3 พฤษภาคม 2555 11:46 น.
โคลอน
แปลกจัง หลายวันมานี่ ฟังแต่เพลง ฉ่อย แล้วก็มีลิ้งค์ไปหาเพลงแหล่
เพลงแหล่มีหลายเรื่องหลายตอน แต่ไหงอยากรู้เรื่องของ "องคุลีมาล"กันนะ
เคยเรียนตั้งแต่เด็กแต่ไม่เคยจำประวัติการกำเนิด จำได้แต่เรื่องไม่ดีขององคุลีมาลอย่างเดียว
พอฟังเพลงแหล่ประวัติองคุลีมาล ก็ให้รู้สึกสงสารในชะตากรรม ของ องคุลีมาลจริง
................................................
แหล่ประวัติองคุลีมาล 1 - 5 พร ภิรมย์
http://www.youtube.com/watch?v=S8TDdgYgKsQ&feature=related
แหล่ประวัติองคุลีมาล 6 -10 พร ภิรมย์
http://www.youtube.com/watch?v=bTylMc-ZvxU&feature=relmfu
แหล่ประวัติองคุลีมาล 11- 14 พร ภิรมย์
ไม่มี............น่าเสียดายจัง
แหล่ประวัติองคุลีมาล 15 - 20 พร ภิรมย์
http://www.youtube.com/watch?v=8ft_lRe4aO8&feature=relmfu
...........................
ประวัติพระองคุลีมาลเถระ
http://www.dharma-gateway.com/monk/great_monk/pra-ong-kulee-marn.htm
กำเนิดอหิงสกกุมาร
ที่เมืองสาวัตถีของพระเจ้าปเสนทิโกศล พระองคุลิมาลนี้ ได้ถือปฏิสนธิในครรภ์แห่งนางพราหมณ์ชื่อ มันตานี ภรรยาของ คัคคพราหมณ์ (ภัคควพราหมณ์) ซึ่งเป็นปุโรหิตแห่งเมืองสาวัตถี ในเวลาที่องคุลิมาลคลอดออกจากครรภ์มารดานั้น บรรดาอาวุธทั้งหลายในนครทั้งสิ้นช่วงโชติขึ้น แม้กระทั่งฝักดาบ ที่อยู่ในห้องพระบรรทมก็ส่งแสงเรืองขึ้น พราหมณ์ปุโรหิตจึงลุกออกมาแหงนดูดาวนักษัตร ก็รู้ว่าบุตรเกิดโดยฤกษ์ดาวโจร ลูกของตนที่จะเกิดจากครรภ์ของภรรยานั้น จะเป็นโจรผู้ร้ายกาจเที่ยวเข่นฆ่ามนุษย์เสียมากมาย
วันรุ่งขึ้นปุโรหิตจึงเข้าไปในพระราชวัง เข้าเฝ้าพระเจ้าปเสนทิโกศล เพื่อทูลถวายรายงานถึงเหตุอาเพศที่เกิดขึ้นเมื่อคืนก่อน และกราบทูลว่าเป็นเพราะลูกที่เกิดจากนางพราหมณีที่เรือนของตน พระราชาสอบถามว่าอาเพศดังกล่าวจักเกิดเหตุอะไร ปุโรหิตกราบทูลว่า เขาจักเป็นมหาโจร พระราชาถามต่อว่าจักเป็นโจรทำร้ายผู้คน หรือ เป็นโจรประทุษร้ายราชสมบัติ ปุโรหิตกราบทูลว่า เขาจะไม่มีภัยต่อราชสมบัติ จะเป็นโจรคนเดียว พระราชาตรัสว่า เป็นโจรคนเดียวจะทำอะไรได้ ถ้าเขาทำเหตุอันใดขึ้นในอนาคต เราก็จักจัดการเขาเสียด้วยกองทหารของเรา จงเลี้ยงเขาไว้เถิด
แม้ในวันที่ตั้งชื่อกุมารนั้น สิ่งของเหล่านี้คือ ฝักดาลอันเป็นมงคลที่วางไว้ ณ ที่นอน ลูกศรที่วางไว้ที่มุม มีดน้อยสำหรับตัดขั้วตาลซึ่งวางไว้ในปุยฝ้ายต่างส่งแสงลุกโพลงขึ้น แต่หาได้เป็นอันตรายหรือเบียดเบียนใครไม่ ปุโรหิตาจารย์นั้นเชื่อตามตำราว่า ลูกตนต้องเป็นคนโหดร้ายทารุณแน่ ก็เลยตั้งชื่อเด็กคนนี้เป็นการแก้เคล็ดเสียว่า อหิงสกกุมาร
"แปลว่า เด็กผู้ไม่เบียดเบียนใคร"
อหิงสกกุมารออกศึกษา
เมื่ออหิงสกกุมารมีอายุพอจะศึกษาศิลปวิทยาแล้ว บิดามารดาจึงส่งไปเรียนกับอาจารย์ทิศาปาโมกข์ที่เมืองตักกศิลา อหิงสกกุมารเป็นคนมีปัญญา ขยัน ตั้งใจเรียนดี มีความประพฤติเรียบร้อย คอยรับใช้อาจารย์ด้วยความเคารพ พูดจาไพเราะจึงเป็นที่พอใจของอาจารย์มาก แต่ศิษย์คนอื่น ๆ เห็นท่านเป็นคนโปรดของอาจารย์ก็ริษยา พากันออกอุบายเพื่อกำจัดอหิงสกมาณพ โดยแบ่งคนออกเป็นสามพวก พวกแรกก็เข้าไปบอกอาจารย์ว่า ได้ยินมาว่าอหิงสกมาณพจะประทุษร้ายท่านอาจารย์ ทีแรกอาจารย์ไม่เชื่อ แต่เมื่อพวกที่สอง และ พวกที่สามเข้าไปบอกเรื่องอย่างเดียวกัน หนักเข้าก็กลับใจเชื่อ แล้วอาจารย์จึงหาอุบายฆ่าอหิงสกมาณพ
อาจารย์คิดต่อไปอีกว่า ถ้าเราฆ่ามัน ใคร ๆ ก็จะคิดว่าอาจารย์ทิศาปาโมกข์ ลงโทษมาณพผู้มาเรียนศิลปะยังสำนักของตนแล้วปลงชีวิตเสีย ดังนี้ ก็จักไม่มีใครมาเล่าเรียนศิลปะกับเราอีก ถ้าเป็นอย่างนั้นเราก็จะเสื่อมลาภ ดังนั้นจึงได้ออกอุบายยืมมือคนอื่นฆ่า โดยให้มาณพนั้นฆ่าคนให้ได้พันคน ด้วยคาดว่าเมื่ออหิงสกกุมารปฏิบัติตามคำสั่งของตน เที่ยวได้ฆ่าคนไป ก็จะต้องมีใครคนใดคนหนึ่งต่อสู้ และฆ่ามาณพนั้นจนได้ แล้วอาจารย์จึงบอกมาณพนั้นว่า ยังมีคำสำหรับศิลปะวิชาขั้นสุดท้ายอยู่ เจ้าจะต้องฆ่าคนให้ได้พันคน เพื่อประกอบพิธีบูชาครู (ครุทักษิณา) มิฉะนั้นวิชานั้นก็จะไม่มีผล
กำเนิดมหาโจรองคุลิมาล
ทีแรกอหิงสกกุมารปฏิเสธโดยอ้างว่าท่านเกิดในตระกูลที่ไม่เบียดเบียนใคร แต่อาจารย์บอกว่าศิลปศาสตร์ที่เรียนไปแล้วถ้ามิได้บูชาครูก็จะไม่อำนวยผลที่ต้องการ ด้วยนิสัยรักวิชา อหิงสกกุมารจึงยอมปฏิบัติตาม โดยออกไปสู่ป่าชาลิวันในแคว้นโกศล อาศัยอยู่ที่หุบเขาแห่งหนึ่งคอยดักฆ่าคนเดินทางออก เที่ยวปล้นหมู่บ้านและตำบลต่าง ๆ เป็นโกลาหล ได้ฆ่าคนล้มตายเป็นจำนวนมาก
แรก ๆ อหิงสกมาณพก็ไม่ได้ตัดนิ้วชนที่ตนฆ่าเก็บเอาไว้ แต่เมื่อฆ่าคนมากเข้า ๆ ก็จำไม่ได้ว่าฆ่าไปแล้วกี่คน เพื่อเป็นเครื่องนับจำนวนคนที่ตนฆ่า อหิงสกมาณพก็ตัดเอานิ้วมือคนที่ตายคนละหนึ่งนิ้ว มาเก็บไว้ แต่เก็บ ๆ ไปก็มีนิ้วที่เสียหายไปบ้างไม่ครบจำนวน จึงเปลี่ยนมาทำเป็นพวงมาลัยคล้องคอไว้ ฉะนั้นคนจึงเรียกชื่อท่านว่า องคุลิมาล
นับแต่ออกจากสำนักอาจารย์มา องคุลิมาลก็คอยดักซุ่มฆ่าคนเรื่อยไป เจอใครฆ่าหมดไม่ว่าผู้หญิงผู้ชายคนเฒ่าคนแก่เด็กเล็กเด็กแดงไม่เลือก จนไม่มีใครสามารถไปป่าเพื่อหาฟืนเป็นต้น ในตอนกลางคืนก็เข้ามายังภายในบ้านเอาเท้าถีบประตู แล้วก็ฆ่าคนที่นอนนั้นแหละ หมู่บ้านก็ร่นถอยไปตั้งในนิคม.นิคมก็ร่นถอยไปตั้งอยู่ในเมือง พวกมนุษย์ทิ้งบ้านเรือนจูงลูกเดินทางมาล้อมพระนครสาวัตถี เป็นระยะทางถึงสามโยชน์ ตั้งค่ายพักประชุมกันที่ลานหลวง ต่างคร่ำครวญกล่าวกันว่า ข้าแต่สมมติเทพ ในแว่นแคว้นของพระองค์ มีโจรชื่อองคุลิมาล
พราหมณ์ปุโรหิตได้ยินเรื่องดังนั้นก็รู้ว่า โจรองคุลิมารนั้นต้องเป็นบุตรของเราเป็นแน่ จึงกล่าวกะนางพราหมณีว่า เกิดโจรชื่อองคุลิมาลขึ้นแล้ว โจรนั้นคงไม่ใช่ใครอื่น ต้องเป็นอหิงสกกุมาร ลูกของเราเป็นแน่ บัดนี้ พระราชาจะเสด็จออกไปจับเขา เราควรจะทำอย่างไร นางพราหมณีพูดว่า ฉันจะไปพาลูกของฉันมา ดังนี้ จึงออกเดินทางเพื่อไปบอกลูกบุตรชายให้หนีไปเสีย
เวลานั้นโจรองคุลิมาลได้นิ้วมือมาเพียง ๙๙๙ นิ้ว ยังขาดอยู่นิ้วเดียวเท่านั้น จึงกระหายเป็นกำลังและตั้งใจว่าถ้าพบใครก่อนก็จะฆ่าทันทีเพื่อจะได้นิ้วมือครบตามต้องการ แล้วจะได้ตัดผมโกนหนวดอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปเยี่ยมบิดามารดา
องคุลิมาลพบพระพุทธเจ้า
เช้าตรู่วันนั้นพระบรมศาสดาทรงตรวจดูสัตว์โลก ทรงเห็นว่าองคุลิมาลเป็นผู้มีอุปนิสัยพอที่จะโปรดให้บรรลุมรรคผลได้ และทรงพระดำริเห็นว่า ถ้าพระองค์มิได้เสด็จไปโปรด องคุลิมาลก็จะกระทำมาตุฆาต ฆ่ามารดาของตนเสีย จะเป็นผู้กระทำอนันตริยกรรม ไม่สามารถบรรลุธรรมใด ๆ ได้ในชาตินี้ แม้จะได้ฟังธรรมโดยตรงจากพระพุทธองค์ พระองค์จึงเสด็จจาริกมุ่งตรงไปยังป่าชาลิวันเป็นระยะทาง ๓๐ โยชน์ เพื่อสกัดองคุลิมาลไว้มิให้ทันได้ฆ่ามารดา
ธรรมดาการเสด็จจาริกของพระผู้มีพระภาคเจ้า มี ๒ อย่างคือ เสด็จจาริกอย่างรีบด่วน ๑ เสด็จจาริกอย่างไม่รีบด่วน ๑ ใน ๒ อย่างนั้น การที่พระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็นบุคคลที่ควรให้ตรัสรู้ได้แม้ในที่ไกล ก็จะเสด็จไปโดยเร็วเพื่อประโยชน์แก่การตรัสรู้ของเขา ชื่อว่าเสด็จจาริกอย่างรีบด่วน. เช่นในการเสด็จไปเพื่อประโยชน์แก่พระอังคุลิมาลในครั้งนี้
ในระหว่างทางนั้นพวกคนเลี้ยงโคได้พากันวิ่งเข้าไปกราบทูลขอร้องถึง ๓ ครั้ง มิให้เสด็จไปหาองคุลิมาลเพราะกลัวพระองค์จะได้รับอันตราย แต่พระพุทธองค์ทรงเฉยเสียแล้วเสด็จดำเนินต่อไปจนถึงป่าชาลิวัน
โจรองคุลิมาลได้เห็นพระผู้มีพระภาคเสด็จมาแต่ไกล ก็คิดว่าน่าประหลาดจริงหนอ เมื่อก่อน แม้พวกบุรุษมากันสิบคนก็ดี ยี่สิบคนก็ดี สามสิบคนก็ดี สี่สิบคนก็ดี ก็ยังต้องรวมเป็นกลุ่มเดียวกันเดินทาง แต่ถึงอย่างนั้น บุรุษพวกนั้นยังต้องตายเพราะมือเรานี่มีเพียงสมณะนี้ผู้เดียวไม่มีเพื่อนมาด้วยชะรอยสมณะนี้คงจะมีดีอะไรสักอย่างแล้วจะมาลองดีกับเรา ถ้ากระไรเราพึงปลิดชีวิตสมณะนี้เถิด ครั้งนั้น องคุลิมาลโจรถือดาบและโล่ผูกสอดแล่งธนู ติดตามพระผู้มีพระภาคไปทางพระปฤษฎางค์ ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงบันดาลอิทธิฤทธิ์ ในลักษณะที่องคุลิมาลจะวิ่งจนสุดกำลัง ก็ไม่อาจทันพระผู้มีพระภาค ผู้เสด็จไปตามปกติได้
เมื่อเป็นดังนั้น องคุลิมาลโจรก็ได้มีความคิดว่า น่าอัศจรรย์จริงเมื่อก่อนนี้แม้ช้างกำลังวิ่ง ม้ากำลังวิ่ง รถกำลังแล่น เนื้อกำลังวิ่ง เราก็ยังวิ่งตามจับได้ แต่ว่านี่เราวิ่งจนสุดกำลัง ยังไม่อาจทันสมณะนี้ซึ่งเดินไปตามปกติได้ คิดดังนี้แล้วจึงหยุดยืนกล่าวกะพระผู้มีพระภาคว่า จงหยุดก่อนสมณะ จงหยุดก่อนสมณะ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เราหยุดแล้ว องคุลิมาล ท่านเล่าจงหยุดเถิด
ครั้งนั้น องคุลิมาลโจรคิดอยู่ว่า สมณศากยบุตรเหล่านั้น ปกติมักเป็นคนพูดจริงมีปฏิญญาจริง แต่สมณะรูปนี้ กำลังเดินไปอยู่แท้ ๆ กลับพูดว่า เราหยุดแล้ว คงจะต้องมีนัยอะไรสักอย่าง เราน่าจะถามสมณะรูปนี้ดูจะดีกว่า
ครั้งนั้น องคุลิมาลโจรได้กราบทูลพระผู้มีพระภาค "สมณะ...ท่านกำลังเดินไป ยังกล่าวว่าเราหยุดแล้ว และยังกล่าวกะข้าพเจ้าผู้หยุดแล้ว ว่าไม่หยุด...สมณะ ข้าพเจ้าขอถามท่านว่า ท่านหยุดแล้วเป็นอย่างไร ข้าพเจ้ายังไม่หยุด เป็นอย่างไร"?
องคุลิมาลทูลขอบรรพชา
พระพุทธองค์มีพระดำรัสตอบว่า "องคุลิมาลเราได้หยุดคือเลิกฆ่าสัตว์ตัดชีวิตแล้ว ส่วนตัวเธอยังไม่หยุด คือยังฆ่าสัตว์ตัดชีวิตอยู่ เราจึงพูดเช่นนั้น" องคุลิมาลได้ยินพระสุรเสียงอันแจ่มใส พระดำรัสที่คมคายเช่นนั้น ก็เกิดใจอ่อน รู้สึกสำนึกผิดได้ทันทีแล้ววางดาบ ทิ้งธนู สลัดแล่งโยนทิ้งลงเหวที่หุบเขา เข้าไปถวายบังคมพระบาทยุคลของพระพุทธองค์ ทูลขอบวชในพระพุทธศาสนา พระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้บวชเป็นภิกษุด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา โดยได้ทรงพิจารณาเห็นว่าองคุลีมาลนั้นถึงพร้อมด้วยอุปนิสัยและได้เคยถวายภัณฑะ คือ บริขารแปด แก่ท่านผู้มีศีลในปางก่อน ก็ทรงเหยียดพระหัตถ์เบื้องขวาออกจากบังสุกุลจีวร เปล่งพระสุรเสียง ตรัสเรียกว่า เธอ จงมาเป็นภิกษุเถิด จงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด
พร้อมกับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นนั่นเอง เพศคฤหัสถ์ขององคุลีมาลนั้นก็อันตรธานไป บรรพชาและอุปสมบทก็สำเร็จ องคุลิมาลนั้นก็เป็นผู้ปลงผมนุ่งห่มผ้ากาสาวะ คือนุ่งผ้าอันตรวาสก ผืนหนึ่ง ห่มผ้าอุตราสงค์ ผืนหนึ่ง พาดผ้าสังฆาฏิไว้บนบ่าผืนหนึ่ง มีบาตรดินที่มีสีเหมือนดอกอุบลเขียวคล้องไว้ที่บ่าข้างซ้าย พร้อมด้วยบริขารอื่น คือ มีดโกน เข็ม และผ้ารัดประคดเอว และ ผ้ากรองน้ำ เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยอิริยาบถ เหมือนพระเถระอายุพรรษาตั้งร้อยพรรษา มีพระพุทธเจ้าเป็นพระอาจารย์ มีพระพุทธเจ้าเป็นพระอุปัชฌายะ ยืนถวายบังคมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ทีเดียว
พระบรมศาสดาก็เสด็จพาองคุลิมาลภิกษุไปสู่พระเชตวันมหาวิหาร ณ กรุงสาวัตถี
พระเจ้าปเสนทิโกศลได้พบภิกษุองคุลิมาล
สมัยนั้น หมู่มหาชนก็มาชุมนุมกันอยู่ที่ประตูพระราชวังของพระเจ้าปเสนทิโกศล ส่งเสียงร้องทุกข์กับพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า ในแว่นแคว้นของพระองค์ มีโจรชื่อว่าองคุลิมาล เป็นคนหยาบช้า ฆ่าคนโดยไม่มีความกรุณา องคุลิมาลโจรนั้น เข่นฆ่าพวกมนุษย์แล้วเอานิ้วมือร้อยเป็นพวงแขวนคอไว้ ขอพระองค์จงกำจัดมันเสียเถิด
พระเจ้าปเสนทิโกศลนั้นทรงกลัวองคุลิมาล มิได้มีพระประสงค์จะไปจับโจรเลยแต่ทรงเกรงต่อคำครหา จึงทรงดำริว่า ถ้าเราจะไปเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ พระองค์ก็ทรงตรัสถามว่า พระองค์พาไพร่พลออกมาเพราะเหตุไร เราก็จะทูลว่า ก็พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้สงเคราะห์ข้าพระองค์ ด้วยประโยชน์ในภพหน้าแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แม้ประโยชน์ในปัจจุบันก็ทรงสงเคราะห์ด้วย ข้าพระองค์ออกมาจับโจรองคุลิมาล ถ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นว่าเราจะจับโจรได้ก็คงจะทรงนิ่งเสีย แต่ถ้าเราทรงเห็นว่าเราจะแพ้ ก็จะทรงตรัสว่า มหาบพิตร จะมีประโยชน์อะไร ด้วยการเสด็จมาด้วยเรื่องของโจรเพียงคนเดียว ถ้าเป็นอย่างนั้นคนก็จะเข้าใจเราอย่างนี้ว่า พระราชาเสด็จออกจับโจร แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงห้ามเสียแล้ว ดังนี้ เราก็จะพ้นคำครหาด้วยประการฉะนี้
ดังนั้นพระเจ้าปเสนทิโกศลจึงได้เสด็จเคลื่อนพลออกจากนครสาวัตถี ด้วยกระบวนม้าประมาณ ๕๐๐ เสด็จเข้าไปยังพระเชตวันมหาวิหารแต่ยังวันทีเดียว เสด็จไปด้วยพระยานจนสุดทางที่ยานจะสามารถไปได้แล้ว เสด็จลงจากพระยานแล้ว ทรงพระราชดำเนินด้วยพระบาทเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้วถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกับพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า ดูกรมหาบพิตร พระเจ้าพิมพิสาร แห่งแคว้นมคธทรงทำให้พระองค์ทรงขัดเคือง หรือเป็นเจ้าลิจฉวี เมืองเวสาลี หรือว่าเป็นพระราชาผู้เป็นปฏิปักษ์เหล่าอื่น?
พระเจ้าปเสนทิโกศลกราบทูลว่า มิได้พระเจ้าข้า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉัน ออกมาจับโจรชื่อว่าองคุลิมาล
พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ดูกรมหาราช ถ้ามหาบพิตรทอดพระเนตรเห็น องคุลิมาล เป็นผู้ปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสายะ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต เว้นจากการฆ่าสัตว์ เว้นจากการลักทรัพย์ เว้นจากการพูดเท็จ ฉันภัตตาหารหนเดียว ประพฤติพรหมจรรย์ พระองค์จะทรงกระทำอย่างไรกะเขา?
พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงตรัสว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันจะพึงทำความเคารพ จะจัดถวายจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร หรือก็จะจัดการรักษาป้องกันคุ้มครองอย่างเป็นธรรม ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แต่องคุลิมาลโจรนั้น เป็นคนทุศีล มีบาป จะมีความสำรวมด้วยศีลถึงอย่างนั้นได้อย่างไร?
ขณะนั้น ท่านพระองคุลิมาล นั่งอยู่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคทรงยกพระหัตถ์เบื้องขวาขึ้นชี้ตรัสบอกพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า ดูกรมหาราช นั่น องคุลิมาล
พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงเห็นองคุลิมาลก็ทรงมีความกลัว ทรงหวาดหวั่น พระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงกลัว จึงได้ตรัสกะพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า อย่าทรงกลัวเลย มหาราช อย่าทรงกลัวเลย มหาราช บัดนี้ องคุลิมาลนี้ไม่เป็นภัยกับผู้ใดแล้ว ครั้งนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงระงับความกลัวได้แล้ว จึงเสด็จเข้าไปหาท่านองคุลิมาลถึงที่ที่ท่านนั่งอยู่ แล้วทรงดำริว่าการที่จะถือเอาชื่อที่เกิดขึ้นเพราะกรรมอันชั่วช้า คือชื่อ "องคุลิมาล" นั้นนำมาเรียกพระภิกษุ เป็นการไม่สมควร เราจักเรียกท่านด้วยชื่อแห่งโคตรของบิดามารดา ดังนี้ จึงถามว่า บิดาของพระผู้เป็นเจ้ามีโคตรอย่างไร มารดาของพระผู้เป็นเจ้ามีโคตรอย่างไร?
ท่านพระองคุลิมาลถวายพระพรว่า ดูกรมหาบพิตร บิดาชื่อ คัคคะ มารดาชื่อ มันตานี
พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงทรงปวารณาที่จะถวายจีวร บิณฑบาต เสนาสนะและคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร แก่ท่านคัคคะมันตานีบุตร. และเพื่อแสดงถึงความตั้งพระทัยในการกล่าวปวารณานั้นอย่างจริงจัง พระเจ้าปเสนทิโกศล ก็ทรงเปลื้องผ้าสาฏกที่คาดเอววางไว้ ณ ที่ใกล้เท้าของพระเถระ
แต่เนื่องจากในครั้งนั้น ท่านพระองคุลิมาล ถือการอยู่ในป่าเป็นวัตร ถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร ถือผ้าสามผืนเป็นวัตร ดังนั้น ท่านองคุลิมาลจึงได้ถวายพระพรพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า อย่าเลย มหาราช ไตรจีวรของอาตมภาพมีบริบูรณ์แล้ว
พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงสรรเสริญพระพุทธคุณ ที่ทรงสามารถปราบโจรร้ายได้ โดยไม่ต้องใช้อาญาและศัสตราอาวุธใด ๆ ลำดับนั้น แล้วทรงลุกจากที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วเสด็จกลับไป
พระองคุลิมาลโปรดหญิงมีครรภ์
หลังจากที่ท่านพระองคุลิมาลได้บวชแล้ว ท่านก็ได้รับความลำบากในเรื่องการบิณฑบาต แรก ๆ ท่านก็ออกบิณฑบาตภายนอกพระนคร แต่พวกชาวบ้านพอเห็นท่านแล้วย่อมสะดุ้งบ้าง ย่อมหนีเข้าป่าไปบ้าง ย่อมปิดประตูบ้าง บางพวกพอได้ยินว่า องคุลิมาล ก็วิ่งหนีเข้าเรือนปิดประตูเสียบ้าง เมื่อไม่อาจหนีได้ทันก็ยืนผินหลังให้ พระเถระไม่ได้แม้ข้าวยาคูสักกระบวยหนึ่ง แม้ภัตสักทัพพีหนึ่ง เมื่อท่านเห็นว่าไม่สามารถบิณฑบาตได้ภายนอกพระนครก็เข้าไปบิณฑบาตยังในพระนคร แต่พอเข้าไปทางประตูเมืองนั้น ก็เป็นเหตุให้มีเสียงตะโกนระเบิดออกมาเป็นพัน ๆ เสียงว่าองคุลิมาลมาแล้ว ๆ
บัญญัติพระวินัยเรื่องการให้บวชโจรที่ขึ้นชื่อโด่งดัง
ในเรื่องนี้ก็เป็นเหตุให้พระพุทธองค์ทรงบัญญัติพระวินัยไว้โดยที่ในเรื่องนี้ประชาชนได้เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรจึงให้โจรที่ขึ้นชื่อโด่งดังบวชเล่า. ภิกษุทั้งหลายได้ยินพวกนั้น เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค
พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย โจรที่ขึ้นชื่อโด่งดัง ภิกษุไม่พึงให้บวช รูปใดให้บวช ต้องอาบัติทุกกฎ
ต่อมา ท่านเข้าไปบิณฑบาตในเมือง เห็นหญิงคลอดลูกไม่ออกคนหนึ่งจึงเกิดความสงสาร เมื่อกลับจากบิณฑบาตแล้ว ได้เข้าไปเฝ้าพระพุทธองค์ กราบทูลเรื่องนั้นให้ทรงทราบ
พระพุทธองค์ทรงพระปริวิตกเกี่ยวกับเรื่องพระเถระลำบากด้วยภิกษาหาร เพื่อจะสงเคราะห์พระเถระนั้นโดยการลดความหวาดกลัวของประชาชนลง พระองค์จึงทรงมีพระประสงค์จะให้พระเถระแสดงสัจจกิริยาอนุเคราะห์แก่สตรีผู้เจ็บครรภ์เพื่อให้ชนทั้งหลายเห็นว่า บัดนี้พระองคุลิมาลเถระกลับได้มีเมตตาจิต กระทำความสวัสดีให้แก่พวกมนุษย์ด้วยสัจจกิริยา ฉะนั้นชนทั้งหลายย่อมคิดว่าควรเข้าไปหาพระเถระ ต่อแต่นั้นพระเถระก็จะไม่ลำบากด้วยภิกษาหาร
พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า ดูกร องคุลิมาล ถ้าอย่างนั้น เธอจงเข้าไปหาสตรีนั้นและกล่าวกะสตรีนั้นอย่างนี้ว่า ดูกรน้องหญิง ตั้งแต่เราเกิดมาแล้ว จะได้รู้สึกว่าแกล้งปลงสัตว์จากชีวิตหามิได้ ด้วยสัจจวาจานี้ ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่าน ขอความสวัสดีจงมีแก่ครรภ์ของท่านเถิด
ท่านพระองคุลิมาลกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าข้าพระองค์กล่าวเช่นนั้นก็จะเป็นว่าข้าพระองค์กล่าวเท็จทั้งรู้อยู่เป็นแน่ เพราะข้าพระองค์แกล้งปลงสัตว์เสียจากชีวิตเป็นอันมาก
พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ดูกร องคุลิมาล ท่านอย่าถือเอาเหตุนั้นเลย นั่นไม่ใช่ชาติของท่าน นั่นเป็นเวลาเมื่อเป็นคฤหัสถ์ ธรรมดาคฤหัสถ์ย่อมฆ่าสัตว์.บ้าง ย่อมกระทำอทินนาทานเป็นต้นบ้าง แต่บัดนี้ ชาติของท่านชื่อว่า อริยชาติ.เพราะฉะนั้น ท่านถ้ารังเกียจจะพูดอย่างอย่างนั้น ท่านจงเข้าไปหาสตรีนั้น แล้วกล่าวกะสตรีนั้นอย่างนี้ว่า ดูกรน้องหญิง ตั้งแต่เราเกิดแล้วในอริยชาติ จะได้รู้สึกว่าแกล้งปลงสัตว์เสียจากชีวิตหามิได้ ด้วยสัจจวาจานี้ ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่าน ขอความสวัสดีจงมีแก่ครรภ์ของท่านเถิด
พระองคุลิมาลทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว เข้าไปหาหญิงนั้นถึงที่อยู่ เพื่อกระทำสัจจกิริยาให้หญิงนั้รคลอดโดยสวัสดี ก็โดยปกติแล้ว การคลอดบุตร ของหญิงทั้งหลาย ผู้ชายไม่ควรจะเข้าไป ญาติของหญิงนั้นจึงกั้นม่านปูลาดตั่งไว้ภายนอกม่านไว้ให้พระเถระ พระเถระจึงนั่งลงบนตั่งนั้น และกระทำสัจจกิริยา ครั้นสิ้นคำสัจจกิริยานั้น ทารกก็ออกจากครรภ์มาดาอย่างง่ายดาย ดุจเทน้ำออกจากกระบอก ทั้งมารดาทั้งบุตรต่างก็มีความปลอดภัย
คำสัจจกิริยาของพระเถระนี้ มหาชนต่างก็ถือว่าเป็นพระปริตรอันศักดิ์สิทธิ์ ในประเทศไทยเองก็ได้อยู่ในบทสวดทั้งเจ็ดตำนานและสิบสองตำนาน ชื่อว่า องคุลิมาลปริต ในครั้งนั้น แม้กระทั่งตั่งที่พระเถระนั่งกระทำสัจจกิริยา ชนทั้งหลายเพียงนำสัตว์ดิรัจฉานตัวเมียที่มีครรภ์คลอดลำบากมาให้นอนที่ตั่งนั้น ก็จะคลอดออกได้โดยง่าย แม้แต่ตัวใดที่พิการนำมาไม่ได้ ก็เพียงแต่เอาน้ำล้างตั่งนั้นไปรดศีรษะ ก็คลอดออกได้ในขณะนั้นทีเดียว แม้โรคอย่างอื่นก็สงบไป ได้ยินว่า พระมหาปริตนี้มีปาฏิหาริย์ตั้งอยู่ตลอดกัป
ตั้งแต่นั่นมาปัญหาเรื่องภิกษาหารของพระเถระก็หมดไป แต่พระประสงค์ของพระพุทธองค์ ในการที่จะให้พระเถระกระทำสัจจกิริยาด้วยถ้อยคำดังกล่าวข้างต้น ด้วยทรงมีพระพุทธประสงค์อีกประการหนึ่งก็คือ ในอดีตตั้งแต่พระเถระบรรพชาแล้ว ท่านก็เพียรในสมณธรรม แต่เมื่อขณะที่พระเถระกระทำกัมมัฏฐานนั้น ท่านก็ไม่สามารถทำความสงบให้เกิดขึ้นแก่จิตได้ ด้วยภาพแห่งการกระทำที่ในดง เช่นการฆ่าพวกมนุษย์ ภาพการโอดครวญวิงวอนของเหล่ามนุษย์ที่ท่านกำลังจะฆ่า ว่า ข้าพเจ้าเป็นคนเข็ญใจ ข้าพเจ้ายังมีบุตรเล็ก ๆ อยู่ โปรดให้ชีวิตแก่ข้าพเจ้าเถิดนาย ภาพความวิการแห่งมือและเท้าก็ดี ของคนเหล่านั้น ดังนี้ ย่อมมาสู่จิตของท่าน จนท่านไม่สามารถกระทำสมณธรรมได้ต้องลุกไปเสียจากที่นั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ให้พระเถระกระทำสัจจกิริยาโดยอ้างอริยชาติ ด้วยทรงเล็งเห็นว่า พระองคุลิมาลต้องกระทำชาติ(ที่เป็นคฤหัสถ์)นั้นให้เป็นอัพโพหาริก (เป็นโมฆะ) คือให้พระเถระไม่คิดถึงเรื่องในเมื่อครั้งเป็นคฤหัสถ์ แต่ให้ท่านได้มีความเข้าใจว่าท่านเกิดใหม่ในอริยชาติแล้ว ให้ท่านคิดดังนี้เสียก่อนแล้วเจริญวิปัสสนา จึงจักบรรลุพระอรหัตต์ได้
ต่อมาภิกษุองคุลิมาลก็หลีกออกจากคณะ ไปบำเพ็ญสมณธรรมอยู่ผู้เดียว ไม่นานเท่าไรนักก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์
ในการสำเร็จเป็นพระอรหันต์ของพระองคุลิมาลเถระนั้น ไม่เป็นที่ปรากฏชัดแก่ภิกษุบางเหล่า ดังเช่นมีเรื่องเล่าว่า
สมัยหนึ่ง ครั้นเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเที่ยวจาริกไปตามชนบทแล้วทรงมาถึงพระเชตวัน มหาวิหาร พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงกระทำมหาทานแข่งกับพวกประชาชน โดยได้นิมนต์พระพุทธองค์พร้อมเหล่าภิกษุทั้งหมดมาเพื่อจะถวายทาน. ในวันที่สองพวกชาวกรุงถวาย พระราชาทรงถวายยิ่งกว่าทานของพวกชาวกรุงเหล่านั้นอีก พวกชาวกรุงก็ถวายยิ่งกว่าทานของพระองค์ เป็นดังนี้ ครั้นเมื่อล่วงไปหลายวันอย่างนั้น พระราชาทรงเกรงว่าจะแพ้พวกชาวกรุง. ทีนั้นพระนางมัลลิกาเทวีผู้เป็นพระมเหสีได้กราบทูลขอจัด อสทิสทาน ถวาย ในอรรถกถากล่าวว่า อสทิสทานนั้น จะมีในพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ และในกาลแห่งพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งๆ นั้น จะมีได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น พระนางมัลลิกาเทวีได้ทรงกราบทูลให้พระราชาจัดทานดังนี้
ให้เขาทำมณฑปสำหรับพระพุทธองค์ทรงประทับภายในวงเวียน ภิกษุที่เหลือนั่งภายนอกวงเวียน; จัดช้าง ๕๐๐ เชือกถือเศวตฉัตร ๕๐๐ คัน ยืนกั้นอยู่เบื้องบนแห่งภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป จัดทำเรือทองคำ ๑๐ ลำวางไว้ ณ ท่ามกลางมณฑป เจ้าหญิงองค์หนึ่งๆ จัดให้นั่งบดของหอมอยู่ในระหว่างภิกษุ ๒ รูป เจ้าหญิงองค์หนึ่งๆ จักถือพัด ยืนพัดภิกษุ ๒ รูป เจ้าหญิงที่เหลือ จัดให้นำของหอมที่บดแล้วมาใส่ในเรือทองคำทั้งหลาย ในบรรดาเจ้าหญิงเหล่านั้น เจ้าหญิงบางพวกให้ถือกำดอกอุบลเขียว เคล้าของหอมที่ใส่ไว้ในเรือทองคำแล้ว
เพราะเหล่าชาวเมืองย่อมหาเจ้าหญิงไม่ได้ ย่อมหาเศวตฉัตรไม่ได้ ย่อมหาช้างไม่ได้ ด้วยของเหล่านี้เป็นของที่มีเฉพาะกับพระราชาเท่านั้น ชาวเมืองก็จะต้องแพ้อย่างแน่นอน
พระราชาจึงรับสั่งให้จัดมหาทานตามวิธีที่พระนางกราบทูลแล้ว แต่ก็ปรากฏว่าช้างยังขาดไปเชือกหนึ่ง พระราชาตรัสบอกว่าพระนางมัลลิกา ที่จริง มีช้างพอ ๕๐๐ เชือก แต่ช้างที่เหลืออยู่เป็นช้างดุร้าย เมื่อเห็นภิกษุทั้งหลายเข้าก็จะพยศ
พระเทวีจึงทูลพระราชาว่า ให้จัดเอาช้างที่ดุร้ายนั้นยืนอยู่ข้างพระผู้เป็นเจ้าที่ชื่อว่าองคุลิมาล
พระราชารับสั่งให้ราชบุรุษทำอย่างนั้น ก็ปรากฏว่าด้วยเดชของพระเถระ ช้างเชือกนั้น แม้สักว่าพ่นลมจมูก ก็ทำไม่ได้ ช้างสอดหางเข้าในระหว่างขา ได้ปรบหูทั้งสอง หลับตายืนอยู่แล้ว.
ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายถามพระองคุลิมาลว่า ท่านเห็นช้างตัวดุร้าย ยืนกั้นฉัตรอยู่แล้ว ไม่กลัวหรือ พระองคุลิมาลตอบว่า ไม่กลัว ภิกษุเหล่านั้น จึงไปกราบทูลพระศาสดาว่า พระองคุลิมาล พยากรณ์พระอรหัตด้วยคำไม่จริง เพราะเนื่องจากมีเฉพาะผู้ที่เป็นพระอรหันต์เท่านั้นที่จะไม่กลัวความตาย พระศาสดาทรงตรัสว่า พระองคุลิมาลมิได้พูดเท็จ เพราะว่า ภิกษุผู้เป็นพระขีณาสพย่อมไม่กลัว
อีกเรื่องหนึ่งก็คือ เมื่อครั้งพระเถระปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุแล้วภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมว่า พระองคุลิมาลเถระเมื่อสิ้นชีวิตแล้วจะไปบังเกิดที่ไหน ? พระศาสดาเสด็จมาแล้ว ตรัสภิกษุทั้งหลายว่านั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไร เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ปรารภกันถึงเรื่องที่พระองคุลิมาลเถระจะไปบังเกิด พระพุทธองค์จึงทรงตรัสว่า พระเถระไม่มาเกิดอีกแล้วเพราะท่านได้ปรินิพพาน (หมายถึงบรรลุพรหัตผล) แล้ว เมื่อภิกษุทั้งหลายทูลถามว่า พระองคุลิมาลเถระฆ่ามนุษย์เป็นจำนวนมากเช่นนั้น ท่านได้ปรินิพพานแล้วหรือ พระพุทธองค์จึงตรัสรับรองว่าเป็นอย่างนั้น เพราะท่านพระองคุลิมาลก่อนนั้นท่านไม่ได้กัลยามิตรสักคนหนึ่ง จึงได้ทำบาปอย่างนั้นในกาลก่อน แต่ภายหลังเธอได้กัลยาณมิตรเป็นปัจจัย จึงได้เป็นผู้ไม่ประมาท เหตุนั้น ท่านจึงสามารถละบาปกรรมนั้นได้แล้วด้วยกุศล
พระพุทธองค์ทรงทรมานพระองคุลิมาลในอดีตชาติ
ตั้งแต่พระอังคุลิมาลเถระนั้น ได้กระทำความสวัสดีแก่หญิงผู้มีครรภ์หลงด้วยทำความสัตย์แล้ว จำเดิมแต่นั้นมาก็ได้อาหารสะดวกขึ้น ได้ปฏิบัติธรรมโดยการเจริญวิเวกอยู่แต่ผู้เดียว ต่อมาไม่นานท่านก็ได้บรรลุพระอรหัต เป็นพระอรหันต์มีชื่อปรากฏนับเข้าในภายในพระอสีติมหาเถระ ๘๐ องค์ ในครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมว่า ช่างน่าอัศจรรย์จริง ๆ หนอ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทรมานพระองคุลิมาล ผู้เป็นมหาโจรมีฝ่ามืออันชุ่มด้วยเลือด ร้ายกาจเห็นปานนั้น โดยไม่ต้องใช้ทัณฑะหรือศัสตรา ทำให้หมดพยศได้ ทรงกระทำกิจที่ทำได้โดยยาก ธรรมดาว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมเป็นผู้กระทำกิจที่ทำได้ยากอย่างน่าอัศจรรย์
พระศาสดาประทับอยู่ในพระคันธกุฎี ได้ทรงสดับถ้อยคำของภิกษุเหล่านั้นด้วยทิพโสต ก็ทรงพระดำริว่าพระธรรมเทศนาที่เราจักแสดงวันนี้จะมีคุณูปการอย่างใหญ่หลวงดังนี้ จึงเสด็จออกจากพระคันธกุฎี เสด็จไปยังธรรมสภา ประทับนั่งบนอาสนะที่พวกภิกษุจัดไว้ถวายแล้วตรัสถามว่า ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอสนทนากันด้วยเรื่องอะไร เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย เราผู้ได้ทรมานพระองคุลิมาลได้ในบัดนี้ไม่น่าอัศจรรย์เลย แม้เมื่อครั้งในอดีตเราก็ทรมานพระองคุลิมาลนี้ได้ ตรัสดังนี้แล้วทรงนิ่งอยู่ เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลอาราธนา จึงทรงนำอดีตนิทานแสดงดังต่อไปนี้
อ่านเรื่อง มหาสุตโสมชาดก
รับกรรมที่มาตามสนอง
ครั้งหนึ่งท่านได้เข้าไปบิณฑบาตในเมืองสาวัตถี ในครั้งนั้นก็ปรากฏว่า ก้อนดิน ท่อนไม้ ก้อนกรวดที่บุคคลแม้ขว้างไปในทิศทางอื่น ก็ปรากฏให้สิ่งเหล่านั้นมาตกต้องกายของท่านพระองคุลิมาล ท่านพระองคุลิมาลศีรษะแตก โลหิตไหล บาตรก็แตก ผ้าสังฆาฏิก็ฉีกขาด ท่านจึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ พระผู้มีพระภาคได้ทอดพระเนตรท่านพระองคุลิมาลเดินมาแต่ไกล ครั้นแล้วได้ตรัสกะท่านพระองคุลิมาลว่า เธอจงอดกลั้นไว้เถิด เธอได้เสวยผลกรรมซึ่งเป็นเหตุจะให้เธอนั้นหมกไหม้อยู่ในนรกตลอดชั่วกาลนานนั้น เพียงในปัจจุบันนี้เท่านั้น
อืมมมมมมมมม
อนุโมทนาสาธุ
..........................................
ไปเจอเว็บ
รวมภาพพุทธประวัติเรียงลำดับเหตุการณ์ ทั้งหมด 81 ภาพ วัดพระบาทน้ำพุ ภาพสวยมากเลยค่ะ
http://www.prachathon.org/forum/index.php?topic=2558.0
15 เมษายน 2555 03:20 น.
โคลอน
"เธอเรียกใครอ่ะ"...เจ้าความรู้สึก ถามฉันอย่างสงสัย
"กำลังเรียก จินตนาการน่ะสิ...ป๊าดโธ่ถามได้..." ฉันตอบกลับไปอย่างขวานผ่าซาก
"ช่างหัวจินตนาการปะไร ในเมื่อเธอยังมีฉันอยู่ใกล้ๆตรงนี้"
เจ้าความรู้สึกเริ่มสำแดงเดช
"พูดมาก็ดี...นานแค่ไหนแล้วที่ฉันต้องคอยประคบประหงมดูแลเธอ โดยละเลยจินตนาการไว้ข้างหลัง" ฉันเริ่มระบายความในใจให้ความรู้สึกรู้มั่ง
"อ่ะ...นี่เธอจะโทษว่าเป็นเพราะฉัน เจ้าจินตนาการถึงขนข้าวของออกจากบ้านงั้นสิ"เจ้าความรู้สึกตอบโต้อย่างเผ็ดร้อนพอกัน
"หรือเธอจะเถียง ทุกครั้งที่เธอเสียใจ ร้องไห้ มีน้ำตา ใครกันต้องใช้เวลาจ่อมจมอยู่กับเธอทั้งวัน แถมยังพาลทำรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ตกหล่นไปอีก...ถ้าไม่มีทั้งหมดอยู่รวมกัน ฉันจะเรียกเจ้าว่า ความรู้สึกได้อย่างไร"ฉันตอบโต้ไปอย่างที่ใจคิด
"เอ่อ..." เจ้าความรู้สึกเริ่มเถียงไม่ออก
ในบรรดาความรู้สึกที่เอาแต่ใจที่สุดคือ เจ้าความรู้สึกที่มีชื่อเล่นว่า "น้ำตา" ถ้าอาร์ตขึ้นมา ก็ต้องสละเวลาทั้งหมด คอยปลอบจนกว่าจะหาย
ตรงกันข้ามกับเจ้าความรู้สึกที่แทบไม่ต้องได้ดูแลเลยก็คือ "รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ" ทั้งสองสิ่งจะคอยดูแลซึ่งกันและกัน จนบางครั้งฉันก็ลืมใส่ใจไปโดยปริยาย
กว่าจะรู้ตัว เสียงหัวเราะก็เริ่มเงียบ รอยยิ้มเริ่มเย็นเยียบแทนอบอุ่น จินตนาการที่เคยคุ้น เหมือนแปลกหน้า...นี่สินะที่เรียกกันว่า"โลกแห่งความจริง"
ฉันพยายามถอนใจเฮือกใหญ่ๆ ตัดความรู้สึกเอาแต่ใจทีละนิด
ไม่ดึงดันไม่ยึดติด กับคำว่า ถูก-ผิด เหมือนผ่านมา
ไม่นานเจ้าความรู้สึก...ก็ตรองตรึกคิดได้ว่า
สุข-ทุกข์...ถูก-ผิด... ธรรมดา
ก็คนนี่นา...จะเอาอะไร
ปล่อยวางบางความรู้สึก...ก่อนจะฝังรากลึกไปกันใหญ่
ไม่ช้าจินตนาการก็เข้าใจ...กลับมาเริ่มต้นใหม่ได้อีกที
====================================
สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด...บังเอิญได้อ่านบทความดีๆเลยอยากนำมาแบ่งปันส่งท้ายค่ะ
เวลามีปัญหา-----เวลามีเรื่องกระทบกระทั่งกัน
เคยแคร์ความรู้สึกคนอื่นบ้างไหม---
เคยคิดถึงใจเขา---ใจเราหรือไม่
ช่างมัน ฉันไม่แคร์ หรือเขาไม่มีค่าพอให้เราแคร์!
แคร์ความรู้สึกของคนอื่นไม่ใช่เรื่องอ่อนแอ---แต่เป็นเรื่องอ่อนโยน
มิใช่เรื่องแข็งกระด้าง แต่เป็นเรื่องจิตใจที่แข็งแกร่ง
มิใช่เรื่องพ่ายแพ้---แต่เป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่
เธอง้อฉันก่อนซิ---ต่างคนต่างรอ--สุดท้ายก็จะเป็นศิลามนุษย์
เมื่อแคร์ความรู้สึกคนอื่น เราจะเริ่มเป็นคนอ่อนโยน
เมื่อแคร์ความรู้สึกคนอื่น เราจะเริ่มปรับตัว
เมื่อแคร์ความรู้สึกคนอื่น เราจะเริ่มขอโทษเป็น
เมื่อแคร์ความรู้สึกคนอื่น สุดท้ายคนอื่นก็จะกลับมาแคร์เรา
ต้นแคร์เมื่อปลูกแล้วอย่าให้โตตามธรรมชาติ
แต่เจ้าของชีวิตต้องคอยรดน้ำพรวนดิน
ต้นแคร์ไม่มีในหัวใจคนแข็งกระด้าง
แคร์คนอื่นเขาบ้างให้ความอาทรเป็นดั่งสายธารหลั่งไหลที่ฉ่ำชื่น
แล้วเราจะเป็นคนที่มีมนุษยสัมพันธ์ มีจิตใจดีงาม และมีเสน่ห์
อย่างน้อยก็ให้กับคนที่รู้สึกดีๆ กับคุณตลอดเวลาบ้าง
++แล้วทุกวันนี้ล่ะ คุณดูแลต้นแคร์ของคุณดีหรือยัง
Fw mail
4 เมษายน 2555 11:42 น.
โคลอน
"ฉันจะไม่เงยหน้าขอพรหรอก...สิ่งที่ควรมองคือข้างหน้าต่างหาก"
"คนที่น่าสมเพช จะหาคนที่ทุเรศกว่าตัวเอง เพื่อไม่ให้ตัวเองโดนดูถูก"
"โลกนี้มีเรื่องมหัศจรรย์เกิดขึ้นมากมาย แต่ถ้าไม่มีใครเห็นมันก็เป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นและผ่านเลยไป"
"มนุษย์ ถ้ารู้ความคิดของอีกฝ่ายมากขึ้นเท่าไร ก็จะยิ่งเกลียดชังมากขึ้นเท่านั้น"
เพราะไม่รู้ความรู้สึกของอีกฝ่ายเลยอยู่ด้วยกันได้ ถ้ารู้หมด สุดท้ายสิ่งที่รออยู่ก็คือ การแยกจากกัน"
"บางครั้งจุดหมายอาจอยู่ข้างหลังเราเพียงก้าวเดียว"
"ฉันจำอะไรไม่ได้เลย จริงๆ แต่พอเห็นเวลาที่มันรวนบนนาฬิกาเสียๆนี่ มันก็มีความรู้สึกดีๆอย่างบอกไม่ถูก
แต่ยังไงฉันก็ต้องซ่อมมัน เพราะนาฬากิที่ดี ต้องแสดงเวลาเป็นปัจจุบัน"
"พลังที่ไร้ความถูกต้อง ไร้ประโยชน์ฉันใด ความถูกต้องที่ไร้พลัง ไร้ประโยชน์ฉันนั้น"
"ถ้าถือดาบก็กอดเธอไม่ได้ แต่ถ้าวางดาบก็ไม่อาจปกป้องเธอได้"
"หากฉันเป็นดั่งเม็ดฝน ฉันอาจเหนี่ยวประสานหัวใจของใครบางคนไว้ได้
เหมือนอย่างที่มันเหนี่ยวประสานผืนดินและแผ่นฟ้า ที่มิอาจบรรจบกันได้ตลอดกาล"
"ถึงจะรู้ว่าเลว เเต่มนุษย์เราไม่อาจเอาชนะความเดียวดายได้"
"ความเป็นศัตรูกันมันไม่มีค่าในความหมายของมิตรภาพ!!"
"คนเราเกิดมา ก็ต้องดิ้นรนเพื่อมีชีวิตต่อไป แต่ถ้ามัวมาหมดหวัง อยู่อย่างนี้ล่ะก็ ตายๆ ไปเสียเถอะ"
"ที่ เราเห็นว่าดอกไม้ริมผานั้นงดงาม ก็เพราะว่าขาของพวกเราจะหยุดนิ่งอยู่ที่ริมผา
ไม่สามรถกร้ำกรายขึ้นไปยังท้องฟ้า อย่างไร้ความกลัวเกรง ดั่งเช่นบุปผานั้นได้"
"คนที่ไม่รู้อะไรเลย อย่ามาทำเป็นพูดสั่งสอนเหมือนรู้ดีทุกอย่างได้มั้ย"
"ถ้านักสืบยอมแพ้ คดีก็ยังเป็นปริศนาต่อไป"
- แค่ความรู้สึกน่ะ ปกป้องอะไรไม่ได้หรอก
คิระ (Gundum Seed)
"คนที่ยกโทษให้กับคำโกหกของผู้หญิง คือลูกผู้ชาย"
"คนที่อยู่ข้างหลัง ไม่ได้หมายความว่าจะมาข้างหน้าไม่ได้"
"มนุษย์ไม่ได้เกรงกลัวพระเจ้าหรอก "ความน่ากลัว"ตะหาก คือ"พระเจ้า" ที่มนุษย์กลัว"
"ในการต่อสู้นั้นเราจะต้อง "แกร่งพอที่จะเอาชนะ และกล้าพอที่จะไม่ยอมแพ้""
"ทำไม ชีวิตเกิดมาต้องตายง่ายๆงั้นหรอ"
"ความสำเร็จไม่ได้อยู่ที่พูดนะ แต่ลงมือทำ"
"ไม่ว่าจะเป็นคนรักสงบขนาดไหน แต่ถ้าพวกพ้องหรือญาติพี่น้องถูกฆ่าก็ต้องจับอาวุธขึ้นมาอยู่ดี"
"อสรพิษร้ายไม่เท่ามิตรทรยศ"
"ผู้ที่ไม่ย่อมเสียสละอะไรซักอย่าง ย่อมไม่มีทางประสบความสำเร็จ จากอะไรก็ตาม"
"การต่อสู้มีอยู่ 2 ประเภท คือ สู้เพื่อปกป้องชีวิต และ สู้เพื่อปกป้องศักดิ์ศรี"
"เวทมนตร์ไม่ใช่สิ่งยอดเยี่ยมไร้เทียมทานหรอก ความกล้าต่างหาก คือเวทมนตร์ที่แท้จริงที่สถิตอยู่ในตัวคนทุกคน"
"การที่เราจะช่วยใครสักคน จำเป็นด้วยเหรอที่จะต้องมีเหตุผล"
"รู้มั๊ยว่ามีแต่คนโง่ถึงไม่รู้ว่าคำปรามาสน่ะเค้ามีเอาไว้ให้ฮึดสู้ไม่ใช่เอามานั่งท้อ
คิดจะเป็นคนเหนือคนน่ะมันต้องหัดทนให้มากกว่าคนอื่น ไม่ใช่มานั่งตีหน้าซึมงี่เง่า"
"แม้จะมีดาบที่แหลมคมและแข็งแกร่งเพียงใด
แต่หากเจ้าใช้ไม่เป็นดาบเล่นนั้นก็เป็นเพียงแค่เศษเหล็กธรรมดา ธรรมดา เท่านั้น"
"เราจะไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลัง ไม่ว่าจะเป็นหรือตายก็ตาม"
"คำว่าเป็นไปไม่ได้ นั่นแหละที่เป็นไปได้"
"ไม่ว่าใครก็ตามที่มาขวางความถูกต้องของฉัน ต่อให้เป็นนายฉันก็จะฆ่า"
"พลังมีไว้เพื่อปกป้อง ไม่ได้มีไว้เพื่อทำลาย"
"สิ่งมีชีวิตที่สามารถโกรธเกลียด และฆ่ากันเองได้ มีแต่มนุษย์เท่านั้นแหละ"
"ผู้ชายจะรู้ถึงคนที่สำคัญ ก็ต่อเมื่อเขานั้นเสียคนนั้นไปแล้ว"
"มิตรภาพไม่ได้ขึ้นอยู่กับเวลาที่คบหากัน"
"ที่มนุษย์สร้างความหวังขึ้นมา ก็เพราะว่ามองไม่เห็นความตายอยู่เบื้องหน้า"
"พวกเราไม่ควรจะเสียน้ำตา เพราะนั้นคือความพ่ายแพ้ของร่างกายที่มีต่อจิตใจ
และเป็นเครื่องหมายพิสูจน์ว่า เราไม่สามารถรับมือกับจิตใจของตัวเองได้"
"ฉันก็แค่ ซ้อมกล่าวอำลากับเธอเท่านั้น"
"อาวุธที่ไม่ฆ่าน่ะไม่มีหรอก"
"ความฝันชั้น มีแต่ในอดีตเท่านั้น"
"การที่คนเราเกิดมาน่ะ ไม่ได้เป็นบาปหรอกนะ"
"ในยามที่ไม่เหลืออะไรแล้วขอให้กำหมัดให้แน่นแล้วจ้องมองมันให้ดีๆ ...
เพราะมันเป็นสิ่งเดียวในโลกนี้ที่จะปกป้องคนสำคัญของเราไว้ได้"
"คำว่ากล้าหาญน่ะ หมายถึงการขจัดความกลัวของตนเองแล้วลุกขึ้นสู้
เอามาใช้เป็นเหตุผลในการฆ่าคนแบบนี้มันไม่ถูกต้อง"
"บาดแผลกลางหลังคือความอับอายของนักดาบ"
"ถ้าจิตใจสับสน ไม่ว่าใครก็ย่อมอ่อนแอลง"
"พจนานุกรมที่มีคำว่า เป็นไปไม่ได้ มีแต่พจจนานุกรมของคนโง่เท่านั้น"
"สรรพสิ่งที่มีทางเข้า ย่อมที่จะมีทางออก"
"ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ฉันจะไม่มีอภัยให้กับคนที่มันทำให้เพื่อนฉันเจ็บหรอกนะ"
"วิญญาณนะ มันบอกอะไรไม่ได้หรอก"
"แม้การปรากฎตัวคราวนี้จะเหมือนเหยียบเข้าสู่ดงดาบ แต่ผมก็เต็มใจ......
ขอเพียงได้นำความจริงออกมาให้กระจ่าง"
"แม้มีดาบที่แหลมคมเพียงใด แต่หากฟันไม่โดนก็ไร้ความหมาย"
"เสียน้ำตาให้กับสาว2D ดีกว่าเสียน้ำตาฟรีๆให้กับสาวสวยเลือดเย็น!!!"
"ผู้กล้าที่เข้าใกล้พระเจ้ามากเกินไป ย่อมโดนเด็ดปีกออกจนร่วงสู่พื้นดิน"
"ราชามีไว้เพื่อมวลชน ไม่มีมวลชนราชาก็ไร้ความหมาย"
"หากไม่ฆ่าก็จะถูกฆ่า"
"หากไม่ลุกโชติช่วงดั่งเปลวไฟ ก็มีแต่จะมอดไหม้เหมือนกองฟืน"
"จำใส่หัวไว้ สาเหตุ ที่ทำให้พวกแกแพ้ คือความเคียดแค้นที่ไม่สิ้นสุด"
"เมื่อเรากิน พืชและสัตว์ จงภาวนาและใช้ชีวิตเผื่อพวกมันด้วย
อย่าให้ชีวิตต้องสูญเปล่า"
"บทเรียนที่ไม่ได้แลกด้วยความเจ็บปวดย่อมไร้ความหมาย
เพราะไม่สามารถได้อะไรมาโดยที่ไม่เสียอะไรไปเลย
แต่หากเอาชนะความเจ็บปวดนั้นและเปลี่ยนมันเป็นประสบการณ์
ก็จะได้รับหัวใจที่แข็งแกร่งดุจเหล็กไหล ซึ่งไม่มีอะไรมาทดแทนกันได้"
- แขนกลคนแปรธาตุ
ผมรู้ตัวแล้ว ว่าทำไมตัวเองถึงหลงทาง ไม่ใช่เพราะไม่มีแผนที่ สิ่งที่ผมไม่มีคือเป้าหมายต่างหาก
- Honey & clover
จงมีชีวิตอยู่ โดยไม่เหลืออะไรให้เสียใจ และติดค้างใคร
"ซันชิโร่ x2"
There is a meaning for wings that cannot fly! It's a precious memory of when you once flew in the sky." (Yukito, Air)
- "ปีกที่บินไม่ได้นั้นยังมีความหมาย มันคือความทรงจำอันแสนหวานเมื่อครั้งยังเคยบินบนท้องฟ้า"
"The world appears wonderful in the eyes of wonderful people." (Alicia, Aria the Animation)
"There's a difference between missing the old days... and being stuck in the past." (Boogiepop, Boogiepop Phantom)
- "มันมีความแตกต่างระหว่าง 'คิดถึงวันเก่าๆ' กับ 'ติดอยู่ในอดีต'"
"If the king does not move, his men won't follow." (Lelouch, Code Geass)
"There are things that are beautiful because one cannot possess them." (Gilgamesh, Fate/Stay Night)
- "มีบางสิ่งสวยงาม เพราะไม่มีใครสามารถคว้ามันมาครอบครองได้"
"People die when they are killed." (Emiya Shiro, Fate/Stay Night)