ในยุคหลังสังคมต่างก้มหน้าไม่สบตาพิศพักตร์ประจักษ์จิตเหมือนไม่มีสายใยในความคิดเลยต้องปิดหน้าต่างระหว่างใจวันนี้ขอสะกิดสะเกาหน่อยเพราะนั่งคอย"คนเรา"เอาใจใส่แต่เหมือนขาดถ้อยถามความห่วงใยทั้งที่ใกล้แค่เอื้อมเอือมระอาเอาแต่ยิ้มจิ้มจออุตลุดเสียงไลน์หยุดทุกสิ่งทิ้งตรงหน้าจ้องเฟสบุ๊ค ไอจี แบบหยีตาแถมโพสท่าเป๊ะเว่อร์..เฮ้อ!เวรกรรมก่อนจะกินต้องโชว์ปั๊ดโธ่เอ๋ยสั่งให้เฉยก่อนนะอย่าเพิ่งหม่ำก็คนหิวกิ่วท้องลองสักคำถูกขย้ำหน้าหงิกจิกสายตาทนไม่ไหวแล้วเหวยเฉยคงแย่ต้องมาพ่ายแพ้ให้ไอโฟนห้าจำต้องถอยซัมซุงรุ่นใหม่มาให้สังคมก้มหน้าจ้องตาเรา(๕๕๕)
ไร้ถ้อยคำข้อความติดตามข่าว ไร้เรื่องราวเรียงร้อยน้อยเหตุผล ไร้วรรคตอนกลอนกานท์พาลชอบกล ไร้ผู้คนคุ้นเคยละเลยไป
อักษรเก่าย้อนอ่านวันวานเขียน อักษรเปลี่ยนเวียนวนระคนไหว อักษรสูงกลางต่ำจะทำไง อักษรใจสื่อสารเนิ่นนานมา
ไร้รอยยิ้มแย้มเยือนบนเรือนรักษ์ ไร้รอยหยักเสียจังชวนกังขา ไร้รอยต่อถึงกันวันเวลา ไร้ศรัทธาความคิดสู่ทิศทาง
อักษรใส่ตะกร้านำมาส่ง อักษรบ่งพิกัดสะบัดหาง อักษรวาดลวดลายมิวายวาง อักษรพรางอยู่ไยจบไม่ลง
เกือบร้างไร้อักษรแต่ก่อนมา เกือบหายหน้าลืมไปไม่ไหลหลง เกือบหมดสิ้นศรัทธาความมั่นคง เกือบปลดปลงอักษรมิย้อนคืน
จึงหวนหาความสุขเข้าปลุกปลอบ จึงแหวกกรอบละเลยดั่งเคยฝืน จึงมีวันวันนี้ที่หยุดยืน จึงหยิบยื่นคมคำอยู่ลำพัง
เธอคงเห็นรอยยิ้มที่อิ่มอุ่น เธอคงคุ้นทุกยามด้วยความหวัง เธอคงเหลือไมตรีทุกที่ยัง เธอคงนั่งอยู่ในหัวใจเดิม
เกี่ยวอักษรกลอนคำกำตะขอมาเรียงรอ ความหมายขยายใส่ห่ออารมณ์ห่มรักมาพักใจผูกโยงใย...สายจิตมิตรไมตรีเก็บอักษรลอยคว้างอยู่กลางฟ้าใส่ตระกร้า ใบเก่า ของเรานี้เรียงร้อยคำจำจดพจน์วจีต่อวลีปรุงรสเป็นบทกลอนฉวยเอา “รัก”และ“ยิ้ม”มาพิมพ์เล่นสระเด่น เสริมลักษณ์แหล่งอักษรปะติดต่อ เติมแต่ง แบ่งปันพรจับโยนย้อน ขึ้นฟ้า นภาคืนเมื่อมิตรมองท้องฟ้าทุกคราพบมิรู้จบ พรฟ้า ระดาดื่นหากมีวันใดเจ็บเก็บกล้ำกลืนเกี่ยวถ้อยใจ หยัดยืนขึ้นเบิกบานปล่อยถ้อยคำล่องลอยคอยคนคว้าด้วยแรงรักศรัทธา...อธิษฐานระเรื่อแรงแสงดาว ราวสัญญาณจากบทกานท์แห่งกลอนย้อนคำนึงเกี่ยวอักษรกลอนคำกำตะขอกระพริบรอข้อความยามคิดถึงหากเธอเหงาเศร้าทุกข์เหมือนถูกตรึงดาวกลุ่มหนึ่งยังคอยลอยที่เดิม
@ วิถีชาวนา @
@ พันธุวงศ์ พงศา เพียงหญ้าต่ำ
แต่ค่าล้ำ สำคัญอนันต์ผล
เป็นพืชพันธ์ธัญญาชีวาชนม์
ของผู้คนทุกแหล่งแห่งแผ่นดิน
@ ต้นกล้าฝัง...ฝั่งผืนลงพื้นนา
พิรุณพา...หยาดหยดรินรดถิ่น
ผลิช่อรวงพวงแผกแต่แรกริน
ชะโลมจินต์...ตั้งท้อง ทุ่งทองรวง
@ สุขใดเท่าเหล่าชนคนแบกไถ
ชมช่อใบ...ไหวล้อ รอเรียวร่วง
คอยคมเคียว เกี่ยวขอ เก็บช่อพวง
ทุ่งแดนสรวง สีทอง ของชาวนา
@ ลืมตาตื่นขึ้นดูแต่ตรู่เช้า
เห็นทุ่งข้าว ล้อแรงเล่นแสงฟ้า
เป็นสีเหลืองเรืองรองดั่งทองทา
จากต้นกล้าเติบแกร่งด้วยแรงใจ
@ จูงเจ้าทุยลุยทางไปถางเก็บ
ปลายเชือกเหน็บ...ผูกรัดมัดทุยไว้
เริ่มถอนหญ้าคาแทรกชำแรกใบ
กำจัดไข่เชอรี่ที่รุกราน
@ ฤดูคล้อยร้อยไร่ใกล้เก็บเกี่ยว
ลับคมเคียว...เทียวออกไปบอกขาน
ผองพี่ป้าน้าลุงมามุงงาน
ขอไหว้วาน...ลงแขกมาแลกแปลง
@ บูชาบุญ คุณแม่พระโพสพ
ประนมนบ...เสาตั้งตรงฝั่งแสง
ตะวันออกดอกไม้ด้ายขาว-แดง
ทั้งของแห้งคาวหวานพานหมากพลู
@ อีกยามวนม้วนมาบูชาให้
พร้อมเมรัย ขวดตั้งวางหมวดหมู่
จุดธูปหอมพร้อมเทียนเพียรพรั่งพรู
กล่าวคำบูชาธรรม...นำถวาย
@ ขอสู่ขวัญวันศรีเป็นศรีฤกษ์
บายศรีเบิก...บอกบุญพระคุณร่าย
รับขวัญข้าวกล่าวจบแล้วนบกาย
น้อมจิตไหว้...รับขวัญและอันเชิญ
@ สู่บายศรีเครื่องเซ่นสังเวยสู่
สถิตอยู่...เป็นขวัญแลสรรเสริญ
จงปกคลุมคุ้มครองให้ผองเพลิน
ได้จำเริญ...ปลูกข้าวเลี้ยงชาวไทย
@ ชะตากำหนด @
@ กสิกรรมนำพาชะตาเมือง
เหมือนรุ่งเรือง...เมืองทองที่ผ่องใส
อุดมแสนแดนดิน...ทุกถิ่นไป
แต่ยากไร้...ข้าวกินในถิ่นตน
@ หนึ่งเมล็ดข้าวเปลือกเลือกไม่ได้
ปลูกแทบตายขายถูกปลูกให้ผล
กับโรงสีที่ถือกระบือกล
ทดแรงคน...อย่างนี้ไม่มีจาง
@ จะกี่เกวียนกี่ตันมันก็กด
ชาวนาอด ลืมตาอ้าปากค้าง
มันรวมตัวฮั้วกันฝันอำพราง
เป็นนายจ้าง จ้างถูกปลูกให้มัน
@ ถูกหลอกขายที่นาให้มันหมด
อัปยศ...หมดสิ้นแผ่นดินฝัน
ไร้ดินแดนแผ่นเดิมจะเริ่มวัน
ดั่งโทษทัณฑ์...ฝันร้ายเมื่อขายดิน
@ ของปู่ย่าตาทวด...เพียงอวดรวย
เหมือนถูกหวย...ด้วยทรัพย์ที่พับถิ่น
โฉนดโยนโอนย้ายตอนขายกิน
พอหมดสิ้น...เงินถือคือหมดตัว
@ กี่ชาวชนคนไทยใจชาวนา
นี่หรือคือ ศรัทธา...ค่าฝังหัว
กสิกรร้อนหลังที่ฝังกลัว
ถูกความชั่ว...ทำนาบนหลังคน
@ ตกเป็นทาสขาดอิสระไร้
เสรีใดใคร่จัดมาวัดผล
ประชาธิปไตย...ไยชอบกล
ยังต้องมนต์...สะกดกำหนดทาง
@ ให้เดินไปตามกรรมด้วยคำผิด
ข้าวหนึ่งลิตรก่อนหุงในยุ้งฉาง
คือข้าวถุงหุงซื้อเป็นมื้อวาง
มองกองฟาง...รันทดหมดสิ้นแรง
@ มิอาจเรียกคืนผืน...แผ่นดินปู่
มิอาจอยู่ถ้าฝนดลดินแล้ง
มิอาจทิ้งถิ่นไว้ไปจำแลง
มิอาจแย้งความทุกข์เรียกสุขคืน
@ จึงยังคงคือคนชนชาวนา
รอเมตตา ฟ้าฝนบนดินชื้น
อุทกท่วมอ่วมช้ำก็กล้ำกลืน
น้ำน้อยฝืนยืนช้ำระกำไป
@ ในชะตาหาดีที่สุดทาง
บนโลกกลางเสรีที่สุดใช้
อะไรหนอขอรู้บ้างได้ไหม
ว่าเมื่อไหร่...เสรีจะมีจริง
@ มองทุ่งทองรองเรืองกับเมืองใหญ่
สุดหัวใจ...ให้ชี้ว่าดียิ่ง
ต้องตอบข้างต่างฝ่ายต่างพึ่งพิง
มิอาจทิ้ง...สำคัญของมันเป็น
@ อันคนเมืองเรืองไกรในโลกหล้า
อยู่ใต้ฟ้าเดียวกันยังฝันเห็น
อากาศร้อนนอนแผ่ในแอร์เย็น
ถ้าลำเค็ญคงมีแต่ชีวา
@ แต่ชีวิตผิดบทกำหนดรู้
หนทางอยู่ สู้ไปสิ่งใดหา
ไม่สุขจริงสุขจิตอนิจจา
เพราะไขว่คว้าไม่หยุดจนสุดทาง
@ อันบ้านนอกคอกนาที่ว่าไร้
กลับมีใจ ให้กัน สวรรค์สร้าง
ได้ชื่นเช้าเหล่าธรรมชาติวาง
แต่ถูกกางชะตาพาผิดเดิน
@ จากเหล่าพรรคเหล่านักธุรกิจ
ที่แผ่พิษฤทธาพาขัดเขิน
ให้ความอยากลากฉุดประดุจเชิญ
เอาจำเริญบนเสื่อมไปเชื่อมกรรม
@ จึงตกเป็น ทาสา ที่นาไร่
ต้องวิ่งไล่...ความเสื่อมที่เหลื่อมล้ำ
มาเนินนานพานผลบนทรงจำ
มิอาจทำ...ตามสิทธิ์ลิขิตฝัน
เก็บข้าวหล่นบนพื้นกลืนลงท้องเติมเต็มห้องหัวใจที่ไห้โหยกินแก้มตุ่ยตุ้ยเคี้ยวรีบเกี่ยวโกยอยู่ได้โดยโดดเดี่ยวแม้เดียวดาย
ไร้บ้านพักรักพิงจะอิงอุ่นมีไม้หนุนแทนหมอนนอนท่ามสายลมพัดผ่านพล่านพลิ้วถึงผิวกายหนาวปางตายแต่ต้องมิร้องครวญ
บางคืนฝนกระหน่ำจำฝังจิตเดือนมืดมิดมัวหม่นทนกำสรวลปลุกปลอบขวัญวันล้าฟ้าแปรปรวนดั่งโซ่ตรวนตอกตรึงขึงชะตา
แม้ตกกรรมต่ำเตี้ยติดเรื่ยพื้นต้องฝึกฝืนขืนแรงให้แกร่งกล้ารอดคือหวังฝั่งหนผลนำพาขอสู้ฟ้าพาตน พ้นโพยภัย
จะเติบตนบนทางที่ร้างสิทธิ์มุ่งลิขิตหนทางสว่างใสเศษข้าวน้อยคอยย้ำกำลังใจไม่ให้ใครมองเห็นเป็นเศษคน