มิตรภาพอาบอิ่มใจในวันเหงา แม้ความเศร้าเข้าใกล้ไม่ห่างหาย ความเป็นเพื่อนของเรามิเคยคลาย ตราบชีพวายมิตรภาพมิลืมเลือน นานกี่ปีแล้วนะ ที่ความเป็นเพื่อนของเรามิห่างหายไป นั่งนึกถึงวันที่เราได้รู้จักกันเมื่อตอนเรียน เราสองคนเป็นคนทำงานที่อาศัยเวลาว่างช่วงเย็นไปเรียนหนังสือเพิ่มเติม เราเจอกันทุกเย็น แล้วก็กลับพร้อมกันทุกค่ำคืน เพราะว่าเส้นทางกลับบ้านของเราสองคนเป็นเส้นทางเดียวกัน ชีวิตของเราสองคนก็คล้ายกัน อาหารมื้อเย็นที่เราสองคนกินกันที่มหาวิทยาลัย ก็ก๊วยเตี๋ยวคั่วไก่ เจ้าเดิมเหมือนเดิม แทบจะมิเปลี่ยนแปลง ความที่เหมือนกันมากเกินไป เราสองคนก็เลยต้องเดินออกจากมหาวิทยาลัยแห่งนั้นพร้อมกัน ภายในเวลาหนึ่งปี.. ฉันไปเริ่มเรียนที่ใหม่ ในขณะที่เธอบอกว่าขอทำงานอย่างเดียวดีกว่า แต่เราสองคนก็ยังนัดพบปะกันตามประสาเพื่อน ที่ไม่เคยห่างกันเลยตลอดเวลาหนึ่งปีที่เรียนด้วยกัน แต่ด้วยหน้าที่การงานของเราสองคน ร่วมถึงฉันต้องเรียนตอนเย็น ทำให้เราสองคนห่างหายกันไปบ้าง จนเวลาผ่านไป ที่ทำงานของฉันเปลี่ยนแปลงเบอร์โทรศัพท์ ที่ทำงานของเธอก็เปลี่ยนแปลงเบอร์เช่นกัน... ช่วงเวลาที่เราสองคนห่างหายกันไป มิใช่ว่าจะไม่คิดถึงกัน เราต่างคนต่างคิดถึงกันเสมอ ฉันพยายามจนหมดความพยายามและคิดว่า ถ้าเราสองคนยังคงต้องมีความผูกพันต่อกันแล้ว เราสองคนคงได้เจอกันอีก แม้จะเป็นเพียงความหวังอันริบหรี่ในหัวใจ... แล้ววันหนึ่งความผูกพันก็เรียกร้องให้เราสองคนกลับมาพบกัน หลังจากห่างหายกันไปนานเกือบสิบห้าปี.... เรื่องของเรื่องก็คือฉันต้องตรวจเอกสารการเบิกจ่าย ความที่ต้องดูเอกสารแทบจะทุกแผ่น ทำให้ฉันไปพบชื่อของบริษัทเธอ แล้วนั่นก็เป็นต้นเหตุที่ทำให้ฉันและเธอได้กลับมาพบเจอกัน ในวันที่ฟ้าสดใส หลังจากที่เราทั้งสองต่างส่งใจถึงกันผ่านขอบฟ้า และต่างนึกถึงกันตลอดเวลา... มิตรภาพของเธอและฉันมีมากมาย เราไม่จำเป็นต้องบอกซึ่งกันและกัน แต่หัวใจของเราบอกกันและกันว่า มิตรภาพของเธอและฉันจะมิคลายจากกัน ขอบคุณที่ฟ้าส่งเธอมาเป็นเพื่อนของฉัน ขอบคุณที่ฟ้าส่งให้เราได้มารู้จักกัน.... เรื่องจาก www.oknation.net/blog/aihu
บ้าน..คือสถานที่ ที่รวมทุกสิ่งทุกอย่างไว้รวมกัน ไม่ว่าจะเป็นความสุข ความทุกข์ ความอบอุ่น รวมถึงมิตรภาพของคนในครอบครัว.. ในชีวิตจริงฉันมีบ้านสองหลัง หลังหนึ่งไว้สำหรับพักอาศัย เนื่องจากเช้าก็ออก เย็นก็กลับ ฉันแทบจะไม่ค่อยได้อยู่บ้าน เพราะชีวิตแทบจะเดินทางตลอดเวลา บ้านหลังนี้จึงเป็นเหมือนที่นอน บ้านอีกหลังคือบ้านที่รวมของครอบครัว ทุกคนจะอยู่พร้อมหน้ากันที่นี่ทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ ถ้า..ฉันไม่ได้เดินทางไปไหน.. แต่บ้านสองหลังที่ฉันกำลังพูดถึง ไม่ใช่บ้านที่ฉันกล่าวข้างต้น แต่เป็นบ้านที่ใช้สำหรับท่องเที่ยว อย่างเพลิดเพลินบนโลกไซเบอร์... บ้านหลังแรกฉันเข้ามาอยู่ด้วยความบังเอิญ และบัดนี้ฉันอยู่อาศัยมาครบ 1 ปี 21 วัน ตลอดเวลาที่อยู่ในบ้านหลังนั้น ได้พบความรัก ความเอื้ออาทร ความอบอุ่น ฉันท์ญาติพี่น้อง อาจมีบ้างบางครั้งที่เรามีการทะเลาะกัน อาจมีบ้างบางครั้งที่เราต่างงอนกัน น้อยใจซึ่งกันและกัน แต่ทุกครั้งและทุกวันเหตุการณ์เหล่านั้นก็จะผ่านไปด้วยดี.. บ้านหลังนี้เป็นบ้านที่รวมไปด้วยความอ่อนหวาน ความสุข ความทุกข์ ความเข้มแข็ง ความอดทน และเป็นที่รวมอีกหลายสิ่งหลายอย่าง ที่ทุกคนในบ้านหลังนี้ล้วนจะสรรหามาเล่าสู่กันฟัง ตามประสาพี่ น้อง เวลาที่พี่ น้องคนไหนมีความสุข ทุกคนจะมีความสุขตามไปด้วย และเมื่อใดที่ใครคนใดคนหนึ่งมีความทุกข์ เราทุกคนจะช่วยกันปลอบโยนเพื่อให้ความทุกข์นั้น คลายจากคนในครอบครัวไปอย่างรวดเร็ว เพราะมิฉะนั้นพวกเราจะทุกข์ตามไปอย่างมากมาย วันนี้ฉันได้รับข่าวดี จากคนในบ้าน เพราะบ้านหลังนี้ได้รับการยอมรับจากบุคคลภายนอกมากมาย... บ้านหลังที่สองที่ฉันพึ่งเริ่มเข้ามาอยู่นั้นฉันก็เข้ามาด้วยความบังเอิญอีกเช่นกัน ฉันคิดอยู่นานว่าฉันจะเข้าไปอยู่บ้านหลังนี้ดีหรือไม่ ฉันยังไม่รู้ถึงความอบอุ่นของบ้านหลังที่สอง เหมือนบ้านหลังแรก แต่ฉันคิดว่าฉันมีความสุขกับบ้านหลังที่สองเช่นเดียวกับบ้านหลังแรก เพราะอย่างน้อยบ้านทั้งสองหลังก็ให้ฉันได้พักพิงยามอ่อนล้าหรือเหนื่อยจากสภาพรอบข้าง ขอบคุณบ้านทั้งสองหลังที่ให้ที่พักพิง.. www.thaipoem.com www.oknation.net
เส้นทางที่ไม่มีที่สิ้นสุด ภาพนี้ถูกถ่ายเมื่อมีโอกาสเดินทางไป ดินแดนสุดขอบฟ้า หรือที่เรารู้จักกันในนามว่า แชงกรีลาฉันถ่ายภาพตามทางไปเรื่อย ๆ เมื่อเอาภาพนี้มาลงเพื่อเก็บไว้นั้นชอบมาก ถนนสายนี้ถูกใช้ในการเดินทางทั้งไปและกลับ ภาพที่ถูกถ่ายออกมาเหมือนถนนเส้นนี้ไม่มีที่สิ้นสุด เหมือนถนนสายนี้ทอดยาวเป็นเส้นตรงไปสุดสายตา แต่ในความเป็นจริง ถนนสายนี้คดเคี้ยวไปมา มิได้เป็นเส้นตรงอย่างที่เห็น.. จะบอกว่าภาพนี้หลอกสายตาก็คงจะใช่อยู่ เหมือนกับชีวิตคนเรา สิ่งที่เห็นมักไม่ใช่ สิ่งที่ใช่มักจะไม่เห็น เหมือนกับคำกล่าวของ หลวงปู่ดุลย์ ที่ท่านกล่าวว่า "สิ่งที่เห็นน่ะเห็นจริง แต่สิ่งที่ถูกเห็นน่ะไม่จริง" อ่านแล้วก็ให้คิดว่าเป็นจริงอย่างที่ท่านกล่าว สิ่งรอบกายที่เราเห็นกันอยู่ทุกวัน และหลงเชื่อว่ามันจริง มันใช่ แต่เมื่อมองให้ดี ๆ แล้ว จะเห็นว่าสิ่งนั้นหลอกตา หลอกความคิด พวกเราอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สิน เงินทอง ความรัก ลาภ ยศ สรรเสริญ ที่เราหลงติดอยู่ในวังวนของมัน หลงว่ามันคือของเรา มันเป็นของเรา แล้วสุดท้ายเมื่อความจริงมาถึง เราเองที่เป็นผู้ที่ยอมรับไม่ได้ในสิ่งที่เป็นความจริง ทุกวันนี้ข่าวการฆ่าตัวตายจากความผิดหวัง ฆ่าคนที่เรารักเพราะผิดหวัง เกิดขึ้นมากมายเพราะเรายึดติดในสิ่งนั้น แต่ถ้าเมื่อใดที่เรารู้เท่าทันมันแล้ว และไม่เกิดการยึดติดนั้น ชีวิตของเราจะมีความสุขจากการเดินทาง เพราะไม่ว่าทางเดินนั้นจะยาวไกลสักเท่าใด จะคดเคี้ยวหรือต้องเจอขวากหนามสักเท่าใด เราก็สามารถที่ฝ่าฟันมันไปได้ทุกเส้นทาง พร้อมรอยยิ้มกับความคิดในใจว่า ฉันรู้ ฉันเห็น และฉันรู้ว่า สิ่งที่ฉันรู้ และเห็นนั้น ไม่จีรังยั่งยืนแม้แต่ชีวิตฉันเองที่ไม่ยั่งยืน เส้นทางของถนนสายนี้จะไปสิ้นสุด ณ ที่ใด อยู่ที่ว่าเราตั้งไว้ว่าเราจะไปหยุด ณ ที่ตรงไหน ถนนสายนี้อาจจะยาวไกลออกไปมากนัก แต่การเดินทางของเราทุกชีวิต ทุกผู้ ทุกนาม ย่อมมีสิ้นสุด เมื่อวันนั้นมาถึง...
จะมีใครบางคนเคยสงสัยหรือไม่ว่า สถานที่บางสถานที่ ที่เราได้ก้าวล่วงเข้าไปนั้นมีความเกี่ยวพันกับเราหรือไม่ สำหรับตัวฉันเองบางสถานที่ก็ใคร่รู้ และบางสถานที่ก็มิใคร่รู้ เฉกเช่นเดี่ยวกับการที่ชีวิตของเราที่ต้องไปข้องเกี่ยวผูกพันกับใครบางคน หรือเกลียดชังใครบางคนทั้งที่ไม่เคยได้ข้องเกี่ยวกัน ตั้งแต่จำความได้สถานที่บางสถานที่ ที่ได้ก้าวล่วงเข้าไปนั้น ช่างมีความรู้สึกคุ้นเคยเหมือนกับได้เคยเหยียบย่างมาก่อน ทั้งที่พึ่งไปเป็นครั้งแรก จนบางครั้งต้องพยายามนั่งนึกว่าเราเคยมาหรือไม่ และต่อเมื่อนึกได้นั่นก็คือเราเคยมา แต่เป็นการมาในรูปแบบของความฝัน (ที่บางคนอาจจะเรียกว่านิมิต) ฉันไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ แต่ทุกครั้งมักเป็นเช่นนั้น สถานที่บางสถานที่ ไปแล้วไปอีกจนมีใครถามว่าไปทำไมกันนักหนา ซึ่งก็ตอบไม่ได้ว่าไปทำไม ครั้งหนึ่งจำได้ว่าได้ดูภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง ถ้าจำชื่อไม่ผิดคือ รักน่ารัก ของ คุณศุภักษร (คุณศุภวัฒน์ จงศิริ) ซึ่งได้ไปถ่ายทำที่เชียงใหม่ หลังจากดูภาพยนตร์เรื่องนี้แล้ว ในความรู้สึกก็คืออยากไปเชียงใหม่มาก ๆ จนตั้งใจว่าชีวิตนี้ต้องไปเชียงใหม่ให้ได้สักครั้งหนึ่ง แต่ปรากฏว่าเมื่อได้ไปเชียงใหม่เพียงครั้งแรก และได้ขึ้นไปบน พระธาตุดอยสุเทพ แล้ว ได้ตั้งจิตว่า จะขอกลับมาเชียงใหม่อีกครั้ง กาลกลับปรากฏว่านับตั้งแต่ครั้งนั้นฉันได้ขึ้นเชียงใหม่ทุกปี และบางปีมากกว่าสองหน นอกจากเชียงใหม่แล้วเชียงรายก็เป็นสถานที่ ที่ได้ก้าวล่วงไปบ่อยมาก ยิ่งระยะทางระหว่างแม่สายกับพม่านั้นไปทุกครั้งที่ได้ไปเชียงราย จนระยะหลังนี้เวลาที่ได้ไปแม่สายทีไร ใครที่คิดจะข้ามไปพม่าก็ข้ามไปเถอะ สำหรับฉันขอเดินเล่นอยู่ฝั่งแม่สาย เนื่องจากว่าไม่อยากจะต้องไประมัดระวัง และไม่คิดจะอยากได้อะไรจากฝั่งนั้นเลย แต่มาปีนี้มีความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น นับจากที่ได้มีการสร้างภาพยนตร์ ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช นั้น ใหม่ ๆ ก็รู้สึกเฉย ๆ คือดูก็ได้ไม่ดูก็ได้ และกาลต่อมาก็กลับกลายเป็นว่าไม่ดูไม่ได้แล้ว และเมื่อได้ดูภาคแรก ตัวประกันหงสา ก็ต้องมีภาคสองตามมา นั่นคือ ประกาศอิสรภาพ หลังจากนั้นชีวิตก็เหมือนเข้าไปผูกพันกับพม่ามากขึ้น เพราะว่าในชีวิตนี้ไม่เคยคิดที่จะไปเที่ยวพม่าเลย แต่ก็ได้ไปจากที่เคยเล่าไว้ใน เยี่ยมเยือนเมืองพม่า ทั้ง5 ตอน แม่น้ำสะโตง ที่อยากเห็นว่ามันกว้างใหญ่แค่ไหนก็ได้ไปเห็น จนได้รู้ว่า ถ้าไม่ใช่เพราะ บารมีขององค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราชแล้วไซร้ จะมีผู้ใดที่ยิงปืนข้ามแม่น้ำนั้นจนดับชีวิตคนได้ และการไปพม่าในครั้งนั้นทำให้ได้พบได้เห็น ได้เรียนรู้เรื่องราวที่ผ่านเข้ามากระทบโสตประสาท และเกิดความรู้สึกว่าฉันเคยมีอะไรผูกพันกับพม่าหรือไม่ ได้เคยกล่าวไว้ตอนหนึ่งซึ่งเป็นตอนที่ได้เดินทางขึ้นไป พระธาตุอินทร์แขวน และมีผู้กล่าวว่าในอดีตเขาเคยทำกับเราไว้ ชาตินี้เขาถึงต้องมารับใช้เรา ซึ่งตอนนั้นฉันก็นึกอยู่ในใจว่าถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ก็ขออโหสิกรรมแก่กันและกัน การที่ช่วงชีวิตของคน ๆ หนึ่ง ได้ก้าวล่วงเข้าไปในบางสถานที่ หรือได้ไปเกี่ยวพันกับคนอีกผู้หนึ่ง อาจบอกได้ว่าเขาเคยมีความเกี่ยวพันกันมาในครั้งอดีต และนั่นเป็นข้อสมมติฐานของฉันเอง และในครั้งนี้ที่ได้มีการนัดหมายใครบางคนไปเที่ยวกัน ณ กาญจนบุรี สถานที่ที่ได้ไปนั้นก็ยิ่งอดคิดไม่ได้ว่า เพราะอะไรและเหตุใดที่ต้องมาสถานที่ ที่ใช้ในการถ่ายทำตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงแค่สถานที่ที่ใช้ในการถ่ายทำ แต่ความขรึมและความขลังก็มิได้ลดหน่อยลงไปเลย จนมีใครบางคนกล่าวว่าฉันเดินอ้อยอิ่งและคิดในใจว่าถ้าได้นุ่งซิ่นห่มผ้าสไบคงจะดีไม่น้อย รวมถึงกล่าวว่ามีทหารศึกมองตามไม่เว้นวาง (แต่ไม่ยอมสะกิดบอกกันสักนิด) เป็นอันว่ามติลับที่ตกลงกันไว้ก็ถูกเปิดเผยโดยฉันเอง (อย่างนี้เขาเรียกว่าความลับไม่มีในโลกหรือเปล่านะ) ตามที่แมงโม้ได้เล่าไว้ในเรื่อง วันวาร ณ กาญจนบุรี การไปเที่ยวคราวนี้อดทำให้คิดไม่ได้ว่าฉันเคยมีอะไรเกี่ยวพันกับอดีตหรือไม่ ในอดีตฉันอาจเป็นทหารศึกสักคนหนึ่งที่ช่วยกอบกู้เอกราช หรือเป็นเชลยศึกสักคนหนึ่งที่ถูกต้อนไปอยู่พม่า ใครจะรู้ได้ อย่างที่เคยบอกแล้วว่า อดีตก็คืออดีตฯ เราอาจจะสงสัยใคร่รู้ แต่ก็มิอาจจะรู้ได้ เพราะถ้าขืนมีใครล่วงรู้อดีต คงทำให้วุ่นวายดีพิลึก เพราะวัน ๆ คงไม่ต้องทำอะไร เนื่องจากจะคอยมองเห็นแต่อดีตที่ผ่านมาแล้วทำให้กระวนกระวายใจ แต่ถ้าการรู้อดีตแล้วช่วยทำให้เราสามารถที่จะแก้ไขพฤติกรรมที่ไม่ดีในอดีตได้คงจะดีไม่น้อย แต่การไปเยี่ยมเยี่ยนอดีต ณ สถานที่ปัจจุบันในครั้งนี้ ทำให้ฉันได้พบได้เห็น และได้รู้จัก ได้มิตรภาพ ที่บางใครบอกว่า มิตรภาพตราบสิ้นฟ้า ฉันไม่รู้ว่ามิตรภาพจะตราบสิ้นฟ้าหรือไม่ เพราะมิตรภาพบางมิตรภาพที่เราคิดว่าจะอยู่ตราบสิ้นฟ้ายังสูญหายไปตามกาลเวลา สิ่งหนึ่งที่ฉันรู้สึกและคิดได้คือการที่เราได้ร่วมเดินทางไปด้วยกันอาจจะเคยได้รู้จัก ได้พบเห็น และได้เป็นมิตรหรือศัตรูกันในอดีต จนปัจจุบันพาเราทั้งหมดให้ได้มาพบมาเจอกันอีกในอีกมิติ และอีกห้วงเวลาหนึ่ง ขอบคุณสำหรับมิตรภาพที่มีให้
มิงกะลาบากันอีกครั้งค่ะ สำหรับวันนี้คงเป็นวันสุดท้ายสำหรับพวกเราที่จะอยู่ในพม่าและสถานที่ที่พวกเราจะพาไปชมก็คือเจดีย์เยเลพญา หรือ เจดีย์กลางน้ำ ซึ่งระหว่างทางเราจะต้องผ่านแม่น้ำหงสาวดี ที่มีความกว้างกว่าแม่น้ำเจ้าพระยาของเราประมาณเกือบสามเท่า ซึ่งนับว่ากว้างใหญ่มาก ๆ เสียดายที่ไม่สามารถถ่ายรูปมาให้ชมได้ และที่น่าเสียดายอีกที่หนึ่งก็คือ เราได้ชมภาพยนต์เรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาคสองตอนที่พระองค์ท่านยิงปืนใหญ่ข้ามแม่น้ำสะโตง มาครั้งนี้พวกเราก็ได้ชมแม่น้ำสายนี้ค่ะ แต่เขาห้ามถ่ายรูปเนื่องจากว่าสถานที่แห่งนี้ยังเป็นจุดยุทธศาสตร์ของประเทศพม่าอยู่ แต่ไม่เป็นไรค่ะเดี๋ยวเราไปชมเจดีย์กลางน้ำสวย ๆ กันดีกว่า เจดีย์เยเลพญา อยู่บนเกาะกลางน้ำอายุนับพันปี เป็นที่สักการะของชาวสิเรียม ที่บริเวณท่าเทียบเรือบนเกาะ สามารถซื้ออาหารเลี้ยงปลาดุกตัวขนาดใหญ่ ที่ว่ายวนเวียนให้เห็นครีบหลังที่โผล่เหนือผิวน้ำได้ เจดีย์เยเลพญา ถ้าจะมองให้เห็นภาพลองนึกถึงเกาะเกร็ดบ้านเราค่ะ แต่ของเขาไม่มีของขายนะคะ ถ้าจะมีก็คงจะเป็นดอกไม้ธูปเทียนสำหรับบูชาเท่านั้น บนเจดีย์กลางน้ำนี้ต้องบอกว่าผู้คนเยอะค่ะ ทั้งชาวพม่า และนักท่องเที่ยว บางคนก็มาถือศีลนั่งสมาธิกันที่นี่ สถานที่ก็นับว่ากว้างขวางพอสมควรค่ะ ระยะเวลาในการข้ามฟากไม่เกินห้านาทีค่ะชมความงามของเจดีย์กลางน้ำเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พวกเราก็ข้ามฟากกลับมาจุดเดิมค่ะเพื่อเดินทางกลับย่างกุ้ง เพื่อไปพระพุทธไสยาสน์เชาตาจี กันต่อ พระพุทธไสยาสน์เชาตาจี พระพุทธรูปองค์นี้มีลักษณะพิเศษคือ ที่บริเวณพระบาทมีภาพวาดรูปสรรพสิ่ง อันล้วนเป็นมิ่งมงคลสูงสุด เพราะประกอบด้วย ลายลักษณธรรมจักรข้างละองค์ ในบริเวณใจกลางฝ่าพระบาท และล้อมด้วยรูปอัฎฐุตรสตกตมงคล 108 ประการ พระพุทธไสยาสน์เชาตาจี หรือพระนอนองค์นี้มีขนาดความยาวกว่าพระพุทธไสยาสน์ชเวตาเลียวค่ะ แต่ที่ผู้เขียนชอบมากก็คือเนตรของพระพุทธรูปองค์นี้ค่ะ มองครั้งใดเหมือนท่านยิ้มให้กับเรา และเป็นยิ้มแบบมีความสุขค่ะ (ลองมองเนตรท่านดูนะคะ) สำหรับสถานที่สุดท้ายที่จะพาไปชมนั้นก็คือ วัดพระเขี้ยวแก้ว ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระเขี้ยวแก้ว เมื่อครั้งอัญเชิญมาจากประเทศจีน และเป็นองค์เดียวกับที่อัญเชิญมาที่พุทธมณฑล และชมเจดีย์กาบาเอ ที่เป็นสถานที่สังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 6 ในช่วงต้นทศวรรษ 1950 ชมพระมหามุนีจำลอง (องค์จริงอยู่ที่มัณฑะเลย์ 1 ใน 5 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของพม่า) สรุปส่งท้าย สี่วันสามคืนในประเทศพม่า มีคนถามว่าเป็นเพราะดูตำนานสมเด็จพระนเรศวรหรือไม่ จึงทำให้อยากไปพม่า ผู้เขียนขอบอกว่าอาจจะมีส่วนบ้างนิดหน่อย แต่จุดใหญ่ใจความก็คือ เมื่อมีผู้มาบอกว่าโครงการศูนย์ศึกษาเอเซียอาคเนย์จะจัดไปพม่า ผู้เขียนก็ได้สอบถามว่าไปที่ใดบ้าง พอรู้สถานที่ว่าไปพระมหาเจดีย์ชเวดากอง และพระธาตุอินทร์แขวน ผู้เขียนก็ไม่ปฏิเสธที่จะร่วมเดินทางด้วย เนื่องจากสาเหตุหลายประการในช่วงเวลานั้นของผู้เขียน และส่วนหนึ่งมีผู้บอกว่าถ้าเราไม่มีบุญเราก็คงไม่มีโอกาสที่จะได้ไปไหว้พระธาตุ และไม่ว่าจะด้วยสาเหตุประการใดก็ตาม ผู้เขียนก็ได้มีโอกาสไปยืนอยู่บนฝั่งหนึ่งของประเทศที่อดีตเคยมีกรณีพิพาทกับประเทศของเราในด้านสงคราม ได้เคยกล่าวไว้ในตอนต้นว่า อดีตก็คืออดีต เราเรียนรู้อดีตจากปัจจุบัน เรื่องราวที่เราได้รับรู้และเรื่องราวที่เขาได้รับรู้ต่างข้อมูล ต่างกรรม ต่างวาระกัน เรากลับไปแก้ไขอะไรในอดีตไม่ได้ แต่เราสามารถทำปัจจุบันให้ดีได้ พม่า ณ วันนี้กับอดีตที่ผ่านมาคงจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ซึ่งผู้เขียนไม่อาจทราบได้เพราะไม่สามารถย้อนอดีตได้ ได้แต่รับรู้ข้อมูลผ่านตัวหนังสือที่มีผู้บอกกล่าวกันมาอีกทอดหนึ่งว่า นานมาแล้วที่เมืองย่างกุ้ง ติดอยู่ในมิติของกาลเวลาที่บิดเบือนเลือนลาง เมืองโบราณแห่งนี้เคยอบอวลไปด้วยไอร้อน ฝุ่นผงธุลีดิน และสรรพสำเนียงเสียงเซ็งแซ่ ไม่มีอาคารสูงระฟ้า มีแต่ตึกรามเก่า ๆ ที่ชาวอังกฤษเคยสร้างไว้ บนท้องถนนก็มีแต่รถประจำทางที่แน่นขนัด แท๊กซี่รุ่นคุณปู่ และสามล้อที่เก่าจวนจะพังมิพังแหล่ แต่ช่วงไม่กี่ปีสุดท้ายของศตวรรษที่ 20 ย่างกุ้งได้พลิกเปลี่ยนโฉมหน้าไป เมื่อนักลงทุนจากต่างประเทศเพื่อนบ้านทยอยกันเข้ามาไม่ขาดสาย รถรุ่นคุณปู่ต้องหลีกทางให้รถญี่ปุ่นรุ่นใหม่สีมันวับ แท๊กซี่รุ่นเก่าที่เคยวิ่งโคลงเคลงอยู่ตามท้องถนนถูกแทนที่ด้วยแท๊กซี่รุ่นใหม่ ส่วนใหญ่เป็นรถยี่ห้อ มาสด้ากับซูบารุ ตึกรามอันเก่าแก่ทรุดโทรมถูกทุบทิ้งเพื่อสร้างโรงแรมกับอาคารสำนักงานที่สูงระฟ้าขึ้นมาแทนที่ แต่นั่นไม่ได้ทำให้เสน่ห์ของย่างกุ้งลดน้อยลงในสายตาของนักท่องเที่ยว พาหนะที่ทันสมัยช่วยให้เดินทางได้สะดวกสบายขึ้น และถึงแม้ว่าจะมีตึกสูงขึ้นแซมอยู่กับหมู่โบราณสถาน แต่วิถีชีวิตของผู้คนกลับเปลี่ยนแปลงไปน้อยกว่า และจากการที่ผู้เขียนได้ไปพบเห็นกับสายตาของตัวเองพบว่า วิถีชีวิตของเขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก เขายังดำรงวัฒนธรรมภายในประเทศของเขาอย่างดีที่สุด ผู้หญิงยังคงนุ่งผ้าซิ่น และผู้ชายยังคงนุ่งโสร่ง อย่างไม่เปลี่ยนแปลง ให้ความสำคัญกับศาสนา กล่าวคือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทุกที่ ห้ามนุ่งสั้น และห้ามสวมรองเท้าเข้าไปภายใน และวิถีชีวิตที่ผู้เขียนได้พบอีกอย่างหนึ่งซึ่งไม่แตกต่างจากบ้านเรา หรืออาจจะหนักกว่านั่นก็คือสภาพรถโดยสารประจำทางที่แออัดยัดเยียดกันยิ่งกว่าปลากระป๋อง มีเรื่องบางเรื่องที่ได้พบเห็นบางเรื่องคิดว่าเป็นการไม่เหมาะสมถ้าจะกล่าวในที่นี้ และบางเรื่องก็ไม่ได้แตกต่างจากบ้านเราเท่าใดนัก มีบางสถานที่ที่ผู้เขียนมิได้กล่าวถึง จากภาพแรกจนถึงภาพสุดท้ายอาจมีบางสถานที่ที่ไม่ได้กล่าวถึง สำหรับภาพสุดท้ายนี้ ผู้เขียนอยากจะบอกว่า ท้องฟ้าที่ไหนก็สวยได้ ถ้าใจเราสวยตามค่ะ เจซูติน บาแด (ขอบคุณมาก) สำหรับการติดตามเยี่ยมเยือนเมืองพม่า ทั้ง 5 ตอน มีข้อผิดพลาดประการใดขอน้อมรับไว้ ณ ที่นี้