกไน่แม่น้ำ
.............................................................................
หมวดคำศัพท์ที่คนมักจะถามความหมายกันบ่อยหรือไม่ค่อยได้ยิน
***สี ***
ดำคิลิ - ดำสุดๆ
เส้าแก๊ก = สีหม่นหมองมาก
ขาวเผื้อะขาวเผือก = มองไปทางไหนก็ขาวไปหมด
ขาวโจ๊ะโฟ้ะ = ขาวมากๆ
แดงปะหลึ้ง = แดงจัดมาก
.................................................................................................
***เสียง-แสง***
มืดสะลุ้ม - มืดสลัวๆ
แจ้งลึ้ง = สว่างโร่เห็นได้ชัด
ดั้กปิ้ง = เงียบกริบ
ดั้กปิ้งเย็นวอย = เงียบเชียบ
ดั้กแส้ป = ไม่ได้ข่าวคราว
.................................................................................................
***รส***
จ๋างแจ้ดแผ้ด = จืดชืด
ขมแก๊ก = ขมมาก
ส้มโจ๊ะโล๊ะ = รสเปรี้ยวมาก
ฝาดหยั่งก้นตุ๊ = รสฝาดมาก (ตุ๊ = พระ... สงสัยจังว่าใครเคยชิมน้ำล้างก้นพระมาแล้วในอดีตถึงกล้าเอามาเปรียบเปรย555)
................................................................................................
***คำกริยา***
กำปั้น หมัด = ลูกกุย
โกรธ = โขด
กลับ = ปิ๊ก (เช่น "เฮาปิ๊กบ้านละหนา")
กางร่ม = กางจ้อง
โกหก = วอก ขี้จุ๊
กิน = กิ๋น
ก่าย = ปาด อิง
ขโมย = ขี้ลัก
ขี้เหนียว = ขี้จิ๊
คิด = กึ๊ด
เครียด = เกี้ยด
จริง = แต๊(เช่น "แต๊ก๊ะ" = "จริงหรอ")
เจ็บ = เจ๊บ
ใช้ = ใจ๊
ดู = ผ่อ
เด็ก = ละอ่อน
ตกคันได = ตกบันได
เที่ยว = แอ่ว
ทำ = ยะ(เช่น "ยะหยัง" = "ทำอะไร")
นั่งพับเพียบ = นั่งป้อหละแหม้
นั่งขัดสมาธิ = นั่งขดสะหวาย
นั่งยอง ๆ = นั่งข่องเหยาะ,หย่องเหยาะ
นั่งไขว่ห้างเอาเท้าข้างหนึ่งพาดบนเข่า = นั่งปกขาก่ายง้อน
นั่งวางเฉย นั่งหัวโด่ = นั่งก๊กงก
นั่งลงไปเต็มที่ตามสบาย(โดยไม่กลัวเปื้อน) = นั่งเป้อหละเหม้อ
พูด = อู้
รัก = ฮัก
ก้าย = เบื่อ
รู้ = ฮู้
ลื่นล้ม = ผะเลิด
ต้าว = หกล้ม
วิ่ง = ล่น
สะดุด = ข้อง
สวย = งาม
เหรอ = ก๊ะ
หึง = ขาง
เหนื่อย = อิด
ให้ = หื้อ
บ่ะตัน = ไม่ทัน
อยาก = ไข (อยากนอน = ไขนอน,อยากอ้วก = ไขฮาก )
อร่อย = ลำ (อร่อยมาก = จ๊าดลำ, อร่อยจริงๆ = ลำแต๊แต๊)
แห๋ม = อีก (แห๋มแล้ว = อีกแล้ว, แห๋มกำ = อีกที,แห๋มกา = อีกหรือ)
อย่าพูดมาก = จะไปปากนัก
อย่าพูดเสียงดัง = จะไปอู้ดัง
คิดไม่ออก = กึ๊ดหม่ะออก
ไม่รู้จักคิด = บ่ะฮู้จักกึ๊ด
ไม่ทันคิด = บ่ะตันกึ๊ด
ขี้คร้าน = ขี้เกียจ
ง่าว = โง่
แต่ถ้าใครโดนว่า จ๊าดง่าว นี่แปลว่า โคตะระโง่เลยนะ...
หลวก = ฉลาด
เพ๊อะ = เลอะเทอะ
เหี้ยเบ๊อะเหี้ยเบ๋อ = เทกระจาด ,กระจัดกระจาย (ไม่ใช่คำด่านะคะ...อิอิ)
ปะเลอะปะเต๋อ = เยอะแยะ
สุมมาเต๊อะ = ขอโทษนะ
สล่า (สะ-หล่า) = ช่าง
...................................................................................................
***คำนาม สรรพนาม***
ฉัน = เปิ้น (สุภาพ) , ฮา(ไม่ค่อยสุภาพส่วนใหญ่ใชักับเพื่อนผู้ชาย)
เธอ = ตั๋ว(สุภาพ) , คิง(ไม่ค่อยสุภาพส่วนใหญ่ใชักับเพื่อนผู้ชาย)
เขา(สรรพนามบุรุษที่ 3) = เปิ้น
ปู่ย่าตายาย ลุงป้าน้าอา = อุ้ย (เช่น แม่อุ้ย ป้ออุ้ย)
ผู้ชาย = ป้อจาย
ผู้หญิง = แม่ญิง
พวกเขา = หมู่เขา
พวกเธอ = สูเขา (สุภาพ), คิงเขา(ไม่ค่อยสุภาพส่วนใหญ่ใชักับเพื่อนผู้ชาย)
พวกเรา = หมู่เฮา, เฮาเขา
พ่อ = ป้อ
พี่ชาย = อ้าย,ปี้
พี่สาว = ปี้
ยี่สิบบาท = ซาวบาท
ยี่สิบเอ็ด = ซาวเอ็ด
ปฏิทิน = ปั๊กกะตืน คำเมืองแท้ๆจะแปลว่าปฏิทิน , บันทึกช่วยจำ
ใคร = ไผ
เรา = เฮา
....................................................................................................
***สัตว์***
จิ้งหรีด = จิ้กุ่ง,จิ้ฮีด
ค้างคก = ค้างคาก
ลูกอ๊อด = อีฮวก
ปลาไหล = ปลาเหยี่ยน
จิ้งเหลน = จั๊ก-กะ-เหล้อ
กิ้งก่า = จั๊ก-ก่า
จิ้งจก = จั๊ก-กิ้ม
ตุ๊กแก = ต๊กโต
.....................................................................................................
***พืช ผัก ผลไม้***
มะละกอ = บะก้วยเต๊ศ
น้อยหน่า = บ่ะหน้อแหน้
บวบงู = บ่ะนอยงู
มะเขือเปราะ = บะเขือผ่อย
มะเขือยาว = บะเขือขะม้า
มะระขี้นก = บะห่อย
แตงกวา = บะแต๋ง
กล้วยน้ำว้า = ก้วยใต้
พุทรา = หม่ะตัน
ละมุด = หม่ะมุด
กระท้อน = บะตื๋น
มะปราง = บะผาง
ฝรั่ง = บ่ะก้วยก๋า
ขนุน = บ่ะหนุน
มะพร้าว = บะป๊าว
ส้มโอ = บะโอ
ฟักทอง = บะฟักแก้ว
ฟักเขียว = บะฟักหม่น
มะแว้ง = บะแขว้งขม
มะเขือพวง = บะแขว้ง
มะเขือเทศ = บะเขือส้ม
กระท้อน = บะตึ๋น
ตะไคร้ = ชะไคร , จั๊กไคร
คึ่นช่าย = ผักกะพึน
ผักตำลึง = ผักแคบ
ชะพลู = ผักแค
.....................................................................................................................
***มีเรื่องเล่าขำๆจากโต๊ะอาหาร***
มีคนบนดอยเผ่าไหนไม่พาดพิงดีกว่าเนาะ...ถาม คนพื้นราบว่า
คนบนดอย said: คนเมืองนี่ง่าวเนาะ...กิ๋นข้าวแล้วยังกิ๋นน้ำได้อยู่....เฮากิ๋นข้าวแล้วกิ๋นน้ำตึงบ่ะได้
คนพื้นราบ:
.......................................................................................................................
***อีกเรื่องเกี่ยวกับฟุตบอลนะคะ***
คนบนดอย said: คนเมืองนี่ง่าวเนาะ บอลแก่นเดวลู่กั๋นอยู่ฮั่น....สู้เฮาบ่ะได้ซื้อบอลแจกลูกคนแก่นเลย...บ่ะต้องลู่กั๋น
คนพื้นราบ :
..................................................................................................................
แวะมาเล่าแล้วชิ่ง...อิอิอิ
7 กันยายน 2550 10:12 น.
โคลอน
เมื่อสามวันที่ผ่านมา ยายของฉันไม่สบายต้องเข้าไอซียู ทุกคนที่บ้านอยู่พร้อมเพรียงกันตั้งจิตอธิษฐานให้ยาย ปลอดภัย ฉันกับน้าอยู่ไกลแต่ใจไปอยู่หน้าห้องไอซียูแล้ว แม่เล่าให้ฟังว่า
พอยายฟื้น ประโยคแรกที่ยายพูดก็คือ"นิมนต์พระมาหรือยัง" และยายก็พูดอะไรเยอะแยะอีกมากมายปะติดปะต่อเรื่องราวไม่ได้ ในขณะที่ตาท่านเหม่อลอยอยู่ ช่วงเวลานั้นแม้แต่ผู้ชายตัวโตๆก็ร้องไห้ได้อย่างไม่อายใคร ฉันสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของแม่ในขณะที่เล่า แม่ของฉันเป็นผู้หญิงที่แข็งและเป็นคู่กัดกับยายมาตลอด บ่อยครั้งที่ฉันต้องเป็นกรรมการบนเวทีและแอบเอนเอียงมาฝั่งยายเล็กน้อย เพราะฉันไม่ชอบที่แม่จะไปงัดข้อกับยายซึ่งไม่สมควร โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองก็ทำแบบเดียวกัน พอยายไม่สบายหนักจึงได้เห็นอีกมุมหนึ่งที่ไม่เคยเห็น ความอ่อนโยนยังมีอยู่ในตัวแม่ และความเข้มแข็งยังมีอยู่ในตัวยาย
ขณะที่นั่งพิมพ์อยู่นี้ยายก็ยังอยู่ในห้องไอซียูอยู่แต่อาการดีขึ้นเรื่อยๆจนน่าอัศจรรย์ จากที่ทุกคนเห็นก็คือ ความสดใสของยายได้ฟื้นกลับมาเหมือนดั่งนกฟินิกส์ มันทำให้ฉันหายใจได้โล่งขึ้น โลกดูน่าอยู่ขึ้นทั้งๆที่ก็เป็นโลกใบเดิม ยายพูดคุยเล่าเรื่องเฮฮาสมัยตัวเองยังเป็นเด็ก ไม่รู้
เพราะอะไรยายถึงยังจำได้ดีทุกเรื่องราวทั้งๆที่ยายไม่เคยพูดถึง หรือเพราะจริงๆแล้วยายไม่เคยลืมเลยต่างหาก ทุกคนที่บ้านบอกว่า ยายเล่าไปหัวเราะไปจนทุกคนอดที่จะขำตามไม่ได้ จนนางพยาบาลต้องเชิญตัวทุกคนให้ออกไปนั่งรอหน้าห้องไอซียูเหมือนเดิม แต่ฉันเชื่อว่าแม่และน้าๆของฉันไม่ได้ตั้งใจจะรบกวนคนไข้ท่านอื่นหรอก เพียงแต่เสียงหัวเราะเบาๆของคน6-7
คนมันคงจะมีพลังเท่านั้นเอง:p วันหยุดนี้ฉันคงไม่อยู่ ก.ท.ม หรอกเชื่อขนมกินได้เลย ฉันจะไปนั่งฟังยายเล่าเรื่องตลกดีกว่า เพราะมันน่ารื่นรมย์กว่าฟังจากแม่ทางโทรศัพท์เยอะเลย
ยายบอกว่า"ไม่ต้องกลัวเดี๋ยวจะเขียนพินัยกรรม แบ่งหนี้เป็นก้อนๆ ไม่ต้องแย่งกัน ได้ทุกคน"(รู้สึกสำนวนการพูดแบบนี้จะคุ้นๆ555โดนย้อนรอย) (T_____T)(^____^)หัวเราะทั้งน้ำตา พอจะนึกหน้าตาของทุกคนออก...นี่แหละนะ รอยยิ้มในห้องไอซียู ที่อยากจะประกาศให้โลกรู้ว่า "ฉันภูมิใจในตัวยายจริงๆ"
19 มิถุนายน 2550 13:07 น.
โคลอน
เช้าวันนี้มีนัดฟังผลตรวจร่างกายของ ยาย หลังจากที่เมื่อวานน้าพายายมาตรวจ....ช่วงเวลาที่รอผลอยู่หน้าห้องตรวจใจก็มีตุ๊มๆต่อมๆแต่ก็พยายามไม่ให้ยายจับสังเกตุได้เลยหยิบนิตยสารมาอ่านเล่น...ตอนแรกก็อ่านแค่ฆ่าเวลาเฉยๆจนมาถึงคอลัมน์หนึ่งชื่อว่า...***คุณจะทำอะไรดีๆกับคนแปลกหน้า***เป็นเรื่องของผู้หญิงคนหนึ่งที่พยายามทำดีกับคนแปลกหน้าภายใน1วัน...เท่าที่จำได้คร่าวๆก็มีหลายอย่างเช่น
1.เข้าไปในเซเว่นทักทายตอบพนักงานขายอย่างตั้งใจและถามไถ่ว่าทำงานเหนื่อยมั๊ย...ซึ่งพอไปสอบถามพนักงานขายที่เคาน์เตอร์ก็บอกว่าตอนแรกตกใจเพราะตั้งแต่ทำงานมามีน้องคนนี้คนแรกที่ทักทายตอบอย่างตั้งใจ
2.ซื้อกาแฟให้คนที่มารอคิวต่อจากเรา...ซึ่งคนแรกไม่เอา ทำหน้าแปลกๆ...คนที่สองรับมาอย่างเบลอๆงงๆ
3.ซื้อพวงมาลัยจากเด็กแถวสี่แยกและแจกตุ๊กตาให้...ซึ่งมีเด็ก2คนที่ได้รับตุ๊กตา ยิ้มแก้มปริ เด็กคนแรกเป็นผู้หญิงตอบว่า รู้สึกดีใจ เพราะที่บ้านมีตุ๊กตาแค่ตัวเดียว และตัวไม่ใหญ่เท่านี้ จะเอาไว้นอนกอด...เด็กคนที่สองเป็นผู้ชายบอกว่าดีใจมากเพราะไม่เคยได้ของชิ้นใหญ่อย่างนี้มาก่อน เพราะส่วนใหญ่คนซื้อที่ใจดีจะให้ลูกอมบ้าง ขนมบ้าง น้ำบ้าง ตุ๊กตาตัวนี้จะเอาไปวางไว้บนทีวีเพราะไม่มีเตียงและห้องนอน
4.ซื้อขนมแจกคนงานก่อสร้าง ตอนแรกเธอคิดว่า จะไม่มีใครรับ แต่พอรถติดไฟแดงตรงที่คนงานก่อสร้างผู้หญิงยืนจับกลุ่มกันอยู่ก็ลองเอาขนมยื่นให้ไปแต่ผิดคาด คนงานก่อสร้างผู้หญิงรับมาอย่างดีใจและแกะกินตรงนั้นเลยพร้อมคำขอบคุณเพราะเป็นช่วงพักทานอาหารและกำลังหิวพอดี
5.ทักทายคนแปลกหน้า...เธอเดินเข้าไปทักผู้ชายคนหนึ่งว่าเสื้อสวยดี จะซื้อไปให้เพื่อนมั่ง ซื้อที่ไหนเหรอ...ผู้ชายคนนั้นตอบแบบเขินอายพร้อมรอยยิ้มภูมิใจ...แต่พอเข้าไปทักทายคนที่สองที่เป็นผู้หญิง ปฏิกริยาที่ได้ต่างออกไป...ผู้หญิงคนนั้นบอกเพียงว่า ที่ไหนก็มีขายพร้อมสายตาระแวง...จากนั้นก็รีบเดินจากไปโดยเร็ว
6.ช่วยสาวออฟฟิศเลือกซื้อเสื้อ...แรกๆมีแต่คนถอยหนี...เพราะจากการแต่งตัวทุกคนก้รู้ว่าไม่ใช่พนักงานขาย แต่ก็มีอยู่คนหนึ่งที่ยอมพูดคุยด้วย
7.ช่วยคนเดินข้ามถนน...คนแรกรีบเดินข้ามไปก่อนที่จะทันช่วยอะไร...คนที่สองยินดีให้ช่วย
8.ช่วยคุณยายขายทิชชูข้างถนน....เธอเข้าไปพูดคุยกับคุณยายจนได้รู้ว่าคุณยายไม่มีเงินต้องมาขายทิชชูกล่องละ5บาทข้างถนนทุกวันทั้งๆที่ขาเจ็บ...เลยสวมวิญญาณนักขายช่วยคุณยายขาย แต่แอบเพิ่มราคาให้ยายเป็นกล่องละ 10 บาท แรกๆไม่มีใครสนใจแค่เดินผ่านไปเฉยๆไม่แม้จะหยุดฟังเรื่องราวที่เธออยากเล่าเกี่ยวกับคุณยาย...แต่ด้วยความพยายามสุดท้ายเธอก็ขายหมดและนำเงินไปให้คุณยาย
เราอาจจะจำตกหล่นไปบ้างแต่เรื่องราวทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริงที่ นิตยสารแมรี่ แคลร์ ฉบับเดือนสิงหาคม 2006 ได้จัดทำสกู๊ปนี้ขึ้น...พออ่านจบก็ทำให้เรายิ้มได้...แต่ก็ไม่นานเพราะ...
หลังจากที่ฟังผลตรวจแล้วเราก็กลับมาใจสั่นอีก...พยายามนั่งกำหนดลมหายใจอยู่หน้าเคาน์เตอร์ยา...เรานั่งอยู่ตรงกลางระหว่างคุณยายของเรา กับคุณยายอีกคนที่เป็นคนแปลกหน้าและเราไม่ได้สังเกตุด้วยว่าหน้าตาท่านเป็นยังไงเพราะกำลัง อึ้งกับผลตรวจอยู่...ยายเรายังไม่รู้ผลและเราก็บอกว่า ปกติไม่เป็นอะไร...หลังจากนั้นเราก็ไม่อยากพูดอะไรอีกเพราะมันจุกอยู่ที่คอ...จนต้องกำหนดลมหายใจอีก
สักพัก คุณยายแปลกหน้าที่อยู่ข้างๆก็ชำเลืองมอง สงสัยคุณยายจะรู้ว่าเรากำหนดลมหายใจอยู่หรือเปล่านะอันนี้เราก็ไม่รู้...เราก็เลยหันไปสบตาคุณยายแปลกหน้าคนนั้น แล้วยิ้มให้ คุณยายก็ยิ้มตอบเหมือนว่า มองเรามานานแล้ว...คุณยายแปลกหน้าคนนั้นถามเราว่า"หนูมากับคุณยายคนนั้นเหรอ" คุณยายพูดพร้อมหันหน้าไปทาง คุณยายของเราที่นั่งนิ่งๆอยุ่ข้างๆ ...เราก็ตอบไปสั้นๆพร้อมรอยยิ้มว่า "ค่ะ" คุณยายแปลกหน้าคนนั้นก็ชวนเราคุยต่อว่า "คุณยายหนู อายุเท่าไหร่เหรอ" เราก็ตอบไปว่า "อายุ 78 ปี ค่ะ ยายล่ะคะ" คุณยายแปลกหน้าคนนั้นก็ตอบพร้อมรอยยิ้มละไมว่า "ยาย 82 แล้วมาตรวจร่างกาย เป็นหลายโรคเลยทั้ง หัวใจ หลอดลม ความดัน ไธรอยด์ ข้อเข่า กระดูก" อ่า...อึ้งรอบ 2 แต่ที่เราอึ้งไม่ใช่อึ้งกับโรคที่คุณยายคนนั้นเป็น แต่เราอึ้งที่คุณยายสามารถพูดถึงโรคประจำตัวที่ตัวเองเป็นและรักษามา10ปีแล้ว อย่างอารมณ์ดีและรอยยิ้มนั้น ติดตาเราเหลือเกิน...เหมือนใครน๊อ...เราแอบคิดในใจ...หลังจากหายอึ้งเราก็พูดกับคุณยายคนนั้นว่า"คุณยายเป็นหลายโรคก็จริง แต่ใบหน้ายังสดใส แบบนี้สุดยอดเลยค่ะ" คุณยายคนนั้น หัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี อืม...เรานึกออกแล้วว่าคุณยายคนนั้นเหมือนใคร...เหมือนปู่เย็น นี่เอง ต่างกันตรงที่คุณยายเป็นผู้หญิง ผิว ขาว หน้าออกหมวยๆ น่ารักจัง...เราก็เลยชวนคุณยายเรา กับ คุณยายคนนั้นคุยกัน คุณยายกำลังรอ ลูกชายที่ไปเอารถมารับอยู่...ส่วนเราก็รอรับยาให้คุณยายอยู่ก็เลยได้คุยกัน ก่อนที่คุณยายคนนั้นจะกลับก็ยังทำให้เราอึ้งได้กับคำพูดที่ว่า "ขอบคุณนะ ที่คุยกับยาย"...เรารีบตอบกลับไปว่า "ขอบคุณ ยายด้วยค่ะที่คุยกับหนู" แม้จะเป็นคนแปลกหน้าที่เจอกันพูดคุยแค่ไม่กี่นาที แต่ทำให้เรารู้สึกซาบซึ้งและตื้นตันจนบอกไม่ถูก เพราะทำให้เรารู้สึกดีขึ้นและกล้าที่จะบอก ยาย เกี่ยวกับผลตรวจเพื่อให้ ยาย ยอมรับความจริงและอยู่กับมันให้ได้ดีกว่าจะมาปิดบังและยายไม่รู้ตัวเอง และซึมเซาไปวันๆ...เราเริ่มร่ายยาว...ถึงเรื่อง จะอยู่อย่างไรให้ชีวิตมีความสุข เวลาไม่สบาย ยาย ควรกำหนดลมหายใจ ออกกำลังกายและ ทำจิตใจให้แจ่มใส โดยยกตัวอย่างคุณยายแปลกหน้าคนเมื่อกี้ให้ฟังอีกครั้ง ตอนนี้ ยายของเราเริ่ม ยิ้มแย้มและกลับมาถึงบ้านก็กินยาอย่างเคร่งครัด กินข้าวเยอะขึ้น และออกกำลังกายโดยการเดินจงกรม...นี่ขนาดวันเดียว ยายยังเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้...คงเพราะคุณยายแปลกหน้าคนนั้นได้มาช่วยเพิ่มความกล้าที่จะให้เราพูดกับคุณ ยาย อย่างตรงๆและยอมรับความเป็นจริงและอยู่กับมันให้ได้อย่างมีความสุขนี่เอง.......ขอบคุณ คุณยายแปลกหน้าคนนั้นที่เจอกันตรงหน้าเคาน์เตอร์ยา ร.พ มงกุฏวัฒนะ...ยายคงไม่ได้มาอ่านหรอกแต่อยากขอบคุณจริงๆค่ะ...บางครั้งกำลังใจจากคนแปลกหน้าก็มีค่ามากมายในชีวิต