14 กันยายน 2545 12:42 น.
แสงศรัทธา ณ ปลายฟ้า
ภาพจริง ณ วันนี้
1.
แดดฉายประกายแดดเจ้าแผดไหม้
ส่องร่องไม้วูบไหวหัวใจสั่น
ระรื่นกลิ่นไม้จางจากภวังค์
เจ้าโชยมาแบ่งปันวันเดียวดาย
คิดถึงฝุ่นปนเปื้อนหยาดน้ำฝน
ลอยระคนเสียงกล่อมก่อนจางหาย
คิดถึงเปลขาวม้าพ่อ น้ำตาพราย
คิดถึงคืนสุดท้ายก่อนจากมา
ฉันบากหน้าจากลาแผ่นดินเกิด
มุ่งหวังเปิดโลกกว้างสถานศึกษา
หมั่นพากเพียรเรียนรู้ในตำรา
หวังจบมาได้งาน เงินเพิ่มพูน
จึงวาดฝันสวยงามบรรเจิดจ้า
ปริญญาลอยคว้างกลางแสงสูรย์
พ่อ แม่ยิ้มรับขวัญสุขสมบูรณ์
ต่างเทิดทูนลูกได้ปริญญา
2.
แต่ภาพจริงคือฉัน ณ วันนี้
จบหลายปีงาน เงินไร้ที่หา
อยากบากหน้าหวนคืนถิ่นท้องนา
แต่จนว่าที่นาหลุดจำนอง!
14 กันยายน 2545 12:25 น.
แสงศรัทธา ณ ปลายฟ้า
ปีกความฝัน : สิ่งดีที่เรามี
ละทิ้งสิ้นเสียทุกอย่างที่ใจทุกข์
แล้วปลุกรับความปรารถนาเผยค่าหอม
อย่ายอมค้อมหัวให้กับความตรมตรอม
และอย่ายอมให้ความเจ็บเหน็บร้าวใจ
จงโบยบินผินตามใจเธอใฝ่ฝัน
คืนความหวังกลั่นพลังสร้างวันใหม่
ก้าวไปเถิดเดินหน้าไปไขวคว้าชัย
เพื่อพรุ่งนี้จักสดใสกระจ่างจริง
จงอย่ากลัวแม้บางคราวเธออ่อนล้า
จงเปิดตามองไปไกลทั่วถิ่น
ล้วนผู้คนทุกข์ยากแหล่งพักพิง
ล้วยผู้คนทุกข์สิ้น - สิ้นความงาม
ล่องลอยไกลไปสุดฟ้าไปล่าฝัน
ระลึกมั่นหากมีใครคอยไถ่ถาม
ว่ามิเหนื่อยหรือไรที่บินตาม -
ความฝันนั้นยังแวววามหรืออย่างไร ?
จงตอบเขาไปซิว่าทุกสิ่ง
ล้วนทุกฝันมีจริง สวยสุขใส
และปีกฝันคือสิ่งเดียวเหนือสิ่งใด
เป็นความงามอันยิ่งใหญ่ที่เรามี
(เพราะความฝันคือสิ่งดีที่มีจริง)
13 กันยายน 2545 11:52 น.
แสงศรัทธา ณ ปลายฟ้า
จารรัก
จารรอยรักสลักไว้บนผืนทราย
ณ ที่ซึ่งความหมายยั่งยืนเสมอ
หวังฟ้าโอบรอยไว้หากใครเจอ
จะมิใช่เพียงพร่ำเพ้อละเมอครวญ
จารรอยรักพริ้มไหว - ผสานลมหวาน
หวังสัมพันธุ์ในคืนวานจักคืนหวน
แม้ความรักอาจร้ายเล่ห์,ร้อยเรรวน
หวังวันหนึ่งซึ่งรักทวนหวนคืนมา
จารรอยรักคงคู่ใต้ผืนน้ำ
หวังน้ำฉ่ำใสงามรู้ปรารถนา
หวังนทีสะกดรักไว้ในม่านเวลา
เพื่อรอใครผ่านตามาเก็บไป
จารรอยรักเป็นเงาอันเร้าร้อน
หวังอุทรณ์วอนหารักก่อนดับไหม้
ปรารถนาให้หัวใจเป็นเพลิงไฟ
เพื่อเผาผลาญหัวใจ ( ฉัน ) ไร้คนมอง!
วันนี้ฉันผ่านทางมาจารรัก
พร้อมมองหาแหล่งพัก , หลักใจหมอง
หวังดิน , น้ำ , ลม , ไฟ เสกสมปรอง
เสกคู่ครอง คู่ใจ มีตัวตน
20 กรกฎาคม 2545 17:54 น.
แสงศรัทธา ณ ปลายฟ้า
แสงสุดท้าย - ใช่ท้ายสุด
ลมหายใจของฟ้าระบายสี
แต้มนทีทิวเมฆหลากสีสัน
เป็นแสงงามจากปลายแสงแห่งตะวัน
ฉุดผู้คนหลงภวังค์เพียงผ่านตา
ลมเห่กล่อมเกลียวคลื่นคืนสู่ฝั่ง
ก่อนฝากฝังริ้วคลื่นบนพื้นหาด
ดุจถ้อยคำจากทะเลเห่ตำนาน
เล่าเหตุการณ์ผ่านพบวันต่อวัน
ทรายบนหาดกระทบแสงดังเก็จแก้ว
ระยับแวววับงามพาใจไหว
หนึ่งเม็ดทรายกระซิปถามทะเลไป
ว่าพรุ่งนี้มาอีกไหมหนอทะเล
ฉันเดินทางเหนื่อยล้าอยากพักผ่อน
จะแนบนอนให้ดาวฟ้าช่วยกล่อมเห่
ก่อนฟ้าสางวิถีทางออกร่อนเร่
ไปถาโถมทบเททะเลไกล
การเดินทางยาวนานย่อมเหนื่อยอ่อน
บางครั้งท้อ - บ่อยครั้งสุข ใจสั่นไหว
แต่ทุกยามระลึกอยู่เต็มห้องใจ
ว่าจุดหมายล้วนฝันอันโสภี
เปรียบแสงงามยามตะวันใกล้ชิงพลบ
แสงทองกลบท้องฟ้าบันดาลสี
อีกลมแผ้วแว่วบรรเลงเพลงดนตรี
ให้ผู้ล้าในวิถีได้ยิน - ยล
แสงที่งามยามสุดท้าย - ใช่ท้ายสุด
เพื่อเว้นจุดพักผ่อนก่อนผลิผล
เพื่อคิดค้นมุ่งสู่สู้ฝันตน
และเพื่อลืมความทุกข์ทนปนร้าวราน
พักเหนื่อยอ่อนก่อนก้าวในเช้าใหม่
เช้าวันที่สดใสเต็มใจหาญ
พรุ่งนี้ย่อมมีฝันไว้ให้เดินทาง
ด้วยสองมือจะแผ้วทางหนทางไปฯ
18 กรกฎาคม 2545 11:25 น.
แสงศรัทธา ณ ปลายฟ้า
เขียนไว้ ณ ริมฝั่งที่เรายืน
1.
สักดึก,ดึกบอกหนาวช่างจับจิต
มองดูมวลมิ่งมิตร ณ ริมฝั่ง
เห็นดวงตาของเธอเปรียมพลัง
เห็นใยรักเหนี่ยวรั่งยึดดวงใจ
ในคืนดึกดาริกาเอ่ยกระซิป
บอกเธอหยิบดาราที่แววใส
แล้วค่อยหยิบกลีบบางมวลดอกไม้
สลักถ้อยลงไปเป็นบทกวี
บทกวีที่ดาลจากสิ่งรอบข้าง
จากความมัว - อ้าวว้างหรือล้านสี
จากความรัก - ความโกรธ โลก ร้าย ดี
จากความมี - สิ้นไร้ จากน้ำตา
จากน้ำตาของฟ้าคือน้ำค้าง
และความฝันเวิ้งว้างที่เธอหา
จากไอหมอกสายลมหนึ่งคำลา
และจากเสี้ยวจันทราก่อนดับพลัน
2.
สักดึก,ดึกบอกหนาวช่างจับจิต
มองดูมวลมิ่งมิตรจารึกฝัน
ณ ระเบียงริมฝั่งเราเห็นมัน
และเห็นแวววับนั้นระยับพราย
ในโลกนี้มีล้านสิ่งให้จารึก
จงผลึกทุกภาพแล้ววาดสาย-
สลักลงเป็นอักษรร้อยลวดลาย
แล้วเธอจงลงว่ายเส้นทางดาว
เส้นทางดาวที่พราวแสงแสนล้านสี
ด้วยหมื่นถ้อยวจีประดับหาว
ด้วยพราวเหงื่อของเธอดังหยาดดาว
และหมื่นพันเรื่องราวจากตัวเธอ
3.
สักดึก,ดึกบอกหนาวช่างจับจิต
มองดูมวลมิ่งมิตรริมฝั่งเสมอ
แม้ร่างกายของเรามิอาจเจอ
แต่ดวงใจยังเพ้อถึงเธอทุกวัน
เพราะเรานั้นต่ามมีฝัน ณ จุดเดียว!