10 ธันวาคม 2555 21:05 น.
แม่มดใจร้าย
หลายปีก่อนฉันชักชวนเพื่อนที่สนิทและไม่สนิทไปปั่นจักรยานปลูกป่าที่เพชรบุรีในปี 51 และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการปั่นจักรยานตามรอยสุโขทัยในอีกสองครั้งถัดมา ครานี้ฉันมีโอกาสตามรอยอโยธยาศรีรามเทพนครในระยะเวลาสั้น ๆ เพียง 1 วัน คงไม่มีใครมาตามเรียกฉันว่าแม่หญิง แม่หญิง รอข้าก่อน อย่างที่มีใครเคยบอกว่าฉันเดินอ้อยอิ่งจนทหารมองตามที่กาญจนบุรี
ระยะเวลาสั้นๆ ในการตามรอยอโยธยา ฉันคงไม่มาเล่าประวัติศาสตร์ (ก็เพราะไม่ได้จบประวัติศาสตร์นี่นา) ฉันคงเล่าเรื่องราวในแบบฉบับของฉันที่ฉันได้พบได้เห็นจากซากปรักหักพังทางประวัติศาสตร์สิ่งที่ฉันได้เรียนรู้ ได้สัมผัสและจับต้องได้จากความเป็นจริง
เพียงเริ่มต้นเดินทางฉันก็บอกว่าคุ้มกับจำนวนเงินที่เสียได้ไปถึงสามร้อยกว่าบาท ฉันและทุกคนที่รวมเดินทางซึ่งเป็นนักศึกษาได้รับหนังสือถึงสองเล่มนั่นคือ "อยุธยา มรดกโลกภาพสะท้อนจากอดีต" และ "พระนครศรีอยุธยา ท่องเที่ยวราชธานีเก่าไปกับนายก อบจ." นี่ยังไม่รวมน้ำขนมของกินอีกหนึ่งถุงนะเนี่ย น้องๆ เจ้าหน้าที่บอกว่าเซ็นชื่อเสร็จก็กลับบ้านได้เพราะคุ้มแล้วววววว
จากจุดเริ่มเดินทางจนถึงจุดเริ่มปั่นจักรยาน ณ ศาลากลางจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่ยังคงตกแต่งไม่เรียบร้อยนั้นมีเรื่องเล่ามากมายภายในนั้น วิทยากรบอกว่าแค่เข้าไปชมก็เห็นอยุธยาได้ทั้งเมือง ฉันได้นำรูปบางส่วนลงในเฟส จนมีพี่คนหนึ่งมาถามว่าไปไหนมา และพอรู้สถานที่ถึงกลับบอกว่าไม่ยักรู้ว่าศาลากลางพระนครศรีอยุธยามีอะไรดีขนาดนี้ จากศาลากลางเราปั่นจักรยานไปวัดมหาธาตุ จุดเด่นของที่นี่ก็คงเป็นเศียรพระที่อยู่ท่ามกลางรากไม้เพราะฉันเห็นใครต่อใครรวมถึงตัวฉันถ่ายรูปเศียรพระหินทรายที่ลอยอยู่เหนือพื้นดินด้วยรากของต้นโพธิ์ ซากปรักหักพังที่เราพบเห็นและเรียนรู้จากประวัติศาสตร์ว่าถูกกระทำด้วยน้ำมือของศัตรูในกาลก่อนนั้น เป็นเรื่องน่าแปลกที่ว่าประเทศของเขานั้นเคร่งครัดในเรื่องศาสนาไม่ว่าจะเป็นด้านการแต่งกาย การเคารพสถานที่ แล้วเหตุใดจึงทำลายล้างพุทธศาสนาของบ้านเมืองอื่นด้วยการเผา (ทราบจากวิทยากรว่าเป็นเพราะกลัวความเจริญรุ่งเรืองที่มากกว่า) ฉันจึงได้เรียนรู้เพิ่มขึ้นว่าไม่ว่าจะยุคใดสมัยใดไม่มีใครอยากเห็นใครได้ดีกว่า (อย่าเอาความคิดของใครมาทำลายล้างกันเพียงแค่เห็นต่าง)
จากวัดมหาธาตุ เราผ่านวัดราชบูรณะ ด้วยหนทางที่ไม่ราบเรียบถ้าเราเรียนรู้จากหนทางก็คงคิดได้อีกว่าชีวิตมันก็ไม่ได้ราบเรียบเสมอไป จุดที่ต้องข้ามสะพานฉันรอให้ขบวนข้างหน้าขี่บ้าง เข็นบ้างข้ามสะพานจนแทบไม่เหลือใครบนนั้นเพื่อทดสอบกำลังขาของตัวเองว่ายังมีกำลังพอที่จะนำพาตัวเองขึ้นไปโดยไม่ต้องหยุดเข็นได้หรือไม่ (โอ้! ยังไหวอยู่) เราอาจจะต้องรอจนคนผ่านพ้นแล้วจึงนำพาตัวเองให้ข้ามผ่าน
ขบวนจักรยานพากันไปชมวัดโลกยสุธา(วัดพระนอน) ซึ่งมีความยาว 42 เมตร ประดิษฐานกลางแจ้ง ซึ่งก็เกิดจากการเผาบ้านเผาเมืองอีกนั่นแหละ จากวัดพระนอนเราไปวัดพระศรีสรรเพชญ์ วิหารมงคลบพิตร (ซึ่งที่นี่ไม่รู้ว่าฉันจะได้บุญหรือได้บาปกันแน่) ก่อนจะเข้าไปไหว้พระฉันตั้งใจว่าเมื่อไหว้พระเสร็จจะมาบริจาคเงินให้น้องนักเรียนกลุ่มหนึ่งที่มาขอบริจาคเงินเพื่อนำไปซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ให้กับโรงเรียน เมื่อไหว้พระเสร็จลงมาด้านล่างฉันเปิดกระเป๋าหยิบเงินหนึ่งร้อยบาทไว้ในมือ ขณะกำลังปิดกระเป๋าสตางค์นั้น ฉันรู้สึกได้ถึงแรงกระชากของเงินที่อยู่ในมือซึ่งทำให้ฉันกำไว้แน่นกว่าเก่าพร้อมเสียงร้องเฮ้ย! ในขณะเดียวกันก็ก้มมองพร้อมเสียงดุไปว่าอย่าทำนิสัยเช่นนี้ในวัดนะ (แล้วตรูทำไปได้ไงเนี่ย) หลายสายตามองมาที่ฉัน แต่ฉันหันหลังกลับพร้อมเสียงดุอีกว่าเดี๋ยวฉันก็ตีเด็กในวัดหรอก เด็กคนนี้ยังคงยกมือไหว้เพื่อขอเงินแต่เมื่อความรู้สึกมันเสียไปแล้วฉันก็คงไม่ให้เพื่อเป็นเยี่ยงอย่าง ฉันหย่อนเงินที่ตั้งใจในกล่องพร้อมเดินจากมา พร้อมคิดไปว่านี่เมืองท่องเที่ยว เมืองมรดกโลกนะเนี่ย แต่ที่ไหนๆ ก็คงมีคนเช่นนี้เสมอ ถ้าตราบใดคนในโลกยังคงมีความไม่เท่าเทียม คนในโลกยังคงเห็นแก่ตัว และคนในโลกยังแก่งแย่งแข่งดีกัน (ฉันซึ่งยังเป็นคนดีไม่พร้อมก็คงทำได้เท่านี้)
ฉันจำได้ว่าเคยเขียนเรื่องเยี่ยมเยือนเมืองพม่า หลังจากที่ได้มีโอกาสไปเที่ยวพม่าในระยะเวลาสั้น ๆ "ประวัติศาสตร์ของเขา กับ ประวัติศาสตร์ของเรา" เขียนต่างกัน เฉกเช่นปัจจุบันที่เราเรียนรู้เรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นแตกต่างกันตามมุมมอง เพียงแต่ว่าอย่าให้แตกแยกตามความเห็นแก่ตัวก็คงเพียงพอและรักษาสิ่งต่างๆ ไว้ได้อย่างสวยงาม
ปล. ขอบคุณสำนักกีฬา มหาวิทยาลัยรามคำแหง