5 มีนาคม 2550 17:53 น.
แม่มดใจร้าย
3/3/2550 เวลา 21.47.50
"ความห่วงใยก็เหมือนดวงดาว
มองเห็นเป็นครั้งคราวแต่ไม่เคยหายไปไหน"
ข้อความนี้ถูกส่งมาถึงฉันในวันสำคัญทางศาสนา วันที่พระจันทร์เต็มดวงดูโดดเด่น แต่เป็นเวลาที่ฉันหลับแล้ว จากการเดินทางทั้งวัน ฉันงัวเงียลุกขึ้นมากดดูข้อความที่ถูกส่งมา พลางนึกในใจว่า "ใครนะส่งข้อความมาให้" แต่เมื่ออ่านจบแล้ว รอยยิ้มก็ผุดขึ้นบนสีหน้าอย่างอิ่มเอมในหัวใจ อิ่มเอมเพราะว่า ความทรงจำของน้องสาวคนหนึ่งที่มีต่อฉันไม่เคยจางหายไปไหน
ความทรงจำ และความรู้สึกดีดี จากการที่ฉันได้ให้การช่วยเหลือเขา ในวันที่เขาจะเดินทางกลับจังหวัดอุดรธานี และไม่แน่ใจว่าจะทันรถหรือไม่ เนื่องจากเป็นเวลาค่ำแล้ว แต่รถโดยสารที่เรานั่งมานั้นยังอยู่ระหว่างชลบุรีกับแปดริ้ว และก็คงใช้เวลาอีกเป็นชั่วโมงในการเดินทางไปถึงกรุงเทพฯ
ฉันได้โทรติดต่อพี่คนหนึ่งที่รู้จักกัน และเป็นบุคคลที่ฉันขอความช่วยเหลือตลอดเวลาที่จะต้องเดินทางไปต่างจังหวัด โดยสอบถามถึงรายละเอียดของรถโดยสารที่จะไปจังหวัดนี้ว่าหมดเวลาเท่าไหร่ แล้วก็ให้เบอร์โทรติดต่อกับน้องคนนี้ไว้ เพราะตัวเองต้องลงก่อน
ระหว่างที่ฉันต้องนั่งรถสองแถวเพื่อเข้าบ้าน ก็ได้โทรถามน้องเขาว่าติดต่อกับพี่เขาเรียบร้อยหรือยัง
"เรียบร้อยแล้วค่ะพี่ พี่ผู้ชายเขาบอกว่ารถเที่ยวสุดท้ายหมดสี่ทุ่ม แต่กว่ารถจะออกก็เกือบสี่ทุ่มครึ่ง"
"อืม งั้นเดี๋ยวใกล้เวลารถออกพี่จะโทรไปเช็คอีกครั้งแล้วกันนะว่าเราขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว"
ประมาณสี่ทุ่มกว่านิด ๆ ฉันก็โทรไปสอบถามน้องเขาว่า
"เรียบร้อยแล้วนะ"
"ค่ะ พี่ พี่คะ พี่ชื่ออะไรน่ะ หนูจะได้จำไว้ ขอบพระคุณมากนะคะพี่ ที่ให้การช่วยเหลือ"
ฉันบอกชื่อกับน้องเขาไป เราสนทนากันอีกสักพักก็วางสาย
ความอิ่มเอมใจของฉันในวันนั้น คือการที่ฉันได้ช่วยเหลือคน แต่สิ่งที่ฉันทำในวันนั้น กลับสร้างความอิ่มเอมใจและความรู้สึกดีดีให้เกิดขึ้น เพราะน้องสาวคนนี้เคยส่งข้อความมาให้ฉันครั้งหนึ่ง ยังเสียใจไม่หายที่ไม่ได้จดข้อความนั้นไว้
แต่สิ่งดีดีที่ฉันได้ทำ คงจะอยู่ในหัวใจของน้องสาวคนนี้ และทุกครั้งที่ได้รับข้อความจากเธอ มันก็ทำให้ฉันนึกย้อนไปถึงสิ่งดีดีที่ฉันได้ทำ และรู้สึกเป็นสุขทุกครั้ง
วันนั้นฉันหลับลง ด้วยการส่งข้อความไปหาเธอว่า
"ขอบใจสำหรับความห่วงใยที่มีให้
มิตรภาพคือสิ่งสวยงาม"
28 กุมภาพันธ์ 2550 08:56 น.
แม่มดใจร้าย
มิตรภาพระหว่างเธอกับฉันเกิดขึ้นวันหนึ่ง
ขณะที่ฉันกำลังนั่งทำงานอยู่อย่างเพลินเพลิน
ตึ๊ง ตึ๊ง msn ของฉันดังขึ้นเพื่อเตือนว่ามีคนทักทายเข้ามา
"หวัดดีครับ
"หวัดดี"
"ทำอะไรอยู่"
"ทำงานดิ"
เราทักทายกันตามประสาของคนคุยเอ็มทั่วไป ฉันได้ข้อมูลคร่าว ๆ ว่าเธอเอาเมล์ฉันมาจากเว็บบ้านกลอนที่ฉันได้ไปลงเอาไว้ และได้ข้อมูลว่าเธอเองก็เขียนกลอนด้วยเหมือนกัน ชื่อที่เธอแนะนำให้ฉันรู้จัก ทำให้ฉันเข้าไปสืบค้นข้อมูลในเว็บกลอนได้ แต่ปรากฎว่าชื่อที่เธอบอกในเอ็ม กับชื่อที่อยู่ในเว็บกลอนนั้นไม่ตรงกัน
ฉันเอาข้อมูลของเธอในเว็บกลอนมาส่งให้เธอบนหน้าเอ็ม
เธอบอกว่าเร็วจัง ไม่คิดว่าจะเข้าไปดูข้อมูลได้เร็วขนาดนี้
ฉันได้แต่หัวเราะกับข้อมูลของเธอที่ต้องแกล้งมาอำกัน นั่นไม่ใช่สาระสำคัญสำหรับฉัน
ฉันกับเธอได้คุยได้รู้จักกัน แต่ไม่เคยเห็นหน้าซึ่งกันและกัน
เธอมักจะมีบทเพลงเพราะ ๆ มาให้ฉันฟังอยู่เรื่อย ๆ และเธอก็มักจะทำให้ฉันมีรอยยิ้มกับบทเพลงที่เธอส่งให้ฟังอยู่เสมอ
มิตรภาพระหว่างเธอกับฉัน มันงอกงามตามความรู้สึกของจิตใจ ที่ไม่หวังอะไรตอบแทน มีแต่ความจริงใจที่มอบให้กัน ในวันที่แต่ละคนอาจจะเกิดความท้อ และต้องการเพื่อนคุยเพื่อให้คลายทุกข์
วันนี้เธออาจจะห่างหายไปจากหน้าเว็บกลอน แต่ฉันก็รู้เหตุผลของการห่างหายไปของเธอ
และในวันนี้ฉันอยากจะบอกเธอว่า "มิตรภาพของเรา จะอยู่อย่างยาวนาน ถึงแม้จะอยู่บนเส้นทางของการเปลี่ยนแปลง"
"มิตรภาพระหว่างเพื่อน พี่และน้องสำหรับฉันจะอยู่ในใจเสมอตราบนานเท่านาน"
17 กันยายน 2549 18:56 น.
แม่มดใจร้าย
สุขทุกข์อยู่ที่ใจไม่ใช่หรือ ถ้าใจถือก็เป็นทุกข์ไม่สุขใส
ใจไม่ถือก็เป็นสุขไม่ทุกข์ใจ ถ้าเราอยากได้สุขไม่ทุกข์เอย
จำไม่ได้ว่าปรัชญานี้เป็นของท่านผู้ใด รู้แต่ว่าเป็นปรัชญาที่ช่วยหล่อเลี้ยงหัวใจให้ไร้ทุกข์ อ่านปรัชญานี้ครั้งใด หัวใจก็ให้คิดตามว่า เรื่องราวที่เราประสบพบเจอนั้น ถ้าเราเก็บมันมาไว้กับใจ หัวใจเราก็จะเป็นทุกข์ แต่ถ้าเมื่อใดเราคิดได้ว่า สุขหรือทุกข์มักจะอยู่กับเราไม่นานแล้วละก็ หัวใจของเราก็จะมีแต่ความสุข
ชีวิตที่ได้พบเจอผู้คน ได้เห็น ได้รู้จัก คนบางคนมีเรื่องราวให้คิดมากมายแต่กลับยิ้มได้อยู่ทั้งวัน คนบางคนไม่น่าจะมีเรื่องทุกข์อันใด แต่หน้าตาบึ้งตึงเหมือนคนแบกทุกข์ไว้ทั้งโลก ตัวฉันเองก็เคยเป็นเช่นประการหลัง หน้าตาแบกทุกข์ แถมไม่มีรอยยิ้มบนสีหน้า ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าแบกทุกข์อะไรไว้นักหนา จนผ่านกาลเวลามาเนิ่นนาน หัวใจก็เลยได้สั่งสอนว่าให้หัดปล่อยวางความทุกข์บ้าง ยิ่งได้เห็นชีวิตคนอื่น ก็เลยทำให้คิดว่าชีวิตเรายังดีกว่าคนอื่น ยังมีโอกาสและเรื่องราวดีดีผ่านเข้ามาในชีวิตมากกว่าคนอื่นที่อยู่รอบกาย
ทุกข์ที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิต ก็เลยเป็นเหมือนเรื่องเล็กน้อย ที่เหมือนสายลมพัดผ่านร่างกายไป ถ้าเอาใจไปยึดติดกับสายลมนั้นแล้วตัวเราเองนั่นแหละที่จะร้อนรุ่ม แล้วก็เป็นทุกข์อยู่ทุกวัน แต่ถ้าไม่เอาใจยึดติดแล้วความทุกข์ที่เราเห็นก็จะเหมือนสายลมที่พัดผ่านมาและผ่านไป ไม่สามารถทำอะไรกับจิตใจที่มั่นคงนั้นได้ เปรียบได้ดัง ต้นอ้อ ที่ลู่ตามลมยามลมพัดผ่าน แล้วก็กลับมายืนได้ใหม่เมื่อลมสงบ
หัวใจคนเราก็เช่นกันถ้าเราไม่ยึด ไม่ติด กับสิ่งที่มากระทบใจแล้วละก็ หัวใจของเราก็จะไร้ทุกข์ เฉกเช่นเดียวกับปรัชญาข้างต้น แล้วคุณละอยากเป็นเช่น หัวใจไร้ทุกข์ หรือไม่ ลองเอาปรัชญาข้างต้นไปท่องจำดูซิ แล้วคุณจะรู้ว่าความสุขนั้นอยู่ไม่ไกลจากหัวใจของคุณ
1 กันยายน 2549 19:10 น.
แม่มดใจร้าย
ใครมักจะบอกว่า ฉันใช้ชีวิตได้ คุ้ม
ในความหมายคำว่าคุ้มของใครหลาย ๆ คน นั่นก็เพราะว่า ฉันได้มีโอกาสเดินทางไปในที่ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการไปท่องเที่ยวหรือไปทำงาน และการเดินทางของฉันก็มีครบทุกรสชาติ ใคร ๆ มักจะถามว่าฉันไม่กลัวหรือที่ต้องเดินทางคนเดียว คำตอบที่ฉันตอบก็คือ กลัวอะไร ไม่ใช่ฉันไม่รู้จักความกลัวแต่เพียงแต่ยังไม่รู้ว่าตัวเองกลัวอะไร กลัวเหงา กลัวหว้าเหว่ กลัวไม่มีคนรัก หรือกลัวคนรอบข้าง ฯลฯ
ฉันรู้แต่เพียงว่าสิ่งที่ฉันได้จากการเดินทาง ทำให้ชีวิตของฉันคุ้มอย่างที่ใคร ๆ หลายคนพูดกัน เพราะการเดินทางไปหาธรรมชาติของฉัน คือส่วนที่ช่วยสร้าง ภูมิคุ้มกัน ให้กับชีวิตเหมือนกับที่ฉันเคยเอ่ยไว้ใน ความรักที่งดงาม ธรรมชาติช่วยเยียวยาหัวใจของฉันให้เป็นสุข ช่วยทำให้ฉันได้มีแรงมีกำลังที่จะต่อสู้กับสิ่งที่จะพบเจอในวันข้างหน้า
ฉันเคยพูดกับคน ๆ หนึ่งว่า เอาสิถ้าอยากทำลายธรรมชาติก็ทำ แต่ถ้าทำแล้วอย่าเรียกร้องหาธรรมชาตินะ
สิ่งที่ฉันพูดมันออกมาจาก หัวใจ ที่มีความรักในธรรมชาติ ฉันจึงไม่ละเว้นโอกาสที่จะเดินทางไปพบ ไปเห็น และไปสัมผัสกับสิ่งที่ใจต้องการ และทำให้นึกถึงคำที่ใครคนหนึ่งเคยเอ่ยว่า ชีวิตไม่ใช่ผักหรือหญ้า จะได้งอกรากอยู่กับที่ คำพูดนี้เป็นสิ่งกระตุ้นความต้องการของหัวใจ จึงทำให้ฉันแสวงหาที่เที่ยวตามที่มีโอกาส และก็ไม่ละทิ้งโอกาสถึงแม้จะเป็นการไปทำงานและได้พบกับธรรมชาติเพียงชั่วเวลาไม่นานนัก แต่นั่นก็ทำให้หัวใจได้รับความอิ่มเอิบ และซึบซับเอาความงดงามของธรรมชาติ ที่นับวันจะลดน้อยลงไปเพราะถูกทำลายจากผู้ที่เรียกตัวว่าเป็นผู้เจริญแล้ว
ผู้เจริญแล้วนี่แหละ ที่มีส่วนทำให้ธรรมชาติกลับมาลงโทษมนุษย์ ในรูปแบบต่าง ๆ ที่พวกเราได้เห็นกันในปัจจุบันนี้ และเรามักจะโทษว่าธรรมชาติโหดร้ายเหลือเกิน แต่เราหารู้ไม่ว่าพวกเรานั่นแหละที่โหดร้ายกับธรรมชาติ พวกเราทำร้ายและทำลายธรรมชาติไปมากมายโดยไม่รู้ตัว
ทุกวันนี้ฉันจึงพยายามไขว่คว้า หาโอกาสที่จะได้เดินทางท่องเที่ยวให้ทั่ว เพื่อซึบซับความงดงามของธรรมชาติให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพราะฉันไม่รู้ว่าธรรมชาติจะหายไปเมื่อไหร่ และธรรมชาติจะลงโทษมนุษย์อย่างพวกเราในรูปแบบไหนบ้าง และสิ่งที่ฉันทำได้ให้กับธรรมชาติก็คือ เก็บแต่เพียงภาพถ่าย และไม่ทำลายธรรมชาติ ซึ่งเป็นส่วนที่สร้างความ คุ้ม และ ภูมิคุ้มกัน ให้กับชีวิตเล็ก ๆ ของฉัน
19 สิงหาคม 2549 20:29 น.
แม่มดใจร้าย
เวลาที่ผ่านไป
เมื่อไหร่จะแต่งงาน เป็นคำถามที่ฉันจะโดนถามอยู่บ่อย ๆ และคำตอบที่ทุกคนจะได้รับก็คือ เนื้อคู่ยังไม่เกิด หรือไม่ก็ยังไม่เจอเลยพี่ และคำถามที่มักจะได้รับกลับมาบ่อย ๆ ก็คือเป็นไปได้อย่างไร หน้าตาก็ออกสวย ไม่ใช่คนขี้ริ้วขี้เหร่สักหน่อย
บางครั้งฉันก็มักจะนำคำถามที่ได้รับกลับมาคิด ว่าจริงของเขานะ หน้าตาเราก็ไม่ได้ขี้เหร่ แต่ทำไมไม่มีใครมาจีบ หรือว่าจีบแล้วแต่ไม่รู้ตัว หรือเป็นด้วยบุคลิกที่ดูเฉยจนใคร ๆ ก็ไม่กล้า จำได้ว่าตอนสมัยเรียนมีชายหนุ่มที่เรียนวิชาพื้นฐานด้วยกันคนหนึ่ง คอยตามจีบอยู่เหมือนกัน แต่ฉันก็มักจะดักคอว่าอย่ามาจีบฉันเลย ฉันไม่เหมาะสมที่จะเป็นแฟนเธอ คำถามที่ได้รับก็คือ ทำไม
ฉันเองก็บอกไม่ได้ว่าทำไม แต่มักจะบอกเธอกลับไปว่า ฉันไม่ดีพอ จนตัวเธอเองตั้งฉายาให้ฉันว่า เจ้าหญิงหิมะ น่าแปลกนะที่ฉันไม่โกรธกับฉายาที่เธอตั้งให้ แต่กับชอบใจในฉายานั้น เพราะคิดว่ามันก็เหมาะกับตัวตนของฉันจริง ๆ เคยมีคนที่ได้คุยกันบอกว่าไม่กล้าเข้ามาทัก เพราะฉันเหมือนคนที่หยิ่ง ด้วยว่าเป็นคนที่นิ่งมากและก็ไม่ค่อยชอบยิ้ม ทุกคนก็เลยกลัวว่าถ้าเข้ามาทักแล้วฉันจะไม่คุยด้วย แต่พอได้คุยแล้วเขาบอกว่าขัดกับบุคลิกที่เป็นอยู่
สิ่งเหล่านี้ละมั้งที่ทำให้ฉันต้องคอยตอบคำถามข้างต้นอยู่เสมอ ตัวฉันเองไม่ใช่ไม่เคยมีความรัก แต่เหมือนสวรรค์จะทดสอบความเข้มแข็งของหัวใจ เลยส่งความรักมาให้แค่ชั่วคราว แล้วก็พาความรักนั้นจากไปเฉกเช่นเดียวกับ กาลเวลาที่ผ่านมาและก็ผ่านไป และนับตั้งแต่ครั้งนั้นหัวใจของฉันก็เฉยชากับความรัก และปล่อยให้หัวใจที่เคยมีใครอยู่เป็นช่องว่างที่ยังไม่มีใครแทนที่ จนเวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่า หัวใจของฉันก็เป็นช่องว่างอยู่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
ฉันเฝ้าแต่บอกตัวเองว่า ไม่เห็นจะแปลกถ้าฉันจะอยู่คนเดียว โดยที่ไม่มีใครเคียงข้างกาย อาจจะเหงา อาจจะว้าเหว่ แต่หัวใจของฉันก็ไม่เคยอ้างว้างรัก ไม่ว่าจะเป็นรักจากคนรอบข้าง หรือจากเพื่อน ๆ ผู้หวังดี และตัวฉันเองก็ยังมีรักที่จะมอบให้กับผู้อื่นที่อยู่รอบข้างตัวฉัน พร้อมทั้งยังมีความรักที่รอจะมอบให้ใครคนหนึ่งที่จะเข้ามาในชีวิต แต่จะเป็นเมื่อไหร่ฉันก็ไม่อาจจะให้คำตอบได้
สิ่งที่จะบอกได้ก็คือ เวลา ที่จะผ่านเข้ามาและนำพา ใคร มาพร้อมกับกาลเวลานั้น และทุกวันนี้ฉันก็รอว่าเวลาที่ผ่านมาและผ่านไปนั้นจะนำพาใครสักคนเข้ามาในชีวิต
ผ่านมาผ่านไป
ผ่านไร้ความหวัง
ผ่านรักจริงจัง
ผ่านฝันเป็นจริง