13 พฤษภาคม 2545 12:40 น.
แสงศรัทธา ณ ปลายฟ้า
10.
หญิงสาว
หญิงเอ๋ยหญิงสาว
วัยเยาว์เธอพราวด้วยความฝัน
งามพิสุทธิ์ดังดอกบุษบัน
ใจเธอนั้นขาวดังปุยเมฆนวล
แต่ไฉนเติบใหญ่ใจเธอเปลี่ยน
วิถีเวียนชีวิตหักเหหวน
ด้วยตัญหาหรือสิ่งใดควรคิดครวญ
มิสงวนร่างดังผ่านมาเอยฯ
หญิงสาว : อ่านผ่านสื่อต่าง ๆ ได้ยิน ได้รู้ ได้เห็นเอง
แววตาที่ยั่วยวนและรอยยิ้มที่เชื้อเชิญของพวกเธอทำ
ให้คิดถึงวัยเยาว์ที่ผ่านมา...จะมีตุ๊กตาซักตัวไหมที่หลง
เหลืออยู่ในจิตนาการของเธอเหล่านั้น.....
11.
ลุกราน ทำลาย
ต้นเอ๋ยต้นไม้
ใบแห้งไหม้ยืนต้นน่าสงสาร
บ้างหายจากพรากไปใครลุกราน
ด้วยอำนาจผู้ใดหนอกระทำ
เจ้านกเถื่อนคงไร้ซึ่งที่อยู่
เฝ้าร้องกู่โหยเสียงแสนชอกช้ำ
ผืนดินเศร้าไร้แม้ถ้อยจะเอ่ยคำ
อย่าลุกล้ำบ้านเรา...เจ้านกครวญเอยฯ
ลุกราน ทำลาย : นั้งรถท่องไปตั่งแต่เชียงใหม่ จนสุดอีสาน
ตามรายทางป่าไม้หายไปมากเหลือแต่ตอที่ยืนแห้งตายกับผืน
ดิน แวะกินข้าวที่ตลาดเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง มีมุมหนึ่งขายสัตว์ป่า
มากมายอยู่ในกรง....แววตามันระโหยห้อยน่าสงสารมาก.....
12.
ดวงตา
ดวงเอ๋ยดวงตา
นอนเถิดหนาน้องยาจงหลับฝัน
พี่จะร้อยดวงดาวเป็นรางวัล
สวมมิ่งขวัญหลับฝันให้สบาย
พรุ่งนี้แล้วน้องแก้วต้องลาจาก
ต้องจากบ้าน จากไพรพี่ใจหาย
ยามนิทราน้องไม่มีพี่เคียงกาย
แต่ทุกสายลมดังพี่เคียงเอยฯ
ดวงตา : เคยรู้จักเด็กคนหนึ่งที่รักและผูกพันธ์กับน้องสาว
ของตัวเองมาก สุดท้ายมีเหตุต้องพรากจากกันมันเป็นเรื่อง
ของผู้ใหญ่ที่กระทำ แต่กระทบถึงเด็กทั้งสองให้ต้องร้าวลึก
บ้านแตก .....
11 พฤษภาคม 2545 15:50 น.
แสงศรัทธา ณ ปลายฟ้า
7.
กลิ่นความหลัง
ฝนเอ๋ยฝนตก
เมฆดำปรกท้องฟ้านภามืด
ปลุกยอดหญ้าอ่อนหล้าให้ฟื้นตื่น
รินแผ่นพื้นผืนดินปรุงกลิ่นไอ
กลิ่นไม้ชื่นโรยบางจางแผ่วแผ่ว
เจือดอกแก้วแก้มกลิ่นหอมของท้องไร่
กลิ่นความหลังในวิถีซึ่งเป็นไป
ระริกไหวอยู่นะเจ้าความหลังเอยฯ
กลิ่นความหลัง : ตอกย่ำได้เป็นอย่างดีสำหรับสิ่งที่เราโหยหา
ยามจากมันมา เชื่อว่าหลายคนคงชอบกลิ่นของไอดิน ไอหญ้า
กลิ่นชื่น ๆ ของฝาบ้านยามเมื่อได้สัมผัสกับสายฝนที่เย็นใช่ไหม..
8.
วันใหม่
แสงเอ๋ยแสงตะวัน
สวยเฉิดฉันยามรับเช้าวันใหม่
สานแสงทองทาบทอทิวฟ้าไกล
งามสดใสหัวใจพลันชื่นบาน
ทุกเช้าดังทุกย่างก้าวทางชีวิต
มีถูกผิดเรียนรู้มุ่งสืบหา
ชีพชนย่อมพลาดบ้างธรรมดา
หากอ่อนล้าหยุดพักก่อนค่อยก้าวเอยฯ
วันใหม่ : บางครั้งเหนื่อยล้าต่อสิ่งที่ทำ อยากจะหยุดพักไว้
ณ นาทีนั้นเวลานั้น บ่อยครั้งที่ทำได้ และอีกหลายครั้งที่ทำ
ไม่ได้ การก้าวเข้าสู่วันใหม่ ปัญหาใหม่ ก็คือกานก้าวเรียน
รู้ชีวิต และรู้จักตัวเองมากขึ้น
9.
ลมหนาว - คนเล่าฝัน
ลมเอ่ยลมหนาว
ราตรีนี้ช่างยาวราวทางฝัน
ก่อนทิวาจะขับแสงไล่พระจันทร์
ขอกล่อมขวัญน้องเจ้าเคียงคู่กาย
จะขับพิณให้แววผ่านกลางใจป่า
เคล้าเสียงโหยใบไม้ลาพาใจหาย
เกี่ยวรัดร่างเจ้าล่องไปในจิตนิยาย
ก่อนแดดสายสลายหมอกต้องจากลาเอยฯ
ลมหนาว - คนเล่าฝัน : นอนเล่าความฝันต่าง ๆ แลกเปลี่ยน
กันฟัง รู้สึกสนุกแลดื่มด่ำกับฝันของคนอื้นและตัวเอง ทั้ง ๆ ที่
ใจก็ปวดร้าวกับวัยวานที่ผ่านมาก่อนจะเคลิ้มหลับไปกับภาพฝัน
ต่าง ๆ เหล่านั้น ท่ามกลางสายลมเย็นของเมืองสุโขทัย..
10 พฤษภาคม 2545 13:10 น.
แสงศรัทธา ณ ปลายฟ้า
4.
เพลงถิ่น
ยามเอ๋ยยามเย็น
ตะวันเร้นหลบเหลี่ยม ณ มุมเขา
ลมหนาวหวนครวญเพลงแห่งลำเนา
ดอกไม้เหงายืนซบเงาเฝ้าลำธาร
ดวงจันทร์คล้อยลอยเลื่อนรับยามค่ำ
ดาวดื่มด่ำเพลงเหงาพาใจหาย
ผู้จากถิ่น จากพื้นดิน แหล่งซบกาย
ยังมิวายโปรดคืนถิ่นแผ่นดินเอยฯ
เพลงถิ่น : ภาพการร่ำลาของคนชนบทที่เข้ามาหากินอยู่ในเมืองหลวง
มันเป็นภาพที่ชินตา...ชินตาเหมือนกับเห็นภาพที่มีใครซัก
คนนั้งเฝ้ารออยู่ใต้ถุนบ้านยามหน้าเทศกาล ก่อนจะจบลง
ด้วยคำเอื้อนเอ่ยออกมาจากปากช้า ๆ คลอเคล้าด้วยน้ำตาว่า
ปีนี้คงไม่กลับมา.....
5.
สาแหรก แม่
สาเอ๋ยสาแหรก
เจ้าเดินแบกสินค้าเที่ยวเร่ขาย
เหงื่อไหลหยดอาบร่างชะโลมกาย
เพื่อจุดหมายของลูกน้อยได้เล่าเรียน
สองบ่ากร้านดำไหม้มิเคยหวั่น
สิ่งใฝ่ฝันลูกนั้นหัดอ่านเขียน
แต่ลูดเจ้าเค้าร่ำแต่ติเตียน
นึกรังเกียจเพราะเจ้าแบกสาแหรกเอยฯ
สาแหรกของแม่ : เมื่อก่อนเคยฝากท้องเอาไว้กับขนม และไข่ ของป้าแก่ ๆ คน หนึ่ง ทุกเย็น สนิทกันมากจนเชื่อขนมกินได้ วันหนึ่งแกเล่าเรื่องที่
ทะเลาะ กับลูกสาวให้ฟัง รู้สึกว่าขนมไม่อร่อยเลยเมื่อได้ยิน...ถ้าตอนนี้แก
ยังอยู่ อธิษฐานให้ลูกเข้าใจแกมากขึ้น.....
6.
คราบแป้ง
แป้งเอ๋ยแป้งฝุ่น
หอมคลุ่นอุ่นในไอหมอกสาย
ปะแต้มแก้มขาวดูสบาย
แล้วแต่งกายเยื้อร่างตามคันนา
ถือดินสอ กำยามลบ ย่ำเท้าเปล่า
ทางเดินยาวก้าวเข้าสู่สถานศึกษา
จวนตะวันส่องหน้าเหงื่อพรายตา
บนใบหน้าเหงื่อไหลกลบลบแป้งเอยฯ
คราบแป้ง : กำลังใจในวัยเยาว์ก็ไม่ต่างกับแป้งฝุ่นที่หอมอุ่นอยู่เสมอ
แต่ความยากจนที่ต้องต่อสู้กับวิถีแห่งความยากจน และ
ทางไกลที่เดินในวิถีของการศึกษากว่าจะจบ...ไม่รู้ว่ากำลัง
ใจที่มีอยู่จะละลายเหมือนแป้ง เหลือเพียงคราบเกรอะกรัง
ที่เกาะอยู่บนใบหน้าหรือไม่.....
9 พฤษภาคม 2545 10:55 น.
แสงศรัทธา ณ ปลายฟ้า
1.
น้ำตก
น้ำเอ๋ยน้ำตก
ไหลรินตกจากยอดภูอันสูงใหญ่
เพื่อหล่อเลี้ยงสรรพสิ่งให้เป็นไป
ตามวิสัยแห่งคนบ้านดงดอย
ได้ดื่มกินได้อาบ-เลี้ยงชำระร่าง
ให้อ่อนหวานด้วยน้ำใจไมตรีถ้อย
เฝ้าหล่อหลอมจิตใจงามคนบ้านดอย
มิเสื่อมถอยดังน้ำใจคนในเมืองเอยฯ
น้ำตก : เมื่อไม่กี่วันไปถามทางแม่ค้าริมถนน กลับถูกตอบกลับ ด้วยสีหน้าที่บึ่งตึงและถ้อยคำโวยวาย 2-3 คำ รู้สึกหดหู่กับสิ่งที่พบ คะเนดูว่าป้าแก่ก็คงไม่ใช่คนกรุงเทพ แต่...แก่ถูกกลืนไปไม่เหลือ แม้แต่ น้ำใจ.....
2.
เปลญวน
เปลเอ๋ยเปลญวน
ทอดร่างม้วนนอนเนาเฝ้าใต้ถุน
ฝากตำนานความหลังฝังไออุ่น
มือละมุนใครหนอคอยไกวเปล
เพลงเสนาะเห่หล่อมให้หลับฝัน
ทุกคืนวันเฝ้าขวัญโอ้...ละเห่
แต่เดี๋ยวนี้ไร้เงาร่างคนไกวเปล
สิ้นเสียงเห่ดังใจลูกวายเอยฯ
เปลญวน : แทบจะเป็นสัญลักษณ์ของทุกบ้านในชนบท กลับบ้านเมื่อปีใหม่เมืองตาเหลือบไปเห็นเข้า...แววเสียงเห่ขับดังมาแต่ไกลแผ่วเบา วูบไหวในความรู้สึกจนน้ำตาไหล.....
3.
หน้าต่างแห่งจิตใจ
หน้าเอ๋ยหน้าต่าง
มีกระจกบางมัวปนเปื้อนฝุ่น
คอยปิดกั้นแสงงามของสายรุ้ง
ที่ทอดพลุ้งคลุ้งโค้งขอบฟ้าไกล
เหมือนจิตใจในตัวต้องมัวหมอง
มิสมปองในสิ่งที่คิดฝัน
จึงกักตัวกลัวว่าจะภินท์พัง
เลิกปิดกั้นเถิดดวงใจเจ้าจะงามเอยฯ
หน้าต่างแห่งจิตใจ : บางครั้งในใจก็หวาดกลัวบางสิ่ง เหมือนหวาดกลัวความจริงที่น่าจะเป็นไป ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นจะงดงาม หรือ โหดร้ายสุข ทุกข์เพียงใด.....