ลองดูแต่ละภาพไปก่อนนะคะ สีขาวๆที่ มด ใช้ความพยายามและความสามัคคีช่วยกันแบกกลับบ้านเพื่อเป็นอาหารประทังชีวิตก็คือ เศษซาลาเปาที่ติดอยู่ก้นกระดาษที่เราคิดว่านิดหน่อย....แต่กลับเป็นอาหารมื้อสำคัญต่อชีวิตน้อยๆอีกหลายชีวิต ********************************************************************* ***สิ่งที่ได้เรียนรู้จากวิถีชีวิตของมดคือ*** ถึงแม้มดจะเป็นสัตว์ที่มีขนาดเล็กมากถ้าเทียบกับโลกใบนี้ และทุกวินาทีต้องเจอกับอันตรายทุกย่างก้าว แต่มดก็ยังคงก้าวเดินไปข้างหน้า ทั้งที่ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาอีกหรือเปล่า..... สิ่งหนึ่งที่ช่วยให้มดมีความมั่นใจในการใช้ชีวิตและต่อสู้กับอุปสรรคคือ"น้ำใจ" การช่วยเหลือซึ่งกันและกันในสังคม สิ่งเหล่านี้แม้จะมาจากความรู้สึกเล็กๆของมดตัวน้อยๆ แต่กลับยิ่งใหญ่จนมนุษย์อย่างเราอดที่จะค้อมตัวลงนั่งสังเกตุและชื่นชมกับภาพตรงหน้าไม่ได้ ความรู้สึกแรกที่เอาเศษซาลาเปาวางไว้ ก็แค่อยากดูว่ามดจะใช้เวลานานไหมกว่าจะขนย้ายซาลาเปาหมด แต่ความรู้สึกต่อมากลับกลายเป็นว่าเราได้มองเห็นความพยายามและความอุตสาหะของมดแต่ละตัวที่จะแบกซาลาเปาที่มีน้ำหนักมากกว่าตัวเองกลับบ้านให้ได้ พอแบกไปได้สักพัก ระหว่างทางเวลาที่เจอกันแต่ละตัวก็จะหยุดคุยกันนิดนึง.... จากนั้นไม่นาน ก็จะมีมดอีกหลายตัวมาช่วยกันแบกซาลาเปาที่เพื่อนแบกมาแต่ละก้อนนั้น เดินตามกันไปเป็นสาย...โดยเราก็ไม่รู้ว่าจุดหมายปลายทางอยู่ไกลไหม และแต่ละตัวจะกลับทางเดียวกันหรือเปล่า แล้วจะแบ่งกันยังไง นี่แหละความคิดมนุษย์มักจะคิดถึงผลประโยชน์มาก่อนเสมอ เหมือนจะยิ่งตอกย้ำให้เราได้มองเห็นว่า สิ่งเล็กๆน้อยๆที่มนุษย์ตัวใหญ่อย่างเราๆคิดว่าไม่สำคัญตั้งแต่แรก...ความจริงแล้วมันสำคัญ และตระหนักได้ว่ามันกำลังจะเหือดหายไปจากสังคมของมนุษย์แล้วคือ"น้ำใจ" จากหนึ่ง เป็นสอง เป็นสาม เป็นสี่ ห้า หก เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากกลุ่มหนึ่ง ไปอีกกลุ่มหนึ่ง คงจะดีไม่น้อย ถ้ามนุษย์อย่างเราๆท่านๆ หันมามองมดตัวเล็กๆที่อยู่รอบตัว ว่าพวกเขามีหัวใจที่ยิ่งใหญ่แค่ไหน ********************************************************************* เช้าวันเสาร์ที่ผ่านมา ขณะที่กำลังรดน้ำต้นไผ่อยู่ จู่ๆก็มีภาพมดแตกรังวิ่งพล่านไปทั่ว แต่ละตัวจะแบกไข่สีขาวๆแทบจะทุกตัวเลยก็ว่าได้ เพื่อหนีตาย เหมือนคนเราเวลาน้ำจะท่วมโลกก็คงจะความรู้สึกประมาณนี้.... เรารีบปิดน้ำแทบไม่ทัน และเฝ้าดูเหตุการณ์สำคัญที่เกิดกับชีวิตของมดในเช้าวันนั้นอย่างใจหาย.....และอยากจะขอโทษเหลือเกินที่ทำให้วุ่นวายแต่เช้า อีกเหตการณ์หนึ่งถ่ายเก็บไว้เพราะเป็นครั้งแรกที่เห็นมดช่วยกันแบกอาหารเม็ดที่เราวางไว้ให้แมวขนกลับบ้าน นอกจากแมว มด แล้ว ยังมี นกอีกที่ชอบกินอาหารเม็ด แต่กดชัตเตอร์ไม่ทันซักที ********************************************************************* อืม....มีรูปมดแถมต่อท้ายอีกนิด มีใครทราบมั๊ยคะว่า มดชนิดนี้ชื่ออะไร เพิ่งเคยเห็นครั้งแรกค่ะ ช่วงบั้นท้ายสีเขียวๆเหมือนใบไผ่เลย เคยเห็นแต่สีส้มๆ ไม่ก็ดำๆ เอ...หรือว่ามดชนิดนี้ก็เปลี่ยนสีตามสภาวะแวดล้อมที่ตัวเองอยู่เหมือนจิ้งจก.... ********************************************************************* เรามาทำความรู้จัก"มด" สัตว์โลกน่ารักชนิดนี้ให้ดีขึ้นกว่านี้อีกหน่อยนะคะ ขอบคุณข้อมูลต่อไปนี้จากเว็บ - วิกิพีเดีย (สารานุกรมเสรี) http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A1%E0%B8%94 มด เป็นสัตว์ในวงศ์ Formicidae อันดับ Hymenoptera มีจำนวนชนิดมากกว่า 12,000 ชนิด โดยพบมากในเขตร้อนของโลก มดมีการสร้างรังเป็นอาณาจักรขนาดใหญ่ บางรังมีจำนวนประชากรมากถึงล้านตัว มีการแบ่งวรรณะกันทำหน้าที่คือ วรรณะมดงาน เป็นมดเพศเมียเป็นหมัน ทำหน้าที่หาอาหาร สร้างและซ่อมแซมรัง ปกป้องรังจากศัตรู ดูแลตัวอ่อน และงานอื่นๆ ทั่วไป เป็นวรรณะที่พบได้มากที่สุด วรรณะสืบพันธุ์ เป็นมดเพศผู้ และราชินี เพศเมีย มีหน้าที่สืบพันธุ์ เนื่องจากมดเป็นสัตว์ในวงศ์ Formicidae จึงสามารถผลิตกรดมดหรือกรดฟอร์มิกได้เป็นลักษะเฉพาะของสัตว์ในวงศ์นี้ ***วรรณะมด*** - มดราชินี (queen) เป็นมดเพศเมียที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ก่อนที่จะเป็นมดราชินี จะเป็นมดเพศเมีย (female) ธรรมดาก่อน เป็นมดมีปีก เมื่อผสมพันธุ์แล้วจะสลัดปีกทิ้งไป แล้วเริ่มสร้างรังวางไข่ มดราชินีจะเป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตของมดทั้งรัง ตั้งแต่กำหนดเพศ จำนวนประชากร และพฤติกรรมต่างๆ เปรียบเหมือนเป็นศูนย์รวมของมดทุกชีวิตเลยก็ว่าได้ หากมดราชินีถูกฆ่าตาย มดตัวอื่นๆ จะขาดที่พึ่งและแตกกระจายกันไปไม่มีจุดหมาย อยู่เพื่อรอวันตายซึ่งอาจจะตายเองหรือถูกสัตว์อื่นกินเป็นอาหาร โดยทั่วไปมดรังหนึ่งจะมีมดราชินีเพียงตัวเดียวเท่านั้น - มดเพศผู้ (male) เป็นมดตัวผู้ มีปีกมีขนาดใกล้เคียงกับมดงาน มีหน้าที่เพียงแค่ผสมพันธุ์อย่างเดียว ในรังหนึ่งมีมดเพศผู้อยู่ไม่มาก และจะเกิดเพียงรุ่นเดียวเท่านั้นในรอบปี - มดงาน(worker) เป็นมดตัวเมียที่เป็นหมัน ไม่มีปีก มีหน้าที่คอยหาอาหารป้องกันศัตรู ดูแลรังไข่และตัวอ่อนรวมทั้งมดราชินี มดที่เราเห็นส่วนใหญ่ล้วนเป็นมดงานทั้งสิ้น มดรังหนึ่งจะมีมดงานจำนวนมากเพราะเกิดได้หลายรุ่นในรอบปี มดบางชนิดยังอาจแบ่งมดงานเป็น มดทหาร ซึ่งมีขนาดลำตัวใหญ่ (แต่เล็กกว่ามดราชินี) อาจพบได้ภายในรังและบริเวณใกล้รังเพื่อป้องกันศัตรูต่างๆ อีกประเภทหนึ่งคือ มดกรรมกร มีขนาดเล็กกว่ามดทหาร พบได้ในบริเวณที่ห่างรังออกไปเนื่องจากต้องไปหาอาหารตามที่ต่างๆ อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บ วิกิพีเดียนะคะ ********************************************************************* บทเรียนต่อไปที่เรียนรู้ได้จากธรรมชาติชื่อว่า "มองต่างมุม" โปรดติดตามอย่างใกล้ชิด.....เพราะถ้าพลาดอาจเสียดาย(โฆษณาชวนชื่น เอ๊ย ชวนเชื่อไว้ก่อน...อิอิ) สำหรับวันนี้ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านค่ะ (o*^_______________^*o) ***เพิ่มเติมข้อมูลใหม่*** 25/09/52 18.15 น. ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B8%A1%E0%B8%94 ***ชีวิตของมด *** ชีวิตของมดโดยทั่วไปเริ่มด้วย ราชินี 1 ตัวจะบินออกจากรังที่เป็นบ้านอาศัยพร้อมด้วยราชินีและมดเพศผู้ตัวอื่นๆด้วยและจากรังอื่นๆในบริเวณใกล้เคียง ราชินีจะค้าหาที่สำหรับผสมพันธุ์ โดยปกติจะถูกดึงดูดด้วยวัตถุขนาดใหญ่ ตัวอย่างเช่น ต้นไม้สูงๆ ไม้พุ่มขนาดใหญ่ และยอดเนินเขา บริเวณเหล่านี้จะเป็นที่พบกันสำหรับราชินีและมดเพศผู้ที่มาจากหลายรัง ทำให้สามารถพบกัน ราชินีก็จะผสมพันธุ์กับมดเพศผู้ 1 ตัว หรือ 2-3 ตัว ขณะยังคงบินอยู่ในอากาศแต่เป็นช่วงสั้นๆ หลังจากนั้นก็จะทิ้งตัวลงสู่พื้นดิน ราชินีจะค้นหาพื้นที่ทำรังที่เหมาะสม พื้นที่ราชินีค้นหานั้นแตกต่างกันขึ้นอยู่กับชนิดและสามารถมีขอบเขตตั้งแต่ยอดไม้จนถึงใต้ดิน ข่วงที่ราชินีค้นหาหรือขณะที่พบพื้นที่ที่เหมาะสมแล้วราชินีจะกัดปีกหรือสลัดปีกออกเนื่องจากไม่ ต้องการใช้แล้วจากนั้นราชินีจะห่อหุ้มตัวเองด้วยปลอกขนาดเล็กๆและวางไข่เป็นกลุ่มเล็กๆ ราชินียังคงอยู่ในรังกับครอบครัว ขณะที่กำลังเจริญเติบโต ตัวหนอนที่กำลังเจริญเติบโตจะกินไข่ที่ไม่ได้ผสมซึ่งราชินีจะวางไข่โดยเฉพาะสำหรับเป็นอาหาร มดงานรุ่นที่ 1 มีขนาดเล็กกว่ามดงานรุ่นถัดๆมาเพราะว่าราชินีสามารถจัดเตรียมอาหารในปริมาณที่กำจัด เมื่อเปรียบเทียบกับการหาอาหารของมดงาน เมื่อมดงานเป็นตัวเต็มวัย ก็จะเริ่มออกจากรังและหาอาหาร โดยการจับเหยื่อกลับมาให้ราชินีและครอบครัวที่เพิ่มขึ้น กลุ่มมดพัฒนาขึ้น เพราะว่ามีมดงานตัวเต็มวัยมากขึ้น มดงานรุ่นใหม่ควบคุมดูแลครอบครัวรวมทั้งนำอาหารเพิ่มขึ้น ที่ระยะนี้ ราชินีจะลดกิจกรรมในการวางไข่และมดงานเข้ารับหน้าที่ทั้งหมดภายในรัง ราชินียังคงมีความจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตกลุ่มมดทั่วไป เพราะว่าราชินีจะควบคุมกิจกรรมของมดงานทั้งหมดในรังด้วยการส่งสารเคมี รูปแบบการค้าหารังตามข้างบนเป็นรูปแบบหนึ่งที่พบทั่วไปและแพร่กระจายมากที่สุด อย่างไรก็ตาม ยังมีมดอีกจำนวนมากที่แตกต่างไปจากนี้ ตัวอย่างเช่น การผสมพันธุ์อาจเกิดขึ้นบนหรือในรัง ราชินีหลายตัวสร้างรังร่วมกันและอาศัยอยู่ร่วมกันหรือต่อมาก็ต่อสู้กันในการกำหนดราชินีที่เหลืออยู่ภายในรัง ส่วนราชินีตัวอื่นๆถูกบังคับให้ออกไปหรือถูกฆ่าตาย ส่วนในบางชนิดนั้นกลุ่มใหม่ถูกสร้างเมื่อราชินีใหม่ออกจากรังไปพร้อมกับมดงานจำนวนหนึ่งและกำหนดถิ่นฐานใหม่ที่ห่างไกลออกไป ราชินีหาอาหารข้างนอกรังก่อนที่มดงานรุ่นที่ 1 จะเกิดขึ้น เป็นต้น ขณะที่กลุ่มมดงานจะเข้าสู่วัยแก่ ราชินีจะเริ่มผลิตราชินีและมดเพศผู้ในรุ่นถัดไป ปัจจัยหลายประการที่เป็นตัวกำหนดการผลิตราชินีใหม่ประกอบด้วย เวลาในรอบปี อาหารที่เป็นประโยชน์สำหรับการเจริญเติบโตของตัวอ่อน ขนาดและที่บรรจุไข่ที่วาง ฟีโรโมนหรือฮอร์โมนที่ผลิตโดยราชินีและอายุของราชินี ส่วนการผลิตมดเพศผู้นั้นถูกกำหนดโดยกลไกอย่างง่ายๆกว่าราชินี ตัวหนอนของราชินีและมดเพศผู้ใหม่จะคล้ายกับตัวหนอนของมดงานแต่โดยทั่วไปมีขนาดใหญ่กว่า เมื่อเป็นตัวเต็มวัยระยะแรกจะยังคงอยู่ในรังก่อนเพื่อคอยภาวะแวดล้อมที่เหมาะสมในการเริ่มต้นออกจากรัง สภาพที่เหมาะสมนี้จะเป็นสาเหตุสำคัญในการกระตุ้นการออกจากรังของราชินีและมดเพศผู้เมื่อออกจากรังไปแล้ว ราชินีจะผสมพันธุ์และสร้างรังใหม่ภายใน 2-3 วันเท่านั้น ขณะที่มดเพศผู้โดยทั่วไปจะตายภายใน 2-3 วันหลังออกจากรัง *** มดติดต่อสื่อสารกันได้อย่างไร*** เมื่อมดตัวหนึ่งเจออาหาร เพียงผ่านไปไม่นานก็จะมีมดฝูงใหญ่ตามมาอีก พวกมันมีวิธีส่งข่าวสารถึงกันอย่างไร ตามที่มีการวิจัยพบว่า มดจะใช้หนวดในการรับสัมผัส และส่งข่าวสาร เมื่อเวลาที่เจออาหารมันก็จะบอกพวกพ้องโดยการใช้หนวดชนกันแต่ก็ไม่สามารถส่งข่าวได้อย่างละเอียดเกี่ยวกับทิศทาง และสถานที่ มันจึงทิ้งกลิ่นไว้ตามทางมดเป็นสัตว์ที่มีจมูกไวมาก จึงติดตามกลิ่นเพื่อนที่ทิ้งไว้ และหาอาหารจนพบได้มดบางชนิดมีสายตาดีมาก มันจึงจดจำสัญลักษณ์ข้างทาง และตามกลิ่นไปจนพบอาหาร ***การหาอาหารของมด*** ถ้าดูที่ส่วนปากของมดแล้วพบว่า จะมีส่วนที่ใช้กัดและกินรวมไปถึงส่วนที่ใช้ดูดด้วย ดังนั้นมดส่วนมากสามารถดูดน้ำเลี้ยงพืชหรือของเหลวจากแมลงที่ขับถ่ายออกมาได้ รวมไปถึงการกัดและกินพืชที่ตายแล้วหรือชิ้นส่วนของสัตว์ มดงานส่วนใหญ่เป็นพวกตัวห้ำหรือกินซากสัตว์ (scavengers) อาหารของมดนั้นค่อนข้างกว้าง ประกอบด้วย สัตว์ที่ขาเป็นปล้องและเมล็ดพืช มดตัวเต็มวัยกินอาหารที่เป็นของเหลว โดยสะสมของเหลวจากเหยื่อที่จับได้หรือขณะที่ดูแลพวกเพลี้ยต่างๆ และแมลงกลุ่มอื่นๆ เหยื่อที่เป็นของแข็งนั้นก็จะนำกลับไปที่รังโดยมดงาน ตามปกติจะเป็นอาหารของตัวอ่อนมด ตัวเต็มวัยที่อยู่ในรังได้แก่ ราชินีได้รับอาหารจำนวนมากหรือทั้งหมดจากมดงานที่หาอาหารได้โดยตรง ระหว่างที่หาอาหาร มดงานจะสะสมของเหลวซึ่งจะเก็บสะสมไว้ที่ส่วนบนของระบบย่อยอาหาร เมื่อกลับไปยังรัง มดงานเหล่านี้จะสำรองของเหลวที่สะสมไว้และผ่านเข้าไปยังมดงานตัวอื่นๆ ขณะที่มดงานส่วนมากจะกินอาหารแตกต่างกันออกไป มีมดบางชนิดเจาะจงอาหารในวงแคบๆ มดจำนวนมากชอบกินพวกแมลงหางดีดเป็นอย่างมาก ส่วนมดบางชนิดชอบกินไข่ของสัตว์ที่มีขาเป็นปล้อง มดบางชนิดจะเข้าไปยังรังมดชนิดอื่นอย่างรวดเร็วเพื่อจับตัวอ่อนมดและดักแด้ มดจำนวนมากที่มีความจำเพาะกับอาหารที่กินนั้นจะมีการดัดแปลงลักษณะทางสัณฐาน ตัวอย่างเช่น กรามที่พบในพวกกลุ่มตัวห้ำชั้นสูงจะเรียวยาวมากและมีฟันขนดใหญ่ โดยเฉพาะตอนปลาย เมล็ดของพืชจำนวนมาก มีอาหารที่จำเพาะเรียกว่า elaiosomes ซึ่งจะดึงดูดมดให้เข้ามา มดจะสะสมเมล็ดโดยกินส่วนนี้เป็นอาหาร บางครั้งกินเมล็ดด้วย เมล็ดจำนวนมากยังคงงอกได้หลังจากส่วนที่มีอาหารถูกกินไป เมล็ดจะถูกวางไว้ภายในรังหรือบนกองตรงกลางที่มดสร้างขึ้นมา เป็นบริเวณที่เมล็ดจะมีการงอกในเวลาต่อมา มีความเชื่อว่าเมล็ดที่สะสมโดยมด มีโอกาสสูงมากในการงอกและรอดชีวิตเมื่อเปรียบเทียบกับเมล็ดที่ไม่ได้มีการสะสมจากมด เนื่องจากเมล็ดถูกทำลายน้อยมากโดยพวกกินเมล็ด และเนื่องจากเมล็ดถูกเก็บไว้ในร่มใกล้กับกองดินที่มีธาตุอาหาร โดยทั่วไป มดชอบออกหากินไม่ช่วงกลางวันก็กลางคืน การออกหากินของมดบางชนิดเกิดขึ้นทั้งกลางวันและกลางคืน ในบริเวณที่แห้งแล้ง กิจกรรมการหาอาหารของมดจำนวนมากขึ้นอยู่กับอุณหภูมิ บางชนิดมีกิจกรรมระหว่างช่วงเช้าหรือเย็นเท่านั้น ส่วนบางชนิดมีกิจกรรมระหว่างตอนที่ร้อนที่สุดของวัน ขอบคุณรูป มด ที่น่าประทับใจต่อไปนี้จากเว็บ http://photobucket.com
เช้านี้ฉันตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่ว่า "วันนี้จะทำเรื่องดีดีให้ชีวิต" ฉันใช้เวลาอยู่หน้ากระจกห้องน้ำนานเป็นพิเศษ ทั้งแปรงฟัน สครับ และล้างหน้า แต่ละขบวนการที่ผู้หญิงส่วนใหญ่จะทำหลังจากตื่นนอน... อืม....ฉันน่าจะทำแบบนี้มาตั้งนานแล้วนะเนี่ย เพราะหลังจากที่เช็ดหน้าแล้ว รู้สึกว่าหน้านุ่มเนียนขึ้น หรือจะเป็นอุปทานไปเองหว่า แต่ยังไงก็ช่างเถอะ...นี่คือเรื่องแรก ที่ทำสิ่งดีดีให้ชีวิต หลังจากบิดไล่ความขี้เกียจให้ออกไปจากตัว แม้จะไม่หมดก็หดไปบ้างล่ะน่า.....ฉันก็จัดแจงเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ดูทะมัดทะแมงที่สุด เพื่อให้เหมาะสำหรับภารกิจที่จะทำในวันนี้ ก็ไม่มีอะไรมาก แค่เสื้อยืด และกางเกงขายาว (ใครบอกว่ากางเกงขาสั้นฉันเถียงขาดใจ ก็ใส่แล้วมันทำให้เห็นขาเรายาวขึ้นจริงๆอ่ะเนอะ มีใครคิดเหมือนกันป่ะ...อิอิ...ไม่วายจะหาพวก) หลังจากลงมาข้างล่างก็ตรงไปที่แหล่งเสบียงเป็นอันดับแรก ห้องครัวที่ฉันรักเป็นหนักหนา เริ่มทำตัวเป็นนักสำรวจแยกหมวดหมู่อาหารในตู้เย็น...อืม....หิว....หาอะไรง่ายๆกินก่อนดีกว่า ว่าจะรอให้กาต้มน้ำร้อนที่เพิ่งเสียบปลั๊กเดือดก่อน แต่คงรอไม่ไหวแล้ว....เวลาทุกนาทีมีค่าเกินกว่าจะมานั่งถ่างตารอเฉยๆ...อิอิ ว่าแล้วก็เอาหม้อเล็กๆสีขาวสะอาดตาที่ซื้อมาแต่ไม่ค่อยได้ใช้ออกมาต้มน้ำ....เร็วได้ใจจริงๆ ไม่ถึงหนึ่งนาทีก็ได้นั่งจิบกาแฟสมใจ จิบกาแฟไปดูข่าวไป จนหมดถ้วย ก็ลุกขึ้นไล่ตัวขี้เกียจที่มาทำเนียนนั่งอยู่ด้วย...ชิชิไปได้แล้ว ฉันเป็นคนแปลกนะเรื่องนี้ไม่ได้ตั้งสมญานามเอง แต่น้าเป็นคนตั้งให้ ฉันมักจะค่อยๆละเลียดจิบกาแฟไปจนหมดถ้วย แล้วถึงลุกมาหาขนมปังกินทีหลัง คนอื่นเค้าจะจิบกาแฟไป กินขนมปังไป ดูทีวีไป เคยทำเหมือนกันนะ....แต่สุดท้าย กาแฟก็หมดก่อน และทิ้งให้ขนมปังปิ้งกรอบๆอ่อนตัวจนเหนียวเคี้ยวยากทุกทีเลย สุดท้ายฉันก็เลยคิดว่าเป็นตัวเองดีกว่า ว่าแล้วก็ลุกเอาถ้วยกาแฟไปบรรจงล้าง พลางคิดในใจว่า ขอบคุณนะที่เป็นส่วนหนึ่งสำหรับช่วงเวลาดีดีในทุกๆเช้าของชีวิต ฉันเหลือบไปเห็นขนมปังที่เรียงกันเป็นแถวอยู่ในถุง....อืม....วันนี้ทำแซนวิชทูน่ากินดีกว่า.... ใครทำก็อร่อยเมนูนี้ แค่ทาแซนวิชสเปรดให้ทั่ว แล้วเอาทูน่ากระป๋องที่เราผสมกับมายองเนสนิดหน่อย มาเกลี่ยให้ทั่วแผ่น นำอีกแผ่นมาประกบทับอีกทีจากนั้นก็นำไปปิ้งให้ออกเหลืองหน่อยๆ....อร่อยอย่าบอกใครเชียว "กองทัพต้องเดินด้วยท้อง" อืม....จำไม่ได้แระว่าใครเป็นคนคิดประโยคนี้....อยากบอกว่า "เจ๋งมาก" พออิ่ม ก็สอดส่ายสายตาไปรอบๆ อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่า ยังจะกินอีกเหรอ หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ แต่เพราะนี่คือภารกิจที่สองที่จะทำในวันนี้ "ทำความสะอาดห้องครัว" แยกหมวดหมู่ อาหาร ผัก ผลไม้ ให้เป็นระเบียบ ใช้เวลาไปนานพอดู แต่ก็คุ้มกับหยาดเหงื่อของมดงานอย่างเรา การได้ใช้เวลาเช้านี้ในห้องครัว เป็นการแสดงความขอบคุณ ที่ตลอดเวลาที่ผ่านมา ห้องครัวเปรียบเสมือนตัวแทนของ แม่ ที่คอยดูแลเราทุกครั้งที่หิวให้อิ่มท้อง สิ่งที่ดีที่จะทำเป็นอันดับสามในวันนี้คือ "ซักผ้า" ในตระกร้ามีเสื้อผ้ามากมายถมทับกันอยู่ เหมือนจะย้ำเตือนว่า การเดินทางย่อมมีวันสิ้นสุด และมีวันใหม่เสมอ ขอบคุณเสื้อผ้าทุกชิ้นที่ช่วยโอบอุ้ม และสร้างความมั่นใจให้เกิดขึ้นกับฉันในทุกๆครั้งที่เราเดินทางไปเผชิญโลกภายนอกด้วยกัน อันดับสี่ คงหนีไม่พ้นแหล่งที่เก็บรวบรวมเสื้อผ้า นั่นคือ ตู้เสื้อผ้านั่นเอง ฉันจัดการแยกหมวดหมู่เสื้อผ้าให้เป็นระเบียบ หลังจากที่อยู่ปะปนกันมานาน จัดโต๊ะ เก้าอี้ หนังสือ ในห้องนอน ให้เข้าที่เข้าทาง เปิดหน้าต่างรับแสงแดดที่สาดส่องเข้ามาตรงเตียงนอนพอดี คงไม่ทำให้อายหรอกนะ เพราะฉันเอาผ้าปูที่นอน ปลอกหมอนไปซัก ดูๆไปเตียงนอนก็เหมือนคนที่ไม่ได้ใส่อะไร (แต่อยู่ในห้องนอนจะใส่ไปทำไม เจ๊ย....ล้อเล่น....) อีกไม่ถึงชั่วโมงก็คงแห้งแล้วล่ะ ก็แดดเปรี้ยงออกปานนี้ รอนิดนะ ที่นอน หมอนข้าง ขอบคุณที่เป็นเสมือนที่พักพิงยามเหนื่อยล้า และเป็นเหมือนเพื่อนที่คอยซับน้ำตาอยู่เสมอ ภารกิจอันดับห้า คงต้องเป็นห้องน้ำ ที่ช่วยปลดทุกข์ในทุกวันของชีวิต เป็นหน้าที่หนักหนาเอาการอยู่นะ....ขอโทษด้วยจริงๆที่ทำให้ต้องรับภาระหนัก....แต่วันนี้ขอให้ฉันได้ทำอะไรเพื่อตอบแทนกลับบ้างนะ.... ว่าแล้วก็จัดแจงทำความสะอาด สร้างบรรยากาศด้วยดอกไม้แห้งอบน้ำหอม เปลี่ยนพรมในห้องน้ำ และม่านอาบน้ำให้สีสันสวยสดใส จุดเทียนหอมกลิ่นลาเวนเดอร์....ให้หอมอ่อนๆอบอวลไปทั่วห้อง ...อ่า....เริ่มเวียนหัว......ดับก่อนๆ ท่าจะเยอะไป.... ขอบคุณสำหรับทุกๆวันที่ช่วยแบ่งเบาความทุกข์ของฉันให้หมดไป อันดับหก คงต้องลงไปข้างล่างอีกที ตรงไปที่ตู้รองเท้า นำรองเท้าแต่ละคู่ออกมาสำรวจความเสียหาย "มอมเชียว" มาวันแรกรัศมีจับน่าดู แต่ทุกๆบาดแผลหรือร่องรอยต่างๆที่เหลืออยู่คือการพิสูจน์ว่า "เธอคือเพื่อนแท้" ที่ไม่มีข้อแม้ในการเดินทาง หลังจากทำความสะอาด เก็บเข้าตู้ให้เป็นระเบียบแล้ว ก็อยากบอกว่าขอบคุณจริงๆ ที่พร้อมออกไปผจญภัยด้วยกันตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาโดยไม่ปริปากบ่นสักคำ อันดับเจ็ด คงเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชิ้น เทคโนโลยีทุกอย่าง ที่ช่วยให้ชีวิตสะดวกสบายขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ว่าจะเป็น -ทีวี ที่ร่วมแชร์ความสุข สนุกสนาน เพลิดเพลิน ทั้งรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ -คอมพิวเตอร์ ที่เปิดหัวใจฉันให้กว้างขึ้นและย่อโลกใบนี้ให้เล็กลงจนรู้สึกว่าสัมผัสได้ถึงความแตกต่างในแต่ละมุม -พัดลม ต้องขอบคุณ พัดลมจริงๆ เพราะฉันไม่ค่อยชอบแอร์ เพราะมันมาจากรากศัพท์ว่า แอร์กี่(อย่ากลับคำ) 555 ล้อเล่น คู่นอนของฉันในทุกฤดู ไม่ว่าจะ หนาว ร้อน หรือ ฝนจะตกเพียงใดก็คือ พัดลมและผ้าห่ม จนมีคำติดปากว่า "เปิดพัดลมห่มผ้า" -โทรศัพท์ ที่ช่วยให้ฉันได้ติดต่อสื่อสารกับคนที่ฉันรักได้ตลอดเวลาแม้จะอยู่ไกลกัน...แค่ได้ยินเสียงตามสายความเหงาก็คลายได้ทุกครั้ง แต่ท้ายที่สุดแล้ว ฉันคงต้องขอบคุณ กระดาษ ปากกา ดินสอ ยางลบ สมุดบันทึกทุกเล่มที่ร่วมถ่ายทอดและแชร์ความรู้สึก จินตนาการทุกอย่างของฉันให้อยู่เป็นที่เป็นทาง ไม่ฟุ้งกระจายไปในอากาศอย่างไร้น้ำหนักและทิศทาง ขอบคุณจริงๆ พอเขียนมาถึงตรงนี้.....ฉันคงต้องเฉลยแล้วว่าฉันทำทุกอย่างไปเพื่ออะไรและทำไม ฉันลองคิดเล่นๆว่า "หากไม่มีพรุ่งนี้" "หากชีวิตของฉันเหลืออยู่แค่วันเดียว" ฉันคงจะไม่ทำให้ทุกคนที่รักฉัน หรือ แม้แต่คนที่ฉันรัก ต้องมารับรู้ความรู้สึกหรือตกอยู่ในช่วงเวลาของการลาจากที่ไม่มีใครจะเปลี่ยนแปลงได้ ฉันคงไม่ใช้เวลาทั้งวันทำเรื่องพิเศษกับคนสำคัญในชีวิต เพียงเพราะว่า เหลือเวลาอีกแค่หนึ่งวัน แต่ฉันจะขอจัดการกับชีวิตของตัวเองด้วยตัวของฉันเอง และสิ่งสุดท้ายในชีวิตที่อยากจะทำก็คือ "อาบน้ำชำระร่างกาย" เปลี่ยนเสื้อผ้าและเขียนโน๊ตสุดท้ายว่า "อาบน้ำแล้วขอบคุณค่ะ" ปล.อย่าเอาตังค์มาให้อมนะคะขอร้อง ................................................................................................................... โอ๊ะโอ....ฉันคงยังไปไหนไม่ได้ถ้าทิ้งให้สวนดอกไม้ ต้นไม้ ต่างๆไร้คนเหลียวแลคงต้องไปเอาใจหน่อยแล้วล่ะ ก่อนที่จะเกิดอาการน้อยใจขึ้น อืม.....ยังมีน้องหมาอีก....ฉันมองข้ามสิ่งเล็กๆน้อยๆที่สำคัญไปได้ยังไงเนี่ย.... อ่านๆไปก็ดูจะเป็นเรื่องไกลตัว...แต่ไม่แน่....วันหนึ่งคุณอาจจะคิดเหมือนกันกับฉันก็ได้ เพราะฉะนั้น ฉันจะทำวันนี้ให้ดีที่สุด....และทุกอย่างที่คิดจะทำในวันสุดท้ายของชีวิตจะไม่ใช่แค่ความคิดอีกต่อไป ยกเว้นเรื่องเขียนโน๊ตอมตังค์ กับ อาบน้ำแล้วค่ะ.....เหอๆ.... แค่อยากให้ฮา.....หวังว่าคงจะฮาบ้างในตอนท้าย หากใครไม่ฮา.....แสดงว่าคุณเป็น เสือยิ้มยากแล้วล่ะ.....ปรับปรุงตัวด่วน....อิอิอิ(มีแอบเคือง) สุดท้ายนี้ฝากเพลงหนึ่งให้เพื่อนๆฟังกันค่ะ แรงบันดาลใจ ในการเขียนบทความเรื่องนี้ เพลง หากไม่มีพรุ่งนี้ ศิลปิน แอม เสาวลักษณ์ ลีละบุตร อัลบัม City Woman http://www.ijigg.com/songs/V2BCDE7DPD อาจจะมีสักครั้ง นั่งมองฟ้า แล้วนึกถึงวันเวลาที่เราปล่อยไป เหลือบมองคนข้างตัว ทำไมเกิดใจหาย พึ่งฉุกใจคิดทบทวน หากว่าชีวิตพลิกไปเจออะไร หรือเคราะห์ร้ายมาทำให้สูญเสียกัน สิ่งที่เคยคุ้นเหมือนไม่ค่อยสำคัญ ขาดหายไปพลันจะทำอย่างไร สิ่งที่เราลึกซึ้ง อยู่ในใจ ชีวิตมันดูวุ่นวายจนลืมบอกกัน กี่ทีที่เลอะเลือนทำลายจิตใจกัน จนนึกหวั่นพึ่งนึกกลัว หากว่าวันนี้เหลือเป็นวันสุดท้าย รักแค่ไหนได้ทันบอกเธอหรือยัง หากว่าพรุ่งนี้สายเกินไปทุกอย่าง เรารักเราดีต่อกันพอไหม พึ่งได้ซึ้งถึงความผูกพันธ์ ว่าส่วนลึกรักกันแค่ไหน เวลาผ่านไปกลับลืมว่าสำคัญ ต่อไปนี้ไม่ว่าอย่างไร จะทำให้มันดีกว่านั้น ดีกว่าจากกัน อย่างเสียใจจนตาย หากว่าวันนี้เหลือเป็นวันสุดท้าย รักแค่ไหนได้ทันบอกเธอหรือยัง หากว่าพรุ่งนี้สายเกินไปทุกอย่าง เรารักเราดีต่อกันพอไหม พึ่งได้ซึ้งถึงความผูกพันธ์ ว่าส่วนลึกรักกันแค่ไหน เวลาผ่านไปกลับลืมว่าสำคัญ ต่อไปนี้ไม่ว่าอย่างไร จะทำให้มันดีกว่านั้น ดีกว่าจากกัน อย่างเสียใจจนตาย .......................................................... ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่าน และร่วมรับรู้ความรู้สึก ขอบคุณภาพประกอบน่ารักๆจากเว็บ http://glitter.yooteenee.com/
เดือนกรกฎาคมช่างเป็นเดือนที่วุ่นจนรู้สึกเหมือนชีวิตติดอยู่กับใยแมงมุมซะจริง แต่เดือนกรกฎาคมของปีนี้ก็เป็นปีที่อบอุ่นและมีความสุขมากที่สุดเช่นกัน ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๕๒ วันนี้จะได้เจอน้าและเด็กๆ ที่ไปเรียนต่อ ต.ป.ท แล้ว ปิดเทอมปุ๊บก็กลับมาปั๊บ แม้จะแค่ไม่กี่เดือนที่เพิ่งจากกันแต่ก็เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับหัวใจ เวลาที่คิดถึงใครอีกฝั่งฟ้า ช่วงเวลาที่เราต้องอยู่กันคนละประเทศ คนละเวลา คนละอากาศ มันช่างเหมือนกับว่า มีใครสักคนบนฟ้าจับพวกเราแยกจากกันแต่สิ่งหนึ่งที่ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถสร้างความแตกต่างได้คือ "ความคิดถึง" ๒๐--๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๒ พวกเราตระเวณไปกินอาหารไทยร้านประจำที่พวกเราเคยไปกินด้วยกันบ่อยๆตอนที่อยู่ด้วยกัน ไม่มีโปรแกรมทำอาหาร...เพราะ น้าบอกว่า อยากมาพักผ่อนและอยากเก็บเกี่ยวความสุข ความทรงจำทุกอย่าง ช่วงขณะที่อยู่เมืองไทยไว้ให้มากที่สุด น้าบอกว่า....รักเมืองไทยขึ้นอีกเยอะเลย...และเพิ่งรู้ว่าตัวเองมีอารมณ์อ่อนไหวและเข้าใจคำว่า home sick ตอนนี้เอง บ้านเราดีที่สุด แผ่นดินไทยอบอุ่นที่สุด ประเทศไทยดีที่สุด คำเหล่านี้พรั่งพรูออกมาจากปากน้าทุกครั้งที่เราคุยกัน ประเทศเราอาจไม่ใช่ ประเทศที่รวยที่สุด ประเทศที่สงบที่สุด ประเทศที่สวยที่สุด ประเทศที่สะอาดที่สุด ประเทศที่ใหญ่ที่สุด ประเทศที่เจริญที่สุด แต่ก็เป็นที่สุดในหัวใจของพวกเรา ๒๗-๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๒ เป็นช่วงเวลาที่ได้กลับบ้านเกิด... ได้พบกับ ยาย พ่อ แม่ พี่ ป้า น้า อา หลานๆ และ น้องเหมียว น้องหมา ทั้งหลาย การกลับบ้านหนนี้ เรากับน้าต่างมีความรู้สึกที่แตกต่างออกไปจากครั้งก่อนๆ เพราะพวกเราไม่อยากไปเที่ยวที่ไหน อยากอยู่บ้าน และใช้เวลาอยู่กับทุกคนให้มากที่สุดโดยเฉพาะช่วงอาหารเย็น จะเป็นช่วงที่เจียวจ๊าวกันมาก แต่นี่แหละพวกเรา....ไม่ว่าจะกี่ปีก็ยังคงเหมือนเดิม...และขอให้เหมือนเดิมตลอดไป..... ช่วงเช้าเรากับน้าจะลงไปกินกาแฟพร้อมกับยายที่กำลังกินข้าวเช้าพอดี และน้าๆคนอื่นๆก็จะตามมาสมทบทีหลัง... และเช้าวันหนึ่งขณะที่พวกเรากำลังจิบกาแฟคุยกันอย่างสนุกสนาน...จู่จู่ยายก็ลุกขึ้นหลังจากที่ทานข้าวเสร็จและพูดว่า "เอ้อ.....ตามสบายนะ....ทานข้าวเสร็จก็ง่วงนอนอีกแล้ว..."แล้วก็คลานขึ้นเตียง ท่ามกลางสายตางุนงงของพวกเรา....(ก็ยายอ่ะ ยังไม่ได้ล้างมือเลยนะ...อิอิ) น้าสามกระซิบว่า นี่ยังดีนะ ถ้าเป็นพวกน้าเหรอ ยายจะปิดไฟ ปิดพัดลม มุดมุ้งหน้าตาเฉยเลยล่ะ พวกเราก็เลยเพิ่งรู้ตัวว่า...บางครั้งความอบอุ่นที่หนาแน่นเกินไปมันอาจจะทำให้อุณหภูมิสูงขึ้นได้....และ ยาย ก็คือปรอทที่เที่ยงตรงที่สุดที่พิสูจน์ได้ว่า....ฉันร้อน...อิอิ ดังนั้นเช้าวันต่อมา เรากับน้าก็จะนั่งจิบกาแฟกันเงียบๆพอยายอิ่มพวกเราก็จิบกาแฟหมดถ้วยพอดี เก็บจานชามไปล้างแล้วค่อยๆปลีกตัวออกมาอย่างเป็นอันรู้กัน หลังจากนั้นก็จะไปรวมตัวกันที่ลานกลางบ้าน ช่วงกลางวันก็จะไปกระจุกตัวกันอยู่ที่ร้านข้าวซอยของน้า1 ช่วงเย็นกลับมาบ้าน น้าสี่ที่เป็นเชฟอยู่ก็จะเป็นคนทำอาหารเย็นโดยมีแม่และ น้า 1 ทำอาหารมาแจมบ้างเล็กน้อย ช่วงเย็นเป็นช่วงจับเข่าคุยสัพเพเหระ ความเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่งของบ้านเกิดที่กลับไปคราวนี้ที่เห็นได้ชัดคือ บ่อนคาสิโน ทางฝั่งลาวที่นักธุรกิจจากมาเก๊าเป็นเจ้าของ...สุดยอดอลังการและอีกไม่นานก็คงจะเสร็จ....เห็นว่าจะทำ สนามกอล์ฟ โรงแรมและอื่นๆ.... มองจากฝั่งเราไปเห็นโดมสีทองยาวหลายกิโล เงินคงหนาจริงๆ คิดไปคิดมาพวกเราเริ่มจะตกอยู่ในวงล้อมของแหล่งอบายมุขเข้าไปทุกที เพราะฝั่งพม่าก็มี บ่อนคาสิโนที่ชื่อว่า "พาราไดซ์" เปิดมาก่อนหลายปีแล้ว และตรงสามเหลี่ยมทองคำก็มีนักการเมืองท้องถิ่นคนหนึ่งหรืออาจจะหลายคนกำลังสร้าง บ่อนไก่ ที่ดูแล้วใหญ่ไม่ใช่เล่น อาจจะเสร็จเร็วๆนี้ อืม......เมืองเชียงแสน......เมืองโบราณ....ที่โอบล้อมด้วยกำแพงเมืองก่าแก่ และไม้สักที่บรรพบุรุษสร้างขึ้นเพื่อปกป้องบ้านเมือง ทุกตรอกซอกซอยเต็มไปด้วยวัดเก่าแก่โบราณ..... แต่วันนี้ นอกจากจะถูกโอบล้อมด้วยธุรกิจที่เป็นแหล่งอบายมุขแล้วยังมีภัยอีกอย่างที่หลายคนอาจจะมองข้ามไป ท่าเรือที่เราติดต่อค้าขายกับประเทศจีน คนจีนมากหน้าหลายตาเริ่มเข้ามาเช่าอยู่ตามอาคารต่างๆที่ชาวท้องถิ่นดัดแปลงจากบ้านสมัยเก่ามาเป็นอาคารชุดเพื่อให้เช่า หลายคนแต่งงานกับนักธุรกิจชาวจีน....และชาวจีนเหล่านั้นก็มีเงินมากพอจะกว้านซื้อที่ดินรอบๆที่จะถูกธนาคารยึดมาครอบครองหลายไร่....สร้างบ้าน ร้านอาหาร คลังเก็บของ ที่ไม่ใช่ภาพคุ้นตาและภาพคุ้นเคยของชาวบ้านที่ยังคงวิถีชิวิตเดิมๆอีกต่อไป หน้าบ้านของพวกเราเมื่อก่อนก็เป็นที่ดินของน้องต่างมารดาของยาย เมื่อก่อนไม่มีรั้วเวลาจะเดินไปฝั่งแม่น้ำโขงก็จะเดินลัดผ่านบ้านกันได้เลย แต่หลายปีมานี้ที่ดินผืนนั้นได้ถูกขายไปให้นายทุนที่เห็นแก่ตัว ต้องการจะกว้านซื้อที่ดินของยายและติดต่อขอซื้อเรื่อยๆ เมื่อยายและพวกเราไม่ขาย...พวกเขาก็สร้างอาคารสองชั้นบังแม่น้ำโขง ที่พวกเราเคยมองเห็นแค่ยืนอยู่หน้าประตูบ้าน...สร้างอาคารชิดและเกือบจะเกยรั้วของพวกเรา.... พวกเราทำได้แค่ปลูกต้นไม้เยอะๆเพื่อบังไม่ให้ต้องเห็นภาพที่ไม่อยากเห็น เวลาจะเดินเล่นลัดเลาะเลียบแม่น้ำโขงก็ต้องปั่นจักรยานหรือไม่ก็เดินอ้อมออกไป ไกลอีกหน่อย.....แต่ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาเปลี่ยนวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมของพวกเราชาวเชียงแสนได้....แม้รอบข้างจะเริ่มเปลี่ยนไปทีละนิดๆ แต่ก็มีชาวเชียงแสนอีกไม่น้อยที่รักแผ่นดินถิ่นเกิดและจะไม่ยอมขายแผ่นดินบรรพบุรุษกิน ไม่ยอมให้นักธุรกิจหน้าไหนมากว้านซื้อที่ดินของพวกเราได้ ตราบใดที่พวกเรายังมีลมหายใจอยู่ ชาวบ้านส่วนใหญ่ใช้ชีวิตอย่างพอเพียงและเริ่มรู้แล้วว่า เงิน ไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้ชีวิตมีคุณค่า หากแต่การรักษาตอบแทนคุณแผ่นดินถิ่นเกิดต่างหากที่สำคัญ แม้ความเจริญจะมาเยือนถิ่นฐานของพวกเรา จนรู้สึกว่าตั้งรับไม่ทัน แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเราจะคงไว้และสอนลูกหลานรุ่นต่อๆไปคือ......"สำนึกรักบ้านเกิด"
. เด็กชายตัวน้อยชื่อ Cody Mccosland เด็กชาวอังกฤษ ผู้มีขาหลายคู่ เขาบ้าเล่นกีฬา แต่ก็เกิดมาโดยไม่มีกระดูกหัวเข่า ทำให้ต้องตัดขาท่อนล่างทิ้งตั้งแต่อายุ 15 เดือน วัยที่คนอื่นเดินเตาะแตะ แต่เขาเดินไม่ได้ แต่สองเดือนต่อมา เขาก็เริ่มหัดใช้ขาเทียมคู่แรก ตอนนี้ Cody อายุ 7 ชวบแล้ว ในภาพล่างเขาเล่นสกีน้ำ แต่อันที่จริง เขาเล่นทั้งว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน ตีกอล์ฟ เล่นคาราเต้ เบสบอลล์ และฮอคกี้น้ำแข็ง ภาพล่างเขาขี่จักรยานสามล้อ พร้อมรอยยิ้มมีความสุขที่มีให้เห็นเสมอ ตามมาด้วยเขาขี่ม้า พ่อกะแม่ตั้งความหวังจะพาเขาดูโอลิมปิกที่กรุงลอนดอนเป็นเจ้าภาพใน ปี 2012 ด้วย ภาพเขาวิ่งด้วยขาคู่ที่ดูแปลก แต่น่าจะช่วยให้วิ่งได้เร็วขึ้น สมกับสมญานาม The Boy With The Magic Legs จริงๆ ขาเทียมของเขาได้รับบริจาคจากศูนย์ขาเทียม โรงพยาบาลเด็ก Texas Scottish Rite Hospital แต่เขาโตเร็วต้องเปลี่ยนขาอยู่เป็นประจำ Cody กับครอบครัวและเพื่อนๆจึงเข้าร่วมงานการกุศลหาเงินช่วยโรงพยาบาล ได้เงินบริจาคมา มากกว่า 6 หมื่นปอนด์แล้ว Cody ไม่ยอมให้มีอะไรเป็นอุปสรรคต่อชีวิตของเขา เราจึงได้เห็นภาพเขาเล่นฮอคกี้น้ำแข็งในภาพล่าง เท่ห์ชมัด กว่าจะมาเป็นเด็กชายสุขภาพดี หน้าเปื้อนยิ้มในวันนี้ Cody ผ่านอะไรๆมาเยอะ รวมทั้งช่วงหนึ่งของชีวิต ที่เขาต้องผ่าตัดหลายต่อหลายครั้ง จากปัญหาระบบภายในร่างกาย รวมทั้งต้องบำบัดอาการหายใจติดขัดและหอบหืด "ใครที่กำลังท้อถอย ทั้งที่มีมือมีเท้าครบ อย่าทำตัวให้อาย Cody นะจ๊ะ" ที่มาจาก Fw. Mail พอได้เห็นฟอร์เวิร์ดเมล์ฉบับบนี้ครั้งแรกก็รู้สึกว่า ต้องส่งต่อเรื่องราวดีๆแบบนี้ให้คนอื่นได้อ่าน.... หากใครกำลังรู้สึกท้อแท้กับชีวิตอยู่ ถ้าได้เห็นว่า เด็กน้อยคนหนึ่งแม้เค้าจะเกิดมาร่างกายไม่สมบูรณ์เหมือนคนทั่วไป....แต่ว่าหัวใจกลับพิเศษกว่าคนธรรมดา... แล้วคนธรรมดาอย่างพวกเราทำไมไม่ลองสร้างหัวใจที่พิเศษขึ้นมาบ้างล่ะ การได้รู้จักกับหนูน้อย โคดี้ ทำให้คำว่า "ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้" เป็นรูปธรรมขึ้นมาอย่างชัดเจน ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้....ถ้าเราจะทำ ความเข้มแข็ง จริงอยู่ต้องมาจากความรักความอบอุ่นความเข้าใจของครอบครัวและคนรอบข้างเป็นอันดับแรก....แต่ที่สำคัญเหนือไปกว่านั้น เมื่อคุณได้รับกำลังใจที่ส่งมาเหล่านั้นแล้ว...คุณได้ใช้ประโยชน์จากพลังที่ได้รับมาแล้วหรือยัง ภาพแรก โคดี้มีหลายขา ขนาดของขาแต่ละคู่คือ ช่วงชีวิต ที่ต้องต่อสู้และอดทน กับขีดจำกัดของร่างกายตนเอง ถึงจะไม่เคยเห็นแต่ก็นึกภาพออกว่า โคดี้ ต้องล้มแล้วลุกครั้งแล้วครั้งเล่า กว่าจะยืนอยู่บนขาเหล่านั้นได้อย่างสง่างามเช่นวันนี้ ความพิเศษหาใช่ขาเหล่านั้นไม่....หากแต่คือหัวใจของเด็กน้อยต่างหากที่วิเศษจนไม่ว่าขาคู่ไหนในโลกนี้ก็ไม่อาจเทียบเท่า รอยยิ้ม แววตา เสียงหัวเราะ หรือ แม้กระทั่งน้ำตา ของโคดี้ ณ วันนี้เป็นเหมือน ยาวิเศษ ที่ช่วยให้หัวใจของคนธรรมดาๆที่มีร่างกายธรรมดา....อยากจะเป็นคนที่พิเศษแบบหนูขึ้นมา (o*^___________________^*o)/~ ~(o*^___________________^*o)/
ตอนนี้หนึ่งในข่าวที่ทำให้คนไทยมีรอยยิ้มและมีความสุข ก็คงจะเป็นข่าว ที่หลินฮุ่ยคลอด Baby Bear ที่น่ารักในประเทศเรา.... ขอบคุณรูปประกอบน่ารักๆของ หมีแพนด้าจากเว็บ http://gotoknow.org/blog/kamkam/197380 พอดีไปอ่านเจอกระทู้เกี่ยวกับ แพนด้าในพันทิพ และ สะดุดุกับ ความคิดเห็นหนึ่ง...และทำให้ย้อนคิดถึง ช้างไทย สมบัติของชาติไทย ที่ห่างไกลจากคำว่า สมบัติชาติ....เหลือเกิน ขออนุญาตยกข้อมูลที่คุณ "กล้าที่จะรัก"แสดงความคิดเห็นไว้ในกระทู้นี้มาโพสอ้างอิงนะคะ (ค.ห.ที่ 21) http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A7909901/A7909901.html เท่าที่ทราบมา....จีนไม่เคยยกแพนด้าให้ประเทศไหนทั้งนั้น เพราะการยกให้หมายถึงประเทศนั้นๆจะมีสิทธิ์ขาดในแพนด้าที่ได้รับ จะนำมาโคลนนิ่งหรือผสมเทียมขยายพันธุ์อย่างไรก็ได้.... นั่นหมายถึง....การสิ้นสุดความภูมิใจของจีนที่ว่าแพนด้าเป็นสัตว์ประจำชาติของจีนและเป็นสัตว์พื้นเมืองที่มีในประเทศจีนเท่านั้น แพนด้าทุกตัวที่อยู่นอกประเทศจีน....อยู่ภายใต้"สัญญาเช่า" นั่นหมายความว่าแพนด้ายังเป็นของจีน....ผู้เช่ามีสิทธิ์นำไปแสดงและกระทำการอื่นใดภายใต้สัญญาเท่านั้น ห้ามกระทำการใดๆที่อยู่นอกเหนือสัญญาเช่าเด็ดขาด.... ช่วงช่วงและหลินฮุ่ยก็เช่นกัน.... ทั้งสองตัวอยู่ภายใต้สัญญาเช่าระยะเวลา5ปี(ถ้าจำไม่ผิด) อันนี้ต้องจ่ายเงินนะครับ....ไม่ใช่ฟรี....แต่ผมจำไม่ได้ว่าค่าเช่าเจ้าสองตัวนั่นราคาเท่าไหร่...แต่ก็เป็นหลักล้านบาทต่อปี สวนสัตว์ถึงต้องเก็บเงินค่าเข้าดูเพื่อเอามาจ่ายค่าเช่าหมีและค่าดูแลมัน... เมื่อสิ้นระยะเวลาช่าแล้วต้องส่งคืนจีน แต่ในทางปฏิบัติถ้าประเทศที่ได้รับยังมีสัมพันธไมตรีอันดีกับจีน...จีนก็ให้"ต่อสัญญาเช่า"ได้เรื่อยๆ และหมีแพนด้าก็จะอยู่ในประเทศนั้นไปเรื่อยๆ... และหนึ่งในข้อผูกมัดของสัญญาก็คือ...ถ้าแพนด้ามีลูกในประเทศใดก็ตาม... ลูกจะต้องตกเป็นของจีนและจะต้องถูกส่งกลับไปที่จีน.... ในทางปฏิบัติก็คือ....จีนจะนำไปเลี้ยงดูให้เติบโต... เมื่อแพนด้าที่ประเทศผู้เช่าอายุมากขึ้น...จีนก็จะเรียกคืน....(ไม่ให้แก่ตายในประเทศอื่น) และก็จะส่งตัวใหม่มาให้...เลี้ยงดูไปเรื่อยๆแบบที่เคยเกิดขึ้นแล้วในอเมริกา อันนี้อยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า....ต้องยังคงมีสัมพันธไมตรีที่ดีกับจีนอย่างต่อเนื่องนะครับ ถ้ามีปัญหากัน...จีนอาจจะยึดหมีเช่าคืนก็ได้.... แต่ถึงจะเป็นการเช่า...ก็ใช่ว่าประเทศไหนมีเงินจะเช่าก็ได้ จีนไม่ให้ใครเช่าง่ายๆ....ต้องเป็นประเทศที่จีนให้ความสำคัญจริงๆถึงจะให้เช่าครับ .................................... ^ ^ ^ อ่านแล้วมีใครรู้สึก สงสารช้างไทยของเราบ้างมั๊ยคะ T_T ูและขอนำข้อมูลอ้างอิง เกี่ยวกับความจริงของช้างไทย สมบัติของชาติไทย จากข้อมูลเว็บ กรุงเทพธุรกิจมาประกอบบางส่วนนะคะ "สุวิทย์"เบรกส่งช้างไทยออกนอกประเทศ5ปี หลังพบถูกส่งเข้าธุรกิจท่องเที่ยวมากกว่า1พันเชือก ด้านกรมอุทยานฯยืนกรานสรุปเข้าครม.สัปดาห์หน้า 23 เม.ย 2552 นายสุวิทย์ คุณกิตติ รมว.กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) กล่าวภาย หลังการประชุม เพื่อพิจารณาความเห็นเกี่ยวกับนโยบายการแก้ไขวิกฤติช้างไทย จัดโดยกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ว่า ขณะนี้สถานการณ์ช้างไทยอยู่ในภาวะที่น่าเป็นห่วงมาก ซึ่งข้อมูลที่ได้รับล่าสุดมีช้างป่าเหลือ อยู่เพียง 3 , 000 ตัว และช้างบ้านอีก 3 , 000 เชือกเท่านั้น ทั้งที่ในอดีตในสมัยที่ยังมีการให้สัมปทานป่าไม้เฉพาะภาค เหนือมีช้างอยู่มากกว่า 20 , 000 ตัว โดยเฉพาะจำนวนช้างป่าที่ลดลงนั้น สาเหตุสำคัญเกิดจากพื้นที่ป่าไม้ที่ถูกบุกรุก ทำให้พื้นที่ป่าขาดการเชื่อมต่อเป็นผืนเดียวกัน ขณะที่ช้างบ้านก็ถูกนำมาเข้าสู่ธุรกิจช้างขอทานเร่ร่อนเฉพาะในกทม.คาดว่ามีมากกว่า 200 เชือก อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าการแก้ไขปัญหาช้างยังไม่คืบหน้าเพราะขาดความต่อ เนื่องแม้ว่า 4-5 ปีก่อนทส.เคยตั้งคณะกรรมการ และคณะอนุกรรมการตามแผนแม่บทอนุรักษ์ช้างถึง 6 คณะแต่ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาช้างได้ ดังนั้นจะถือโอกาสนี้พิจารณาทบทวน และปรับปรุงองค์ ประกอบหน้าที่ของคณะ กรรมการ อนุกรรมการดังกล่าวด้วยเพื่อให้การบริหารจัดการช้างไทยโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีเอกภาพ และมีประสิทธิภาพมากขึ้น .................................. ^ ^ ^ แม้จะมีความรู้สึกว่า พวกผู้ใหญ่ในบ้านเมือง เพิ่งจะตื่น ก็ยังดีกว่านอนหลับอุตุ....อย่างที่ผ่านมา และดูเหมือนข่าวนี้กลับไม่ได้รับความสนใจจากสื่อที่จะนำไปเผยแพร่เท่าที่ควร ช้างไทยถูกลักลอบออกนอกประเทศ ไม่ก็ แลกกับ หมีโคอาล่า (อยากดู สัตว์ประเทศอื่นทำไมไม่ซื้อตั๋วบินไปดูเองฟระ....ขัดใจมาก...กรณีนี้ ) ไม่ก็จะเห็นเดินเร่ร่อนในเมืองหลวง....โดยเฉพาะ ถนน สุขุมวิท พระรามเก้า และอื่นๆ... ไม่รู้ตำรวจทำอะไรอยู่ เห็นจะๆ....ยังนิ่งเฉยอยู่ได้ หรือต้องปล่อยให้ช้างถูกรถชน...เครียดจนต้องไล่กระทืบตำรวจ เอ๊ย กระทืบผู้คน...จึงจะตาสว่างลุกขึ้นมาทำอะไรกันจริงจังเสียที ขออนุญาตินำข้อมูลที่ รัฐบาลทักษิณ เอาช้างไทย9เชือกไปแลกกับ หมีโคอาล่า ข้อมูลจากเว็บ จาก www.dailynews.co.th ขอบคุณรูปประกอบหมีโคอาล่าน่ารักๆจากเว็บ http://kunglek.blogspot.com/2008/12/blog-post_16.html นายกรัฐมนตรี(ทักษิณ) เป็นคนไปทำสัญญากับออสเตรเลียในช่วงการเจรจรการค้าเสรีกับออสเตรเลียเมื่อปี 2546 และจะมอบช้างไทยให้เป็นของขวัญแลกกับหมีโคอาล่า อย่างน้อย 2 ตัว " NGO ต่างชาติรุมต้านรัฐบาลไทย ส่งช้าง 9 เชือกแลกหมีโคอาล่า ห่วงสวัสดิภาพช้างไทยหวั่นคนเลี้ยงออสซี่ไร้ประสบการณ์ องค์การสวนสัตว์ฯ ระบุเพื่อการศึกษาไม่ผิดเงื่อนไขไซเตส สุวิทย์เร่งส่งช้างก่อนสิ้นเม.ย.ตามกำหนดนายกฯ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 7 มีนาคม กลุ่มพิทักษ์สิทธิสัตว์ในประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ได้พากันประท้วงกรณีรัฐบาลไทยเตรียมส่งช้างไทย จำนวน 9 เชือกไปอยู่ในสวนสัตว์ของทั้ง 2 ประเทศตามโครงการแลกเปลี่ยนสัตว์ระหว่างประเทศของรัฐบาลไทย โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.) โดยล่าสุดกลุ่มองค์กรพัฒนาเอกชน(เอ็นจีโอ)ในประเทศ ออสเตรเลีย ระบุว่า ทางสมาคมสวนสัตว์ปฏิเสธที่จะเปิดเผยข้อมูลในเรื่องการขออนุญาตนำเข้าช้างจากประเทศไทย โดยจงใจปกปิดข้อมูลดังกล่าว ทั้งที่ได้พยายามยื่นหนังสือขอให้เปิดเผยรายละเอียดหลายครั้ง เพราะเป็นห่วงสวัสดิภาพของช้าง เนื่องจากมองว่าออสเตรเลียไม่มีประสบการณ์ในการดูแลและเลี้ยงช้าง อาจทำให้ช้างมีปัญหาล้มตายได้ น.ส.โซไรดา ซาลวาลา เลขาธิการมูลนิธิเพื่อนช้าง กล่าวว่า เรื่องนี้ตนเคยยื่นหนังสือคัดค้านถึงพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มาแล้วหลายครั้งแต่ก็ไม่ได้รับความสนใจเพราะเรื่องนี้ นายกรัฐมนตรี เป็นคนไปทำสัญญากับออสเตรเลียในช่วงการเจรจรการค้าเสรีกับออสเตรเลียเมื่อปี 2546 และจะมอบช้างไทยให้เป็นของขวัญแลกกับหมีโคอาล่า อย่างน้อย 2 ตัว จึงเป็นเรื่องยากที่จะให้นายกรัฐมนตรีเปลี่ยนใจ ดังนั้นเมื่อเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา ตนจึงเดินทางไปออสเตรเลีย และแถลงข่าวร่วมกับเอ็นจีโอของออสเตรเลีย เพื่อคัดค้านการนำเข้าช้างไทย รวมทั้งยังได้เข้าพบวุฒิสมาชิก และส.ส.ของออสเตรเลีย เพื่อขอให้ช่วยคัดค้านด้วย น.ส.โซไรดา กล่าวอีกว่า การนำเข้าช้างไทยครั้งนี้ ออสเตรเลียอ้างว่าไม่ได้นำเข้าช้างป่าแต่เป็นช้างบ้านที่ซื้อมา แต่ตนได้ชี้แจงไปว่าประเด็นไม่ได้อยู่ตรงนั้น แต่เห็นว่าเป็นการส่งช้างไปอยู่ในสถานที่ที่ไม่เหมาะสม และยากให้ช้างเหล่านี้มีชีวิตตามธรรมชาติ จึงเป็นเรื่องไม่สมควร ทั้งปัจจุบันไทยมีช้างเหลือเพียง 2,600 เชือกเท่านั้น นอกจากนี้แหล่งข่าวจากองค์การสวนสัตว์ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวถึงความคืบหน้าว่า ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบเอกสารรายละเอียดการส่งช้าง รวมทั้งการตรวจสอบสุขภาพช้างทั้ง 9 เชือก ซึ่งเรื่องนี้ทางสำนักงานไซเตส ประเทศไทย กำลังตรวจสอบอยู่ แต่คาดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะช้างทั้งหมดไม่ใช่ช้างป่า แต่เป็นช้างบ้านครอบจาก จ.พระนครศรอยุธยา และสุรินทร์ อายุเฉลี่ยประมาณ 3-8 ปี นอกจากนี้ ยังเป็นการแลกเปลี่ยนกันเพื่อการวิจัยและศึกษาในโครงการแลกเปลี่ยนสัตว์ระหว่างประเทศ ไม่ได้มีการซื้อขายกันเป็นเงิน และรัฐบาลออสเตรเลีย จะเป็นผู้ออกค่าขนส่งเองทั้งหมด ดังนั้น จึงมั่นใจว่าจะไม่ผิดเงื่อนไขของไซเตส แหล่งข่าวคนเดิม ยังกล่าวถึงกรณีที่อาจมีการประท้วงจากเอ็นจีโอไทย และต่างประเทศ ซึ่งจะทำให้การส่งช้างไทยไปต่างประเทศต้องถูกระงับหรือไม่นั้น ว่า ต้องดูเหตุผลของการประท้วง แต่ส่วนตัวเชื่อว่าไม่น่าจะมีปัญหาอย่างแต่อย่างใด อีกทั้งการดำเนินการนั้นองค์การสวนสัตว์ฯ เป็นเพียงหน่วยงานประสาน ร่วมกับทางกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช เท่านั้น ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ในการประชุมผู้บริหารกระทรวง ทส.เมื่อเร็ว ๆ นี้ นายสุวิทย์ ยังได้ย้ำเรื่องการดำเนินงานเกี่ยวกับการจัดหา และแลกเปลี่ยนสัตว์ในโครงการต่างๆ ได้แก่ การจัดหาสัตว์สำหรับไนท์ซาฟารี ที่จ.เชียงใหม่ โดยในส่วนของหมีโคล่านั้น ให้นำมาพักเอาไว้ที่สวนสัตว์เชียงใหม่ เพื่อให้ทันตามที่พ.ต.ท.ทักษิณ กำหนดให้เดือน เม.ย.นี้ รวมทั้งการเร่งรัดส่งมอบช้างไทยให้ประเทศออสเตรเลียด้วย ............................................................... ^ ^ ^ หมีโคอาล่า 2 ตัว แลกกับ ช้างไทยสมบัติชาติไทย 9เชือก อยากจะเอาเรื่องนี้มาตีแผ่และตอกย้ำอีกที...เผื่อจะปลุกจิตสำนึกให้คนไทยรักษ์ช้างและช่วยกันแสดงความเป็นเจ้าของในสมบัติล้ำค่าที่มีชีวิตจิตใจ ตัวใหญ่น่ารัก และใจดี อย่างจริงๆจังๆ ...................................................... ขอโพสรูปความน่ารักของช้างไทยของพวกเรามาให้ดูค่ะ ขอบคุณภาพช้างน่ารักๆจากเว็บ http://seedang.com/stories/39460 ......................................... สองรูปข้างล่างจากเว็บ http://travel.sanook.com/north/lumpang/lumpang_02711.php ..................................................... หากเสียงนี้จะมีโอกาสไปถึงรัฐบาลได้อยากฝากบอกท่านนายก ว่า ขอความกรุณา แต่งตั้งคนดีๆที่อนุรักษ์ช้างด้วยใจจริงไม่หวังผลปรโยชน์ทางธุรกิจ ช่วยให้ความสำคัญกับ ท่านที่อนุรักษ์ช้าง มูลนิธิต่างๆ ให้โอกาสคนเหล่านี้ได้เข้ามาทำงานระดับชาติ และให้ปัญหาของช้างไทยขยับขึ้นเป็น วาระแห่งชาติ วาระเร่งด่วน โดยให้คนที่เขาทำงานใกล้ชิดกับช้าง เข้าใจธรรมชาติของช้าง และทำงานเพื่อช้างไทยมานาน ได้มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง โดยไม่ต้องฟังคำสั่งจากพวกนักการเมืองที่มาแล้วก็ไป.....ไม่สนใจแก้ปัญหาอย่างจริงใจหรือจริงจัง สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทุกมูลนิธิ และทุกๆท่านที่ได้ดูแลและร่วมอนุรักษ์ช้างไทยด้วยค่ะ ขอกราบคาราวะด้วยใจจริง ................................................... 1.เว็บมูลนิธิช้างแห่งประเทศไทย http://www.asian-elephant.org/default_t.shtml 2.มูลนิธิเพื่อนช้าง http://www.elephant-soraida.com/ 3.มูลนิธิคืนช้างสู่ธรรมชาติ http://www.elephantreintroduction.org/thai/about_th.html ใครมีข้อมูลเพิ่มเติมรบกวนช่วยแปะเว็บที่ร่วมอนุรักษ์ช้างด้วยค่ะ ร่วมด้วยช่วยกันเนาะ (o*^________________^*o)