10 พฤษภาคม 2545 13:10 น.
แสงศรัทธา ณ ปลายฟ้า
4.
เพลงถิ่น
ยามเอ๋ยยามเย็น
ตะวันเร้นหลบเหลี่ยม ณ มุมเขา
ลมหนาวหวนครวญเพลงแห่งลำเนา
ดอกไม้เหงายืนซบเงาเฝ้าลำธาร
ดวงจันทร์คล้อยลอยเลื่อนรับยามค่ำ
ดาวดื่มด่ำเพลงเหงาพาใจหาย
ผู้จากถิ่น จากพื้นดิน แหล่งซบกาย
ยังมิวายโปรดคืนถิ่นแผ่นดินเอยฯ
เพลงถิ่น : ภาพการร่ำลาของคนชนบทที่เข้ามาหากินอยู่ในเมืองหลวง
มันเป็นภาพที่ชินตา...ชินตาเหมือนกับเห็นภาพที่มีใครซัก
คนนั้งเฝ้ารออยู่ใต้ถุนบ้านยามหน้าเทศกาล ก่อนจะจบลง
ด้วยคำเอื้อนเอ่ยออกมาจากปากช้า ๆ คลอเคล้าด้วยน้ำตาว่า
ปีนี้คงไม่กลับมา.....
5.
สาแหรก แม่
สาเอ๋ยสาแหรก
เจ้าเดินแบกสินค้าเที่ยวเร่ขาย
เหงื่อไหลหยดอาบร่างชะโลมกาย
เพื่อจุดหมายของลูกน้อยได้เล่าเรียน
สองบ่ากร้านดำไหม้มิเคยหวั่น
สิ่งใฝ่ฝันลูกนั้นหัดอ่านเขียน
แต่ลูดเจ้าเค้าร่ำแต่ติเตียน
นึกรังเกียจเพราะเจ้าแบกสาแหรกเอยฯ
สาแหรกของแม่ : เมื่อก่อนเคยฝากท้องเอาไว้กับขนม และไข่ ของป้าแก่ ๆ คน หนึ่ง ทุกเย็น สนิทกันมากจนเชื่อขนมกินได้ วันหนึ่งแกเล่าเรื่องที่
ทะเลาะ กับลูกสาวให้ฟัง รู้สึกว่าขนมไม่อร่อยเลยเมื่อได้ยิน...ถ้าตอนนี้แก
ยังอยู่ อธิษฐานให้ลูกเข้าใจแกมากขึ้น.....
6.
คราบแป้ง
แป้งเอ๋ยแป้งฝุ่น
หอมคลุ่นอุ่นในไอหมอกสาย
ปะแต้มแก้มขาวดูสบาย
แล้วแต่งกายเยื้อร่างตามคันนา
ถือดินสอ กำยามลบ ย่ำเท้าเปล่า
ทางเดินยาวก้าวเข้าสู่สถานศึกษา
จวนตะวันส่องหน้าเหงื่อพรายตา
บนใบหน้าเหงื่อไหลกลบลบแป้งเอยฯ
คราบแป้ง : กำลังใจในวัยเยาว์ก็ไม่ต่างกับแป้งฝุ่นที่หอมอุ่นอยู่เสมอ
แต่ความยากจนที่ต้องต่อสู้กับวิถีแห่งความยากจน และ
ทางไกลที่เดินในวิถีของการศึกษากว่าจะจบ...ไม่รู้ว่ากำลัง
ใจที่มีอยู่จะละลายเหมือนแป้ง เหลือเพียงคราบเกรอะกรัง
ที่เกาะอยู่บนใบหน้าหรือไม่.....
9 พฤษภาคม 2545 10:55 น.
แสงศรัทธา ณ ปลายฟ้า
1.
น้ำตก
น้ำเอ๋ยน้ำตก
ไหลรินตกจากยอดภูอันสูงใหญ่
เพื่อหล่อเลี้ยงสรรพสิ่งให้เป็นไป
ตามวิสัยแห่งคนบ้านดงดอย
ได้ดื่มกินได้อาบ-เลี้ยงชำระร่าง
ให้อ่อนหวานด้วยน้ำใจไมตรีถ้อย
เฝ้าหล่อหลอมจิตใจงามคนบ้านดอย
มิเสื่อมถอยดังน้ำใจคนในเมืองเอยฯ
น้ำตก : เมื่อไม่กี่วันไปถามทางแม่ค้าริมถนน กลับถูกตอบกลับ ด้วยสีหน้าที่บึ่งตึงและถ้อยคำโวยวาย 2-3 คำ รู้สึกหดหู่กับสิ่งที่พบ คะเนดูว่าป้าแก่ก็คงไม่ใช่คนกรุงเทพ แต่...แก่ถูกกลืนไปไม่เหลือ แม้แต่ น้ำใจ.....
2.
เปลญวน
เปลเอ๋ยเปลญวน
ทอดร่างม้วนนอนเนาเฝ้าใต้ถุน
ฝากตำนานความหลังฝังไออุ่น
มือละมุนใครหนอคอยไกวเปล
เพลงเสนาะเห่หล่อมให้หลับฝัน
ทุกคืนวันเฝ้าขวัญโอ้...ละเห่
แต่เดี๋ยวนี้ไร้เงาร่างคนไกวเปล
สิ้นเสียงเห่ดังใจลูกวายเอยฯ
เปลญวน : แทบจะเป็นสัญลักษณ์ของทุกบ้านในชนบท กลับบ้านเมื่อปีใหม่เมืองตาเหลือบไปเห็นเข้า...แววเสียงเห่ขับดังมาแต่ไกลแผ่วเบา วูบไหวในความรู้สึกจนน้ำตาไหล.....
3.
หน้าต่างแห่งจิตใจ
หน้าเอ๋ยหน้าต่าง
มีกระจกบางมัวปนเปื้อนฝุ่น
คอยปิดกั้นแสงงามของสายรุ้ง
ที่ทอดพลุ้งคลุ้งโค้งขอบฟ้าไกล
เหมือนจิตใจในตัวต้องมัวหมอง
มิสมปองในสิ่งที่คิดฝัน
จึงกักตัวกลัวว่าจะภินท์พัง
เลิกปิดกั้นเถิดดวงใจเจ้าจะงามเอยฯ
หน้าต่างแห่งจิตใจ : บางครั้งในใจก็หวาดกลัวบางสิ่ง เหมือนหวาดกลัวความจริงที่น่าจะเป็นไป ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นจะงดงาม หรือ โหดร้ายสุข ทุกข์เพียงใด.....
9 เมษายน 2545 10:33 น.
แสงศรัทธา ณ ปลายฟ้า
ธรรมชาติลีลา ( เสาวรจนี )
ณ ราตรีมีโสมงามจรัสแสง
ดาวแต่งแต้มประทินฟ้าเวหาหาว
พระพายชื่นลูบไล้แสงแห่งดาว
สุขสกาวสว่างเพ็ญเย็นชื่นใจ
กระแสสินธิ์ยังไหนเอื้อยอย่างเชื่องช้า
หมู่มัจฉาต่างแหวกว่ายใต้ธารใส
วิหกเผอละเมอร้องกับเรไร
คงเสียใจอาลัยรักที่ร้างลา
ดอกปทุมอวบอูมอิ่มน้ำค้าง
เด่นอยู่กลางวารีสีเขียวขาว
พระจันทร์หยอกสายชลเพื่อมเป็นเหลื่อมพราว
แวววับวาวดังมณีบุรีพรหม
ขุนคีรีโค้งงามทอดตามหล้า
ดังอ่อนร่างชมความงามเวหาหน
หรือเจ้าถูกลมเล้าลามเลียลน
จึงผ่อนปรนโอนอ่อนร่างตามลมเลียฯ
สุมามาสแจ่มฟ้า จรูญหาว
พราวพร่างจรัสดาว แต่งแต้ม
พระพายรื่นเชยดาววาว ยวนหยั่ว
ยามค่ำบุหลันแจ้ง แจ่มจ้าฟ้างามฯ
ธาราสงบนิ่งคล้าย หยุดไหล
มัจฉาว่ายเวียนไป ทั่วคุ้ง
ลมเชยผ่านปทุมไหว โดดเด่นงามเลิศ
โสมส่องชลเหลื่อมรุ้ง ดั่งแก้วเมืองเทวัญฯ
ปักษาผวากู่ก้อง พงพนา
ดุจดังเสียงโหยหา ร่ำไห้
อาดูรคู่เคียงคลาด จรถิ่นจรไกล
ทุกค่ำคืนร่ำไห้ คั่งคั้นทรวงกมลฯ
พนมนอบร่างโน้ม ตามภพ
กายอ่อนทอดจด แผ่นหล้า
ขุนเขาแกร่งยังสยบ นบแด่เบื้องนภา
งามสิ่งใดกล่าวอ้าง บ่สู้งามโพยมฯ
.แสงศรัทธา ณ ปลายฟ้า.
6 เมษายน 2545 11:31 น.
แสงศรัทธา ณ ปลายฟ้า
กาล - กานต์
(กลบทอักษรล้วน)
.....น้ำเนตรนองหน้าน้องนับเนื่องแน่น
คั่นครุ่นแค้นคิดคร่ำครวญควรคิดใคร่
จิตจากจรเจ้าจากใจจรจากใจ
ดุจดาวดับแดดับดิ้นดังดาบดาย
แสนโศกศัลย์สิ้นเสียสูญสุดโศกเศร้า
หวงห่วงแหไห้โหยหวนหาห่างหาย
แรกเรียนรักเริ่มรับรู้รักเรี่ยราย
กาลกลับกลายก่อกลโกงกาต์ก่อกรรมฯ
...แสงศรัทธา ณ ปลายฟ้า.....
6 เมษายน 2545 11:31 น.
แสงศรัทธา ณ ปลายฟ้า
อธิษฐาน
(กลบทเบญจวรรณห้าสี)
.....ลมลูบไล้ลามเลียทิวยอดหญ้า
ดาวดาดาษเด่นดวงช่วงเวหา
แพรวพราวพิศพริ้งเพริดแลงามตา
แวววับวาววูบวาบไหวหวั่นใจ
ค่ำคืนครวญครางคอยกลอยสวาท
จรใจจากจิตจวนเจียนจะดับไหม้
โหยหวนไห้ห่างหาคิดอาลัย
แรกเริ่มรักเรียนรู้เจ็บช้ำเจียนตายฯ
(กลบทเลวงวางตรวจ)
แสงโศกเศร้าเหงากมลดุจโดเดี่ยว
ล้วนแลเหลี่ยวเที่ยวหาทุกถิ่นฐาน
เพียงพบพานหน้ามลนวลน้องนาง
ชีพชายชาญสิ้นสูญย่อมยอมยม
ก้มกรานกราบอธิษฐานสิ่งศักดิ์สิทธิ์
เทพทุกทิศดลจิตเสกสุขสม
มิหมองหมายให้ฝันล่องลอยลม
ช่วยชี้ชมอิงแอบแนบเนื้อนวลฯ
.........แสงศรัทธา ณ ปลายฟ้า........