26 พฤษภาคม 2551 18:25 น.
แม่มดใจร้าย
เกือบห้าปีแล้วสินะที่พ่อของเธอจากไป เนื่องจากอุบัติเหตุ อุบัติเหตุที่นำมาซึ่งความสูญเสียของครอบครัว..
ลูกสูญเสียพ่อไปเมื่ออายุได้ไม่ถึงสองขวบ..
แม่ของลูกสูญเสียสามีไปด้วยวัยอันไม่สมควร..
และแม่สูญเสียลูกชายไปในเวลาที่ไม่สมควรเช่นเดียวกัน..
พี่และน้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก อย่างตั้งตัวไม่ทัน..
ความรู้สึกที่ว่าหัวใจหล่นวูบนั้น เป็นเช่นไร ก็รู้ซึ้งในคราวนี้..
น้ำตาท่วมอกเป็นเช่นไร ใครเล่าจะรู้ซึ้ง ถ้ามิได้พบพานด้วยตัวเอง..
ทุกปีที่ผ่านมา ความรู้สึกสูญเสีย ยังคงตราตรึงอยู่ในหัวใจ ...และทุกปี ความรู้สึกสูญเสียถูกตอกย้ำด้วยการทวงหนี้จากหน่วยราชการ
คำถามครั้งแรกที่เคยถามว่า คุณดูแลคนเจ็บดีหรือไม่..
คำตอบที่ได้รับคือ "เราดูแลคนเจ็บอย่างดีที่สุด"
แต่..สิ่งที่ได้รับรู้ จากบุคคลรอบข้าง บุคคลที่อยู่ในเหตุการณ์ ช่างตรงกันข้ามกับสิ่งที่ได้ฟัง
"คนเจ็บมาโรงพยาบาลได้อย่างไร มีใครแจ้ง"
"รถพยาบาลที่ออกพื้นที่ผ่านไปพบเข้า" นั่นคือคำตอบ
"มีใครดูแลคนเจ็บหรือไม่"
"ผมเห็นแต่คนมุงดู ส่วนคู่กรณีก็ยืนมุงดูรถตัวเองเช่นกัน"
โทรศัพท์สูญหาย และผู้ที่หยิบมันไป ยังเอาไปเปิดใช้หลายครั้ง ถึงแม้จะบอกว่า..คุณรู้มั้ยเจ้าของโทรศัพท์เขาเสียชีวิตไปแล้ว
หน่วยงานราชการติดต่อมาหลายครั้ง และนัดหมายให้มาคุย เมื่อบอกว่าไม่มา คำพูดที่ตามมาอีกก็คือ "งั้นผมฟ้อง"
"เชิญเถอะค่ะ ถ้าคุณอยากฟ้อง"
ผ่านไปเกือบห้าปี วันนี้เด็กอายุหกขวบ นอนเอามือก่ายหน้าผาก เมื่อแม่เล่าให้ฟัง..
แม่เห็นพฤติกรรมลูกชาย จึงถามว่า .."ลูกเป็นอะไร"
"หนูกลุ้มใจแม่ หนูจะเอาเงินที่ไหนไปใช้เขา เงินตั้งมากมายขนาดนั้น"
"ไปไหวพระกันไหมลูก"
"ดีแม่ หนูจะได้ขอพระว่า อย่าให้เขามาทวงหนี้หนู หนูไม่มีเงินให้เขาหรอก เงินในกระปุกหนูก็มีอยู่นิดเดียวเอง"
ความรู้สึกสูญเสียของเด็กตัวน้อย กับความกลุ้มใจที่เธอแสดงออก ใครเล่าจะรู้ซึ้งได้ดีเท่ากับผู้สูญเสียและถูกตอกย้ำ..
14 พฤษภาคม 2551 18:00 น.
แม่มดใจร้าย
(ขอบคุณภาพจากเน็ต)
ใคร ๆ ก็พูดถึงแต่อีแอบ..
ฉันเลยแอบมาพูดถึงคุณป่วน..
อุ๊ย! ไม่ได้สิต้องเป็นอีป่วน เดี๋ยวผิดคอนเซ็ปต์
ห่างหายจากการดูละครไปนานนักหนา แล้วก็มัวไปติดแต่หนังเกาหลี ประเภทนางเอกมีวลีเด็ด ประจำตัวว่า.."สู้ สู้" เลยมิค่อยจะนำพาละครไทย
หันไป หันมา อ้าวมีนางทาส อะดูสักหน่อย ประเภทนางเอกเจ้าน้ำตา โดนทำร้ายเนี่ยชอบ ๆ (ชอบด่าตัวร้าย) แล้วประเภทละครน้ำเน้า น้ำเน่าเนี่ย ดูสักหน่อยจะได้คุยกับเขาได้ ไม่งั้นเข้ากลุ่มทีไร ต้องคอยถาม เรื่องไรอะพี่..
คุยไปบ่นไป..(ไม่ใช่ชิมไปบ่นไป) ละครน้ำเน้า น้ำเน่า แต่ก็ดูจนจบ..
แง แง แง แต่ตอนจบของนางทาสนี่สิ โทรทัศน์ดันมาเสีย เลยอดดูท่านเจ้าคุณ..
อ้าว! แล้วเกี่ยวอะไรกับคุณป่วนเนี่ย..
อีแอบน่ะมีแต่คนสงสัยว่าทำไม๊ ทำไม มันถึงได้จงรักภักดีเจ้านายนักหนา ก็ทำไมจะไม่จงรักภักดีละเจ้าคะ ก็เจ้านายยุง่ายซะขนาดนั้น ยุนิด ยุหน่อย แค่เพียงถูกด่านิดหน่อย เดี๋ยวเจ้านายก็ทำตาม..
ผิดกับนังป่วน..ที่พูดจนปากจะฉีก แต่เจ้านายก็ มิ..ได้..นำ..พา.. และกว่าจะนำพา ก็เรียกว่าต้องระเห็จไปอยู่ก้นครัว..
ด้วยความที่ไม่ได้ดูตอนจบ เลยยิ่งไม่รู้ว่าแม้จะไปอยู่ก้นครัวแล้ว เจ้านายจะนำพาหรือไม่..
แต่..อีแอบ และนังป่วน หรือจะสู้อีหยิบได้
อีหยิบน่ะเป็นประเภท เห็นอีแอบ กับอีป่วน เผลอค่ะ เพราะคนหนึ่งมัวแต่ยุ คนหนึ่งมัวแต่สอน อีหยิบก็เลยแอบเข้ามา..
อ้าว! ว่าจะพูดถึงนั่งป่วน..แล้วอีหยิบนี่มาจากไหนกันละเนี่ย..
เฮ่อ! แต่..มิ..ได้..นำ..พา
10 พฤษภาคม 2551 11:01 น.
แม่มดใจร้าย
(ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต)
การผ่านพบเรื่องราวและพบเจออุปสรรคในชีวิต..
การได้เห็น ได้รู้จัก และได้เรียนรู้ผู้คน..
การได้ออกเดินทาง ได้พบ ได้เห็น และได้เจอ..
ล้วนเป็นประสพการณ์ ที่บ่งบอกเรื่องราวต่าง ๆ ได้หลากหลายมุมมอง...
คนบางคนยังไม่ทันได้พบเจอ ก็เหมือนไม่ถูกชะตา..
คนบางคนยังไม่ทันได้พบเจอ กับเหมือนเป็นเพื่อนสนิท..
คนบางคนคบหากันมาตั้งนาน ผ่านกาลเวลามาก็เยอะ พอเวลาผ่านไปอีกที จากมิตรที่ดี
กลับกลายเป็นศัตรู..
หันกลับมามองดูตัวเอง ผ่านกาลเวลา ที่ได้พบ ได้เห็น ได้เจอ และได้สัมผัส..
บางคนสร้างความสยองให้กับชีวิต..
บางคนหน้ายิ้ม ๆ แต่มีดคบกริบนั้นอยู่เบื้องหลัง
ถ้าในวงการเมืองก็คงบอกได้ว่า "ไม่มีมิตรแท้ และศัตรูถาวร"
แต่ในความเป็นจริงละ มันใช่อย่างนั้นหรือ
คนบางคนสร้างกฎเกณฑ์ ให้กับชีวิตมากมายเพราะเหตุไร..
คนบางคนแทบจะไม่มีกฎเกณฑ์ ให้กับชีวิตเพราะเหตุไร..
คนบางคนถูกสั่งสมด้วยระเบียบ กฎเกณฑ์และกติกา ให้เป็นคนละเอียดเรียบร้อย
แต่แน่ใจหรือว่าความเรียบร้อยนั้น ไม่มีความหยาบอยู่ในหัวใจ..
คนบางคนสั่งสม สะสมด้วยชีวิตที่คิดว่าเรียบง่าย ไม่มีความละเอียดเรียบร้อย
แต่แน่ใจหรือว่าเขาเป็นคนไม่มีความละเอียดอ่อนอยู่ในหัวใจ..
ของบางอย่าง คนบางคน พฤติกรรมบางพฤติกรรม ไม่สามารถบ่งบอกได้
ถึงความละเอียดอ่อนในหัวใจของผู้ที่เรียกตัวเองว่ามนุษย์..
คนบางคนเป็นผู้รับซะมากมาย..จนลืมกลายเป็นผู้ให้
คนบางคนเป็นผู้ให้ซะมากมาย..จนลืมกลายเป็นผู้รับ
แต่..ในการเป็นผู้ให้ของคนบางคน สิ่งที่เขาได้รับตอบแทนนั้น
คือรอยยิ้มที่มันเต็มอิ่มอยู่ในหัวใจ..
และเหนืออื่นใดนั้น..
มันยิ่งใหญ่กว่าการเป็นผู้รับมากมาย..
การเป็นผู้รับ สามารถสร้างรอยยิ้มที่เป็นสุข..
แต่..มันแผ่ซ่านเต็มหัวใจของผู้ให้ ที่ได้เห็นรอยยิ้มที่เป็นสุข..
แน่ใจแล้วหรือว่า..
"หัวใจคุณยิ่งใหญ่"
5 พฤษภาคม 2551 11:44 น.
แม่มดใจร้าย
ชีพจรลงเท้าตั้งแต่เช้าจรดเย็น..
การทำงานของวันหยุด เป็นเรื่องปกติของชีวิต..
การเดินทางก็เป็นเรื่องปกติของชีวิต..
เสาร์ที่ผ่านมาจึงเป็นเรื่องปกติ ที่จะต้องเดินทางสู่ภาคตะวันออก..
แต่..เฮ้ย! ทำไมชีวิตต้องไม่ปกติ ด้วยเพลงพวกนี้ด้วยหว่า ก็ตั้งแต่เช้าจรดเย็นฟังแต่เพลงพวกนี้ จนต้องแอบถามใจตัวเองว่า ฟ้าลิขิตหรือเช่นไร..
เพลงลูกทุ่งกำลังฮิตก็เข้าใจ แต่ไยต้องเปิดเพลงซ้ำ ๆ กัน
ซ้ำร้าย..แม้ขนาดเปลี่ยนรถ ก็ยังเปิดเพลงเหมือนกันจากรถคันก่อน..
เฮ่อ! ชีวิต..
แต่..ช้าก่อน ไม่ใช่ชีวิตไม่รื่นรมณ์ เพลงน่ะฟังได้เพียงแต่สงสัยว่าทำมั้ย ทำไม ใจพวกคุณช่างตรงกันขนาดนี้หนอ..
ลองเปลี่ยนฟากจากการนั่งรถยนต์ ไปโดยสารรถไฟ เพื่อเดินทางต่อ เพียงแต่ย้ายจากภาคตะวันออก มุ่งสู่ภาคใต้..
นานเท่าใดที่ไม่ได้ใช้บริการรถไฟไทย..
นานเท่าใดที่ไม่ได้นั่งรถไฟจากบ้านสู่กรุงเทพฯ..
หลายปีนักจนเกือบจะนับไหว..
รถไฟสายใต้ก็เคยใช้บริการเพียงหนเดียว จากกรุงเทพสู่สุราษฎร์
ครั้งนี้ยิ่งใกล้กว่า เพียงแค่จากกรุงเทพสู่ชุมพร..
ณ ชานชาลา รถไฟสามเสน..
กว่าจะมาถึงก็ทุลัก ทุเล นัดพี่ไว้ที่สามเสน แท๊กซี่บอกไปบางซื่อดีกว่า คุยกันไปคุยกันมาเลยต้องบอกว่า ไปสามเสนดีกว่า เพราะนัดกันไว้แล้ว..
ดีแล้วละที่มาสามเสน เพราะถ้าไปบางซื่อ ชีวิตจะได้รื่นรมณ์หรือเปล่าก็ไม่รู้ได้..
บทดนตรีเพลงเพื่อชีวิต..
โอ้ ชีวิตมีอะไรตั้งเยอะแยะ
มีเกิดแก่เจ็บตายคล้าย ๆ กัน
แต่สิ่งที่มีไม่เหมือนคือความฝัน
อยู่ที่ใครจะล่ามันให้อยู่มือ..ฯลฯ
ที่ดังคลอกับเสียงจอแจของผู้คน และสียงขบวนรถไฟที่มาเป็นระยะ ๆ ร้องขับกล่อมผู้โดยสารที่รอรถไฟ ณ ชานชาลาสามเสน จากชายนิรนาม..(เพราะมิทราบ)
บทเพลงแล้วเพลงเล่า ที่ชายผู้นี้ร้องบรรเลง สร้างรอยยิ้มบนใบหน้าของผู้คนที่รอคอย แม้แต่ฉันเองยังยิ้มกับบทเพลงที่เขาขับกล่อม..จนถึงขั้นต้องแอบถ่ายรูปมา
คนแล้วคนเล่าที่ฟังชายผู้นี้ขับกล่อม พร้อมที่จะหยิบยื่นน้ำใจไมตรีให้กับชายผู้นี้ ด้วยการให้น้ำ กาแฟ แม้แต่น้ำอัดลม รวมถึงเงินเล็กน้อยจากใจสู่ใจ..
พี่ ๆ ที่เดินทางด้วยกันถามว่า คนอื่นเขาฟังแล้วยังมีอะไรให้พวกเราละ ฟังอย่างเดียว..
ฉันเลยบอกกลับไปว่า เตรียมไว้แล้วละ รถไฟมาเมื่อไหร่ก็จะเดินไปให้
ความวุ่นวายเมื่อรถไฟมา ทำให้จำไม่ได้ว่าบทเพลงสุดท้ายที่ฟังนั้นคือเพลงอะไร
แต่..เนื้อร้องเพลงหนึ่งที่จำได้กระท่อนกระแท่นระหว่างนั่งรอรถไฟ และชายผู้นี้ร้องให้ฟัง แปลได้ดังนี้ว่า..
"ความสุขที่ฉันขับกล่อม อย่าเห็นไม่มีความหมาย"
ช่างตรงกับใจฉันยามนั้นที่ว่า..
"ความสุข ณ ริมทาง"
ที่ไม่ต้องไปไขว่คว้าที่ไหน
ไม่ต้องมีเวทีใหญ่
แม้แสงไฟก็มิต้องการ
มีเพียงพื้นที่เล็ก ๆ
เป็นเกร็ดตำนานกล่าวขาน
สร้างความสุขในรอยทาง
ที่มิอ้างว้างซึ่งผู้คน..