25 สิงหาคม 2551 22:57 น.
แม่มดใจร้าย
ฉันจมจ่อมอยู่ในมุมเล็กที่ไม่มีแสงสว่างใด..
ความมืดปกคลุมทั่วกาย..
นั่งถามตัวเองไปด้วยว่า.."ฉันกลัวความมืดหรือไม่"
คำตอบที่โต้ออกมาจากใจ.."ฉันไม่ได้กลัวความมืด"
แต่..ฉันกลัวสิ่งที่อยู่ในความมืดมากกว่า
นับแต่เล็กจนโต..ฉันมีความมืดเป็นเพื่อน
สิ่งที่ฉันชอบเมื่อความมืดมาเยือนนั่นก็คือ
การได้นั่งดูดวงจันทร์ในยามค่ำคืน
ยิ่งมืดดวงจันทร์ยิ่งโดดเด่น
ยามค่ำคืนที่ผู้คนหลับใหล..
ฉันกลับตื่นขึ้นมาเห็นพระจันทร์ดวงกลมโตอยู่ตรงหน้า
ฉันมักจะอ้อนวอนขออะไรจากดวงจันทร์..
ซึ่งฉันก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่ฉันขอจะสมดังหวังหรือไม่..
วันวานที่ผ่านมาระหว่างการเดินทางไกล..
วันที่ดวงจันทร์กำลังถูกโลกเข้าบดบัง
หรือตามที่โบราณกาลกล่าวไว้ว่า..
ดวงจันทร์กำลังถูกรุกรานจากราหู
ก่อนดวงจันทร์กำลังถูกราหูกลืนกินนั้น
ค่ำคืนนั้นฉันได้ชมดวงจันทร์ท่ามกลางเมฆหมอก..
พลางนึกถามตัวเองว่า.."นานเท่าไรแล้วหนอ
ที่มิได้เห็นดวงจันทร์งามเด่นในการเดินทาง
รวมถึงแอบอ้อนวอนขออะไรจากดวงจันทร์เหมือนเคยมา"
วันใหม่กำลังคืบคลานเข้ามา..
แต่วันนั้นฉันหันมองดวงจันทร์ด้วยความแปลกใจ
เมื่อคืนดวงจันทร์ยังกลมโต..
แต่ทำไมตอนนี้ดวงจันทร์เหลือเพียงเศษเสี้ยว..
ฉันมองพร้อมอุทานด้วยความตกใจว่า..
"ราหูอมจันทร์หรือนี่"
อดคิดไม่ได้ว่า..ทำอย่างไรถึงจะช่วยดวงจันทร์ได้
อดคิดไม่ได้ถึงคำทำนายที่มีคนส่งให้อ่าน..
ฉันได้แต่นั่งนึกว่า..ขอให้ราหูคลายจันทร์ด้วยเถิด
ขออย่าให้เกิดเรื่องร้ายใดใด..
ทำอย่างไรทุกสิ่งทุกอย่างจะอยู่ในความสงบร่มเย็น..
ฉันไม่เคยกลัวความมืด..
แต่..ฉันกลัวสิ่งที่อยู่ในความมืด
เช่นเดียวกับ..
ฉันกลัว.."มุมมืดของหัวใจ"
24 มิถุนายน 2551 09:40 น.
แม่มดใจร้าย
เมื่อวาน ได้อ่านกลอน
ก็มันไม่เคยนิ ไดอารี่เล่มสุดท้าย ของลูกผู้ชาย ผู้ยอมตายเพื่อแผ่นดิน
วิจิตรวาทะลักษณ์
ส่วนวันนี้ได้รับเมล์จากเพื่อน จึงอยากให้หลาย ๆ คนได้อ่านเช่นกัน
เรียบเรียงโดยกระปุกดอทคอม
ภาพประกอบจาก สำนักข่าวไอ.เอ็น.เอ็น.
ถ้าหากไม่มีเหตุการณ์ม็อบกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยบุกทำเนียบรัฐบาลเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน ที่ผ่านมา เชื่อว่าจะมีอีกข่าวหนึ่งที่น่าสนใจ กินใจ และน่าคิด สำหรับใครต่อใครในบ้านเมือง
นั่นคือ...ข่าวเหตุการณ์เจ้าหน้าที่ตำรวจตะเวนชายแดนชุดพลร่มพิเศษ 01 ของฐานปฏิบัติการตำรวจตะเวนชายแดน (ตชด.) มว.รพศ.1 บ้านสันติ 1 ถูกกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบลอบซุ่มโจมตีบนถนนสายเขื่อนบาง-ลางสันติ 1 หมู่ที่ 2 ตำบลเขื่อนบางลาง อำเภอบันนังสตา ขณะออกลาดตระเวนพื้นที่และปะทะกันเป็นเวลากว่า 10 นาที เป็นเหตุให้ "หมวดตี้" หรือ "ร.ต.ต.กิตติคุณ บุญลือ" รองผู้บัญชาการร้อยตำรวจชายแดน หน่วยเฉพาะกิจ หน่วยรบพิเศษที่ 1 นายตำรวจหนุ่มอนาคตไกลคนหนึ่ง วัย 24 ปี ซึ่งเป็น "หัวหน้าชุด" เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ และมีเจ้าหน้าที่บาดเจ็บอีก 4 นาย ซึ่งตั้งแต่ช่วงสายจรดค่ำคืน ศพของเขาก็ยังไม่สามารถนำออกมาจากบริเวณที่เกิดเหตุการปะทะกันได้
ที่ว่าน่าสนใจจนต้องมาเขียนถึง "หมวดตี้" ไม่ใช่แค่เขาเป็น "วีรชน-ผู้กล้า-เสียสละ" เพื่อชาติเพื่อแผ่นดิน แต่ก่อนเสียชีวิต "หมวดตี้" ได้เขียนบันทึกชุดสุดท้ายให้ผู้คนได้อ่าน ก่อนหน้าที่เขาจะออกไปลาดตะเวนจนเสียชีวิตไม่ถึงชั่วโมง ซึ่งทำให้หลายคนเกิดอาการน้ำตาซึมเมื่อได้อ่านมัน ทั้งในขณะที่ยังไม่ทราบและทราบภายหลังว่า เขาได้เสียชีวิตลงไปแล้ว
โดยไดอารี่ฉบับสุดท้ายที่หมวดตี้เขียนไว้คือวันที่ 20 มิถุนายน 2551 ซึ่งวันนั้นเป็นวันครบรอบวันเกิดปีที่ 24 ของเขา ใช้ชื่อเรื่องว่า "ครั้งแรก" ซึ่งขึ้นต้นว่า "ก็มันไม่เคยนิ" และ "วันนี้อยู่ดูโลกให้โสภิณ พรุ่งนี้ชีวินสิ้น ไม่รู้...วันตาย..." ราวกับจะเป็นลางบอกลากลายๆ ซึ่งในไดอารี่เขาได้มอบบทเพลง "อิ่มอุ่น" ของ "ศุ บุญเลี้ยง" ให้กับ "แม่" ของเขาที่อยู่จังหวัดลพบุรี พร้อมๆ กับคำขอบคุณแม่ (ซึ่งเกิดในวันเดียวกันกับเขา) ที่ทำให้เขาเกิดขึ้นมาลืมตาดูโลก ด้วยข้อความสื่อสารถึงแม่ที่ว่า
"แม่จ๋า... วันเกิดลูกไม่ได้ไปฉลองที่ไหนจริงๆ นะแม่ แถวนี้ไม่มีที่ให้ฉลองอะ แค่ลูกรอดกลับมาได้ก็พอใจแระ ...เดี๋ยวรอกลับไปฉลองกับเด็จแม่ที่บ้านเรา เนอะๆ...ไม่ได้กลับไปหาเด็จแม่นานแล้วด้วย คิดถึ้งงง คิดถึงว่าจะไปหาเด็จแม่.... ไปขอตังค์ 55+"
"วันเกิดเด็จแม่ เด็จลูกก็ขอให้เด็จแม่แข็งแรงเน้อ...อยู่กะลูกไปนานๆ ให้ถึงวันลูกติดนายพลเลยนะแม่นะ...และก็..ขอให้เด็จแม่มีลูกสะใภ้คนโตสวยๆน่ารักๆ นิสัยดีๆ...(อันนี้ออกแนวหวังผลกะตัวเอง 55+)"
พร้อมกันนั้น "หมวดตี้" ยังแจกเบอร์โทรศัพท์มือถือ เพื่อให้ใครต่อใครส่งSMSไปอวยพรวันเกิด ซึ่งในขณะที่บันทึกเขาจะบอกว่า "งานเข้าแต่เช้า" เพราะมีเหตุต้องคุมชุดลาดตระเวนดูแลความปลอดภัยให้กับประชาชนในพื้นที่ และในขณะที่เพื่อนๆ ของเขาหลายคนส่ง SMS หรือโพสต์ข้อความลงในไดอารี่ของเขา เพื่ออวยพรวันเกิดให้เขาปลอดภัย มันจะเป็นเวลาเดียวกับที่เขากำลังยิงประทับกับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบอย่างดุเดือด และเมื่อเวลา 11.23 น. เขาก็ถูกยิงจนเสียชีวิต
นี่เป็นเรื่องราวของผู้หมวดตะเวนชายแดนตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ที่มีความรักหวงแหนในผืนแผ่นดินชาติมาตุภูมิ รักประชาชน..รักแม่ เหมือนกับคนอื่นๆขอมอบดอกไม้คารวะต่อดวงวิญญานของ "หมวดตี้" ผู้มีความ "รักชาติ" อย่างแท้จริง..!!
ทั้งนี้ ทีมงานกระปุกดอทคอมขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง และขอร่วมไว้อาลัยแด่การจากไปของ "หมวดตี้" หรือ "ร.ต.ต.กิตติคุณ บุญลือ" มา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้ที่จากไปด้วยค่ะ
หลับให้สบายในสัมปรายภพ
สุขสงบจบสิ้นสิ่งกังขา
หัวใจสู้ยิ่งใหญ่ในโลกา
ทั้งโลกหล้ารับรู้ทั่วแผ่นดิน
หลับเถอะหนาหลับให้สบายเถิด
วิญญาณเทอดแผ่นดินมิหมดสิ้น
เธอคือหนึ่งผู้กล้าในดวงจินต์
ทั้งแผ่นดินอาลัยให้แด่เธอ
8 มิถุนายน 2551 19:24 น.
แม่มดใจร้าย
หยาบ มีหลายความหมาย และอยู่ที่การกระทำของคน
หยาบ อาจเป็นการกระทำที่ไม่เรียบร้อย พูดจาหยาบคายหรืออีกหลายอย่าง
ความหยาบมีอยู่ในผู้คนทุกผู้ทุกนาม อยู่ที่ว่าใครผู้ใดจะหยิบมันขึ้นมาใช้หรือไม่
หรือจะบีบอัดความหยาบนั้นให้เป็นแผ่นบาง แทบจะมองไม่เห็นในอนูของ
ร่างกาย..
วันดี แต่คืนไม่ดี เกิดอาการไม่พอใจก็อาจเผลอหยิบมันขึ้นมาใช้..
วันดี แต่คืนไม่ดี เกิดอาการไม่พอใจอาจเผลอวาจาหลุดปากด่า..
วันดี แต่คืนไม่ดี ไปอ่านอะไรพบเจอเข้า เอ้าเขาด่าเราหรือเปล่าหว่า
เอ้า! ด่ากลับมั่ง..
บุคคลผู้ได้รับการอบรมสั่งสอนมาดีแล้ว การต่อว่าคน มักจะออกมาในรูปของ
การเหน็บแนม หยิกแกมหยอก..
บุคคลผู้ได้รับการอบรมสั่งสอนมาน้อย การต่อว่าคน มักออกมาในรูปของ
การด่ากระทบกระเทียบ เปรียบเปรย..
บุคคลผู้มิได้รับการอบรมสั่งสอน หรือได้รับการอบรมสั่งสอน..
แต่หัวใจมิได้นำพา..การต่อว่าคน มักออกมาในรูปของการด่าแบบหยาบคาย
มองเห็นถึงความหยาบในหัวใจ..
ถ้าคุณไม่ผิด ไยคุณต้องด่า
ถ้าคุณไม่ทำ ไยคุณต้องด่า
ฉันเห็นความหยาบในคำพูด
แต่ฉันมิรู้ตัวตนของความหยาบ..
คุณกล้าด่าฉันไยคุณไม่เปิดเผยตัวตน
คุณกล้าทำไยคุณไม่กล้ารับ
เพาะบ่งความหยาบไว้ให้มากนะคะ
สำหรับฉัน ฉันพยายามบีบอัดมันให้เป็นแผ่นบาง ๆ และเก็บไว้ในส่วนหนึ่ง
ของอนูร่างกาย..
เพราะฉันคงเอาความหยาบออกจากร่างกายไม่ได้..
แต่..แต่ฉันจะพยายามไม่นำมันออกมาใช้เช่นคุณ..
26 พฤษภาคม 2551 18:25 น.
แม่มดใจร้าย
เกือบห้าปีแล้วสินะที่พ่อของเธอจากไป เนื่องจากอุบัติเหตุ อุบัติเหตุที่นำมาซึ่งความสูญเสียของครอบครัว..
ลูกสูญเสียพ่อไปเมื่ออายุได้ไม่ถึงสองขวบ..
แม่ของลูกสูญเสียสามีไปด้วยวัยอันไม่สมควร..
และแม่สูญเสียลูกชายไปในเวลาที่ไม่สมควรเช่นเดียวกัน..
พี่และน้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก อย่างตั้งตัวไม่ทัน..
ความรู้สึกที่ว่าหัวใจหล่นวูบนั้น เป็นเช่นไร ก็รู้ซึ้งในคราวนี้..
น้ำตาท่วมอกเป็นเช่นไร ใครเล่าจะรู้ซึ้ง ถ้ามิได้พบพานด้วยตัวเอง..
ทุกปีที่ผ่านมา ความรู้สึกสูญเสีย ยังคงตราตรึงอยู่ในหัวใจ ...และทุกปี ความรู้สึกสูญเสียถูกตอกย้ำด้วยการทวงหนี้จากหน่วยราชการ
คำถามครั้งแรกที่เคยถามว่า คุณดูแลคนเจ็บดีหรือไม่..
คำตอบที่ได้รับคือ "เราดูแลคนเจ็บอย่างดีที่สุด"
แต่..สิ่งที่ได้รับรู้ จากบุคคลรอบข้าง บุคคลที่อยู่ในเหตุการณ์ ช่างตรงกันข้ามกับสิ่งที่ได้ฟัง
"คนเจ็บมาโรงพยาบาลได้อย่างไร มีใครแจ้ง"
"รถพยาบาลที่ออกพื้นที่ผ่านไปพบเข้า" นั่นคือคำตอบ
"มีใครดูแลคนเจ็บหรือไม่"
"ผมเห็นแต่คนมุงดู ส่วนคู่กรณีก็ยืนมุงดูรถตัวเองเช่นกัน"
โทรศัพท์สูญหาย และผู้ที่หยิบมันไป ยังเอาไปเปิดใช้หลายครั้ง ถึงแม้จะบอกว่า..คุณรู้มั้ยเจ้าของโทรศัพท์เขาเสียชีวิตไปแล้ว
หน่วยงานราชการติดต่อมาหลายครั้ง และนัดหมายให้มาคุย เมื่อบอกว่าไม่มา คำพูดที่ตามมาอีกก็คือ "งั้นผมฟ้อง"
"เชิญเถอะค่ะ ถ้าคุณอยากฟ้อง"
ผ่านไปเกือบห้าปี วันนี้เด็กอายุหกขวบ นอนเอามือก่ายหน้าผาก เมื่อแม่เล่าให้ฟัง..
แม่เห็นพฤติกรรมลูกชาย จึงถามว่า .."ลูกเป็นอะไร"
"หนูกลุ้มใจแม่ หนูจะเอาเงินที่ไหนไปใช้เขา เงินตั้งมากมายขนาดนั้น"
"ไปไหวพระกันไหมลูก"
"ดีแม่ หนูจะได้ขอพระว่า อย่าให้เขามาทวงหนี้หนู หนูไม่มีเงินให้เขาหรอก เงินในกระปุกหนูก็มีอยู่นิดเดียวเอง"
ความรู้สึกสูญเสียของเด็กตัวน้อย กับความกลุ้มใจที่เธอแสดงออก ใครเล่าจะรู้ซึ้งได้ดีเท่ากับผู้สูญเสียและถูกตอกย้ำ..