20 กรกฎาคม 2545 17:54 น.
แสงศรัทธา ณ ปลายฟ้า
แสงสุดท้าย - ใช่ท้ายสุด
ลมหายใจของฟ้าระบายสี
แต้มนทีทิวเมฆหลากสีสัน
เป็นแสงงามจากปลายแสงแห่งตะวัน
ฉุดผู้คนหลงภวังค์เพียงผ่านตา
ลมเห่กล่อมเกลียวคลื่นคืนสู่ฝั่ง
ก่อนฝากฝังริ้วคลื่นบนพื้นหาด
ดุจถ้อยคำจากทะเลเห่ตำนาน
เล่าเหตุการณ์ผ่านพบวันต่อวัน
ทรายบนหาดกระทบแสงดังเก็จแก้ว
ระยับแวววับงามพาใจไหว
หนึ่งเม็ดทรายกระซิปถามทะเลไป
ว่าพรุ่งนี้มาอีกไหมหนอทะเล
ฉันเดินทางเหนื่อยล้าอยากพักผ่อน
จะแนบนอนให้ดาวฟ้าช่วยกล่อมเห่
ก่อนฟ้าสางวิถีทางออกร่อนเร่
ไปถาโถมทบเททะเลไกล
การเดินทางยาวนานย่อมเหนื่อยอ่อน
บางครั้งท้อ - บ่อยครั้งสุข ใจสั่นไหว
แต่ทุกยามระลึกอยู่เต็มห้องใจ
ว่าจุดหมายล้วนฝันอันโสภี
เปรียบแสงงามยามตะวันใกล้ชิงพลบ
แสงทองกลบท้องฟ้าบันดาลสี
อีกลมแผ้วแว่วบรรเลงเพลงดนตรี
ให้ผู้ล้าในวิถีได้ยิน - ยล
แสงที่งามยามสุดท้าย - ใช่ท้ายสุด
เพื่อเว้นจุดพักผ่อนก่อนผลิผล
เพื่อคิดค้นมุ่งสู่สู้ฝันตน
และเพื่อลืมความทุกข์ทนปนร้าวราน
พักเหนื่อยอ่อนก่อนก้าวในเช้าใหม่
เช้าวันที่สดใสเต็มใจหาญ
พรุ่งนี้ย่อมมีฝันไว้ให้เดินทาง
ด้วยสองมือจะแผ้วทางหนทางไปฯ
18 กรกฎาคม 2545 11:25 น.
แสงศรัทธา ณ ปลายฟ้า
เขียนไว้ ณ ริมฝั่งที่เรายืน
1.
สักดึก,ดึกบอกหนาวช่างจับจิต
มองดูมวลมิ่งมิตร ณ ริมฝั่ง
เห็นดวงตาของเธอเปรียมพลัง
เห็นใยรักเหนี่ยวรั่งยึดดวงใจ
ในคืนดึกดาริกาเอ่ยกระซิป
บอกเธอหยิบดาราที่แววใส
แล้วค่อยหยิบกลีบบางมวลดอกไม้
สลักถ้อยลงไปเป็นบทกวี
บทกวีที่ดาลจากสิ่งรอบข้าง
จากความมัว - อ้าวว้างหรือล้านสี
จากความรัก - ความโกรธ โลก ร้าย ดี
จากความมี - สิ้นไร้ จากน้ำตา
จากน้ำตาของฟ้าคือน้ำค้าง
และความฝันเวิ้งว้างที่เธอหา
จากไอหมอกสายลมหนึ่งคำลา
และจากเสี้ยวจันทราก่อนดับพลัน
2.
สักดึก,ดึกบอกหนาวช่างจับจิต
มองดูมวลมิ่งมิตรจารึกฝัน
ณ ระเบียงริมฝั่งเราเห็นมัน
และเห็นแวววับนั้นระยับพราย
ในโลกนี้มีล้านสิ่งให้จารึก
จงผลึกทุกภาพแล้ววาดสาย-
สลักลงเป็นอักษรร้อยลวดลาย
แล้วเธอจงลงว่ายเส้นทางดาว
เส้นทางดาวที่พราวแสงแสนล้านสี
ด้วยหมื่นถ้อยวจีประดับหาว
ด้วยพราวเหงื่อของเธอดังหยาดดาว
และหมื่นพันเรื่องราวจากตัวเธอ
3.
สักดึก,ดึกบอกหนาวช่างจับจิต
มองดูมวลมิ่งมิตรริมฝั่งเสมอ
แม้ร่างกายของเรามิอาจเจอ
แต่ดวงใจยังเพ้อถึงเธอทุกวัน
เพราะเรานั้นต่ามมีฝัน ณ จุดเดียว!
17 กรกฎาคม 2545 13:40 น.
แสงศรัทธา ณ ปลายฟ้า
อาบอิงละมุนจันทร์
อาบอิ่งละมุนจันทร์
ไล้หมอกฝันวันฟ้าใส
ดื่มรักหวานละไม
แล้วลูบไล้ละอองดาว
กอบพิกุลที่จุมพิตบนผืนหล้า
ร้อยเป็นสร้อยมาลาครองใจสาว
ระรื่นกลิ่นหอมบางในคืนยาว
มาสมานรอยรักร้าวในใจเธอ
ให้เธออิ่มกับคืนฝัน
เฝ้าปลอบขวัญยามใจเผลอ
ลืมรักร้าวที่พบเจอ
คำปรนเปรอ - คำลวงใจ
หยิบซากเศษใบไม้ที่เกลื่อนกลาด
บรรจงวาดถ้อยคำใต้แสงไข
แล้วกอบไอหมอกขาวละมุนละไม
ห่อคำรักประดับไว้กลางใจเธอ
17 กรกฎาคม 2545 13:32 น.
แสงศรัทธา ณ ปลายฟ้า
เพราะศรัทธาฉันจึงกลับมา
1.
เพราะรู้ในบางคืนหนาวอาจกร้าว
ฝากรอยร้าวเป็นริ้วระคายแผ่ว
เพราะรู้บางคืนฝันอาจขาดแนว
ฤๅว่าฝันแล้งแล้วยากฝ่าไป
ไอหมอกขาวบางเวลาอาจหม่นหมอง
ในความรักที่สมปองอาจหวั่นไหว
เก็จน้ำค้างอาจะละลายด้วยดวงไฟ
จากแสงใสของหิ่งห้อยเพียงหนึ่งตัว
2.
บนวิธีหนทางคนจรเร่
อาจถ่ายเทความเหงาจากเงาฝัน
ก่อเป็นถ้อยร้อยคำเติมพลัง
ด้วยใจนั้นมุ่งมั่นเปรียมศรัทธา
ศรัทธารัก,ศรัทธางานที่ตนสร้าง
ศรัทธาความอ้างว้าง - แสวงหา
ศรัทธษในสรรพสิ่งที่งามตา
และศรัทธาความดีที่มีจริง
ศรัทธาแม้แสงน้อยที่ปลายฟ้า
ยากเกินใจไขว้คว้ากว่าทุกสิ่ง
ศรัทธาแม้ธุลีธาตุละอองดิน
ที่เกินใจใครยิน - ยลค่ามัน
ศรัทธาแม้ยากไร้ก็ทนสู่
ดำรงค์อยู่แม้ร่างแทบดับไหม้
ศรัทธาแม้ความหวังอาจดับไป
และมอดไหม้ด้วยไฟแห่งมายา
อาจปวดร้าวบ่อยครั้งน้ำตาหลั่ง
นั้งมองดูฝากฝันลิบลับหาย
นั้งมองดูเงาตนที่เปลี่ยวดาย
และมองดูผืนทรายจารบทกวี
3.
แต่เพราะรัก - ศรัทธาฉันจึงอยู่
หวนกลับสู่นาทีงามดอกไม้ผลิ
โรยกลิ่นกลีบกอมกระจายไปทั่วทิศ
ด้ายแรงฤทธิ์บทกวีดาลจากใจ
เพราะศรัทธาฉันจึงยังกลับมา
กลับมาเพื่อถามหาความยากไร้
กลับมาด้วยดวงไฟที่เต็มไฟ
และเพื่อก้าวต่อไป หนทางกวี