10 ธันวาคม 2555 21:05 น.
แม่มดใจร้าย
หลายปีก่อนฉันชักชวนเพื่อนที่สนิทและไม่สนิทไปปั่นจักรยานปลูกป่าที่เพชรบุรีในปี 51 และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการปั่นจักรยานตามรอยสุโขทัยในอีกสองครั้งถัดมา ครานี้ฉันมีโอกาสตามรอยอโยธยาศรีรามเทพนครในระยะเวลาสั้น ๆ เพียง 1 วัน คงไม่มีใครมาตามเรียกฉันว่าแม่หญิง แม่หญิง รอข้าก่อน อย่างที่มีใครเคยบอกว่าฉันเดินอ้อยอิ่งจนทหารมองตามที่กาญจนบุรี
ระยะเวลาสั้นๆ ในการตามรอยอโยธยา ฉันคงไม่มาเล่าประวัติศาสตร์ (ก็เพราะไม่ได้จบประวัติศาสตร์นี่นา) ฉันคงเล่าเรื่องราวในแบบฉบับของฉันที่ฉันได้พบได้เห็นจากซากปรักหักพังทางประวัติศาสตร์สิ่งที่ฉันได้เรียนรู้ ได้สัมผัสและจับต้องได้จากความเป็นจริง
เพียงเริ่มต้นเดินทางฉันก็บอกว่าคุ้มกับจำนวนเงินที่เสียได้ไปถึงสามร้อยกว่าบาท ฉันและทุกคนที่รวมเดินทางซึ่งเป็นนักศึกษาได้รับหนังสือถึงสองเล่มนั่นคือ "อยุธยา มรดกโลกภาพสะท้อนจากอดีต" และ "พระนครศรีอยุธยา ท่องเที่ยวราชธานีเก่าไปกับนายก อบจ." นี่ยังไม่รวมน้ำขนมของกินอีกหนึ่งถุงนะเนี่ย น้องๆ เจ้าหน้าที่บอกว่าเซ็นชื่อเสร็จก็กลับบ้านได้เพราะคุ้มแล้วววววว
จากจุดเริ่มเดินทางจนถึงจุดเริ่มปั่นจักรยาน ณ ศาลากลางจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่ยังคงตกแต่งไม่เรียบร้อยนั้นมีเรื่องเล่ามากมายภายในนั้น วิทยากรบอกว่าแค่เข้าไปชมก็เห็นอยุธยาได้ทั้งเมือง ฉันได้นำรูปบางส่วนลงในเฟส จนมีพี่คนหนึ่งมาถามว่าไปไหนมา และพอรู้สถานที่ถึงกลับบอกว่าไม่ยักรู้ว่าศาลากลางพระนครศรีอยุธยามีอะไรดีขนาดนี้ จากศาลากลางเราปั่นจักรยานไปวัดมหาธาตุ จุดเด่นของที่นี่ก็คงเป็นเศียรพระที่อยู่ท่ามกลางรากไม้เพราะฉันเห็นใครต่อใครรวมถึงตัวฉันถ่ายรูปเศียรพระหินทรายที่ลอยอยู่เหนือพื้นดินด้วยรากของต้นโพธิ์ ซากปรักหักพังที่เราพบเห็นและเรียนรู้จากประวัติศาสตร์ว่าถูกกระทำด้วยน้ำมือของศัตรูในกาลก่อนนั้น เป็นเรื่องน่าแปลกที่ว่าประเทศของเขานั้นเคร่งครัดในเรื่องศาสนาไม่ว่าจะเป็นด้านการแต่งกาย การเคารพสถานที่ แล้วเหตุใดจึงทำลายล้างพุทธศาสนาของบ้านเมืองอื่นด้วยการเผา (ทราบจากวิทยากรว่าเป็นเพราะกลัวความเจริญรุ่งเรืองที่มากกว่า) ฉันจึงได้เรียนรู้เพิ่มขึ้นว่าไม่ว่าจะยุคใดสมัยใดไม่มีใครอยากเห็นใครได้ดีกว่า (อย่าเอาความคิดของใครมาทำลายล้างกันเพียงแค่เห็นต่าง)
จากวัดมหาธาตุ เราผ่านวัดราชบูรณะ ด้วยหนทางที่ไม่ราบเรียบถ้าเราเรียนรู้จากหนทางก็คงคิดได้อีกว่าชีวิตมันก็ไม่ได้ราบเรียบเสมอไป จุดที่ต้องข้ามสะพานฉันรอให้ขบวนข้างหน้าขี่บ้าง เข็นบ้างข้ามสะพานจนแทบไม่เหลือใครบนนั้นเพื่อทดสอบกำลังขาของตัวเองว่ายังมีกำลังพอที่จะนำพาตัวเองขึ้นไปโดยไม่ต้องหยุดเข็นได้หรือไม่ (โอ้! ยังไหวอยู่) เราอาจจะต้องรอจนคนผ่านพ้นแล้วจึงนำพาตัวเองให้ข้ามผ่าน
ขบวนจักรยานพากันไปชมวัดโลกยสุธา(วัดพระนอน) ซึ่งมีความยาว 42 เมตร ประดิษฐานกลางแจ้ง ซึ่งก็เกิดจากการเผาบ้านเผาเมืองอีกนั่นแหละ จากวัดพระนอนเราไปวัดพระศรีสรรเพชญ์ วิหารมงคลบพิตร (ซึ่งที่นี่ไม่รู้ว่าฉันจะได้บุญหรือได้บาปกันแน่) ก่อนจะเข้าไปไหว้พระฉันตั้งใจว่าเมื่อไหว้พระเสร็จจะมาบริจาคเงินให้น้องนักเรียนกลุ่มหนึ่งที่มาขอบริจาคเงินเพื่อนำไปซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ให้กับโรงเรียน เมื่อไหว้พระเสร็จลงมาด้านล่างฉันเปิดกระเป๋าหยิบเงินหนึ่งร้อยบาทไว้ในมือ ขณะกำลังปิดกระเป๋าสตางค์นั้น ฉันรู้สึกได้ถึงแรงกระชากของเงินที่อยู่ในมือซึ่งทำให้ฉันกำไว้แน่นกว่าเก่าพร้อมเสียงร้องเฮ้ย! ในขณะเดียวกันก็ก้มมองพร้อมเสียงดุไปว่าอย่าทำนิสัยเช่นนี้ในวัดนะ (แล้วตรูทำไปได้ไงเนี่ย) หลายสายตามองมาที่ฉัน แต่ฉันหันหลังกลับพร้อมเสียงดุอีกว่าเดี๋ยวฉันก็ตีเด็กในวัดหรอก เด็กคนนี้ยังคงยกมือไหว้เพื่อขอเงินแต่เมื่อความรู้สึกมันเสียไปแล้วฉันก็คงไม่ให้เพื่อเป็นเยี่ยงอย่าง ฉันหย่อนเงินที่ตั้งใจในกล่องพร้อมเดินจากมา พร้อมคิดไปว่านี่เมืองท่องเที่ยว เมืองมรดกโลกนะเนี่ย แต่ที่ไหนๆ ก็คงมีคนเช่นนี้เสมอ ถ้าตราบใดคนในโลกยังคงมีความไม่เท่าเทียม คนในโลกยังคงเห็นแก่ตัว และคนในโลกยังแก่งแย่งแข่งดีกัน (ฉันซึ่งยังเป็นคนดีไม่พร้อมก็คงทำได้เท่านี้)
ฉันจำได้ว่าเคยเขียนเรื่องเยี่ยมเยือนเมืองพม่า หลังจากที่ได้มีโอกาสไปเที่ยวพม่าในระยะเวลาสั้น ๆ "ประวัติศาสตร์ของเขา กับ ประวัติศาสตร์ของเรา" เขียนต่างกัน เฉกเช่นปัจจุบันที่เราเรียนรู้เรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นแตกต่างกันตามมุมมอง เพียงแต่ว่าอย่าให้แตกแยกตามความเห็นแก่ตัวก็คงเพียงพอและรักษาสิ่งต่างๆ ไว้ได้อย่างสวยงาม
ปล. ขอบคุณสำนักกีฬา มหาวิทยาลัยรามคำแหง
10 มิถุนายน 2555 19:18 น.
แม่มดใจร้าย
วันที่ 9 ว่างมั้ยจะชวนไปเที่ยวอัมพวา..เป็นคำทักทายจากคุณอิมในช่วงไม่ปกติ (เพราะปกติไม่ค่อยได้คุยกัน..คิคิ)
เอาสิ..บอกเสร็จแล้วก็บอกต่อว่าดีนะที่เค้าเปลี่ยนแปลงกำหนดการปลูกป่าเป็นวันที่ 10 (ซึ่งในคราแรกไปสองวัน)..เป็นคำตอบจาก มมจร
หลังจากนั้นคุณอิมก็ถามถึงการไปปลูกป่า โดยที่ มมจร ไม่ได้ถามถึงรายละเอียดที่ไปอัมพวา (ว่าไปไง ไปกับใครบ้าง) แล้วคุณอิมก็ร้องตามไปปลูกป่าโดยมีผู้ติดตามไปถึง 6 คน แต่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงกำหนดการปลูกป่าก็กลายเป็นว่าคุณอิมอดหมดทุกคน...(ขออภัยด้วยน๊า)
จากวันที่ 9 กำหนดการก็เปลี่ยนแปลงเป็นวันที่ 4 ชีวิตมีการเปลี่ยนแปลงบ่อยนิ...
จะว่าไปแล้ว มมจร..ห่างหายจากเวปไปนาน..นานจนเกือบถูกลบบัญชี..นานจน มมจร ชอบลงไปอยู่ในหลุม
คุณอิมกับ มมจร พบกันได้หนอ...อ๋อ! ครั้งแรกถูกหลอกไปกาญจนบุรี จนได้ไปพบกับพี่ริน ครั้งสองเราเจอกันที่อมก๋อย ครั้งสามล่ะ...ที่ไหนน๊า คิคคิดคิด..ที่ละลุหรือเปล่านะ..ครั้งที่สี่ครั้งห้าและครั้งต่อๆมาเราเจอกันที่ไหนก่อนบ้างละ..ระหว่างเพชรบุรี สุโขทัย จันทบุรี (บ้านผีสิง) ราชบุรี เพชรบุรี จนมาครั้งนี้ เราเจอกันไม่กีครั้งเองเนอะ คุยกันก็น้อยเพราะ มมจร คุยไม่เก่งอ่ะ
คุณแก้วประภัสสร, คุณกิ่งโศก, นู๋หิ่งห้อยน้อยใจ, น้องก้าวที่กล้า..เจอกันครั้งแรกที่เพชรบุรีใช่ป่ะ ครั้งแรกที่เจอกันมีเสียงมาถามว่า มมจร อยู่ไหน ส่วน มมจร ก็นิ่งเงียบไม่กล้าตอบว่าอยู่นี่ (ขออภัยด้วยน๊า..น้องที่ไปด้วยบอกว่าเอ๊าเค้าถามหาทำไมไม่่ตอบ..ก็บอกไปว่าไม่กล้าอ่ะ..อิอิ) จนคุณอิมมาแนะนำว่านี่ มมจร..เราเลยได้รู้จักกันด้วยรอยยิ้มจากทุกคน ตกเย็นคุณอิมมาถามว่าไปนอนกับเพื่อนๆ มั้ย มมจร. ตอบไปว่าไม่อยากทิ้งน้องหนุ่ม ๆ ทั้งสองคนไปอ่ะเกรงใจ...ว่าแล้วก็ชวนสองหนุ่มเดินไปดูพวกพี่ ๆ น้อง ๆ ทั้งหลาย ที่ไหนได้..นิทราภายใต้เงามืดไปเรียบร้อยแล้ว ครั้งนี้เจอกันเราก็เจอกันด้วยรอยยิ้มกันอีก มมจร..ไม่รู้จะคุยอะไรอีกเหมือนเดิม สำหรับนู๋หิ่งห้อย..ก็ชักชวน มมจร ไปปีนเขาไกลถึง ต่างประเทศนู่นแหนะ..ตอนนี้ขอปีนเขาไทยก่อนนะจ๊ะ (แบบว่า..เรี่ยวแรงเหลือน้อยอ่ะ)
น้องกานต์..เราเคยคุยกันในเวปอยู่พักหนึ่ง คุยโทรศัพท์กันอยู่สองสามครั้ง..(ไม่รวมเป็นหกครั้งนะคะ) และแล้วก็มาเจอกันจนได้อ่ะค่ะ..ดีใจที่ได้เจอน้องกานต์ค่ะ แถมมีเรื่องขำขันจากกะทิมะพร้าวและมะพร้าวกะทิ..(อยากบอกว่ามะพร้าวที่ซื้อมายังไม่ได้ทำอะไรกับมันเลยค่ะ) คุณน้าคนขายบอกว่า..รักษาคำมั่นดีที่บอกว่าจะกลับมาซื้อ
น้องแมงกุ๊ดจี่..ส่วนใหญ่เราคุยกันในเวปเนอะ แต่พอมาเจอกันเป็น ๆ คุยกันไม่ออกค่ะแต่เราก็สนุกด้วยกันได้
พี่กุ้งหนามแดง, คุณปุ๋ย..เจอกันตอนเช้าหน้าเซ็นทรัลแล้วก็มาแยกกันหน้านิวรสทิพย์..แต่เราก็ไปรวมลงเรือลำเดียวกันค่ะ เราเจอกันครั้งแรก แต่ มมจร เชื่อว่าคงไม่ใช่ครั้งเดียวและครั้งสุดท้ายแน่นอนค่ะ
มีใครอีกหนอที่ มมจร ยังไม่ได้กล่าวถึง..
พี่ชาติสิเนอะ..เจอกันหลายครั้งค่ะ แต่พี่ชาติคงจำ มมจร ไม่ได้ มมจร จำได้ว่า พี่ชาติเคยบอกในครั้งที่ไปแจกของช่วยผู้ประสบภัยที่อยุธยาว่า..คิดว่า มมจร เป็นอาจารย์มาคุมเด็ก..(มาด มมจร ให้เนอะ)
ขอบคุณสำหรับมิตรภาพและรอยยิ้มจากทุกคนค่ะ
มีเรื่องอยากเล่าค่ะก่อนหน้าที่จะไปอัมพวา มมจร พาเพื่อนไปเที่ยวแปดริ้วค่ะ ไปเที่ยววัดแถวบางคล้า นั่งเรือรอบเกาะลัด เที่ยววัดที่มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับพระเจ้าตากสิน พอถึงคราไปอัมพวาต้องนั่งเรือพาย มมจร คิดอยู่ในใจว่า ชีวิตช่างเป็นเรื่องที่ถูกกำหนดเสียจริงหนอ นั่งเรือยนต มานั่่งเรือพาย เที่ยวทางน้ำ แล้วมาผูกพันในสถานที่ที่เกี่ยวกับพระเจ้าตากสิน...
ขอบคุณคุณแก้วที่ยกให้ มมจร เป็นแม่หญิง คุณอิมเคยว่า มมจร ตอนไปกาญจนบุรีหนสองว่า เดินอ้อยอิ่งจนทหารศึกเลี้ยวหลังแลตาม..มมจร เป็นแม่หญิงแบบ มมจร จริง ๆ ค่ะ คือใจร้ายยยยยยยมาก
"มิตรภาพมิตราบสิ้นฟ้า มิตรภาพมิตราบสิ้นใจ แต่มิตรภาพคงอยู่ตลอดไป ถ้าหัวใจยังคิดจะผูกพัน"
ปล. จะทยอยลงภาพนะคะ
9 ธันวาคม 2554 23:01 น.
แม่มดใจร้าย
ฉันเริ่มอ่าน ebook ไม่นาน..หลังจากอ่านหนังสือที่มีไม่น้อยกว่าสี่ร้อยชื่อเรื่อง (รวมถึงเรื่องที่อ่านไม่หมด)
ebook ที่พึ่งอ่านจบทั้งที่มีจำนวนหน้าเพียง 33 หน้า (รวมภาพประกอบ) โดยใช้เวลาถึงสามวัน..
ถ้านับจำนวนหน้าถือว่าฉันอ่านหนังสือได้น้อยกว่า 8 หน้าต่อวัน..
หนังสือเล่มนั้นที่ฉันกำลังกล่าวถึงคือ.."ฟ้ากว้างเหนือทางแคบ" โดย คุณเมฆา วนารักษ์
เป็นเรื่องเล่าน่ารักๆ จากผู้เดินทาง
ฉัน..เป็นหนึ่งในผู้ที่ชื่นชอบการเดินทาง (อย่างที่เรียกว่าอยู่ในกระแสเลือด) จนบ่อยครั้งมักมีคำพูดว่า ไปอีกแล้ว เกิดขึ้นจากเพื่อนสนิทหลายครั้ง
คุณเมฆา เล่าเรื่องเกี่ยวกับการเดินทางขึ้นภูกระดึง แต่จะว่าไปแล้วเนื้อหาของการเดินทางไม่ใช่องค์ประกอบที่ทำให้ฉันเขียนเรื่องนี้..
ภายในเนื้อหาของ ฟ้ากว้างเหนือทางแคบ ทำให้เห็นมุมมองอะไรหลายอย่างที่คนเราหลงลืมกันไป..
นับแต่เริ่มต้นก้าวเท้าเดิน ที่ได้บอกถึง เล่าจื้อ กล่าวว่า การเดินทางไกลหมื่นลี้ เริ่มต้นที่ก้าวแรก
(ทั้งที่พึ่งได้ยินเพื่อนบอกว่า ถ้าไม่มีก้าวที่หนึ่ง ก็ไม่มีก้าวที่สอง)
จุดหมายปลายทางอาจไม่สำคัญเท่ากับเรื่องราวระหว่างทางที่เราเก็บเกี่ยว..
เราอาจไปไม่ถึงจุดหมายปลางทางตามที่คนบอกเล่า..แต่..เรื่องราวนับแต่เริ่มต้นจนจบ ต่างหากที่เราเก็บเกี่ยวได้เพียงใด
การเดินทางที่เริ่มต้นจากบ้าน จากห้องนอน หรือจากที่ได้ก็แล้วแต่..เราได้อะไรจากการเริ่มต้นบ้าง..
เริ่มต้นจากการเตรียมตัว เริ่มต้นจากการเตรียมพร้อม..
สัมภาระที่นำติดตัวไปจาก..ความกลัวที่ว่านอกสถานที่ นอกความคุ้นเคยนั้น เราได้ใช้มันสักเพียงใด
ระหว่างการเดินทาง..เพื่อให้หัวใจได้พักความเหนื่อยล้า จากหน้าที่การงาน จากเรื่องราวที่ได้พบเจอ ที่บางครั้งก็ดีบางทีก็ร้าย และทำให้ได้พบว่า..เราเล็กกว่าธรรมชาติ แล้วเราจะโหยหาอะไรที่ยิ่งใหญ่...
ภูกระดึง จาก ฟ้ากว้างเหนือทางแคบ ทำให้ฉันนึกถึงภูกระดึงในวันวานกับเพื่อนร่วมทางเพียงไม่กี่คน จากวันเวลาเพียงไม่กี่วัน ด้วยการชักชวนจากเพื่อนคนหนึ่งที่จากไปแล้วแต่ก็ทำให้ฉันได้ข้อความว่า ครั้งหนึ่งในชีวิตเราคือผู้พิชิตภูกระดึง มาครอบครอง แต่หาใช่เพียงเท่านี้ที่ฉันได้..
ภูกระดึง ทำให้ฉันนึกถึง น้ำตกทีลอเล ที่เพื่อนคนดังกล่าวชวนฉันไป น้ำตกทีลอซู แต่ฉันบอกว่าถ้าไม่มีทีลอเลฉันคงไม่ไปเหตุเพราะว่าฉันเคยไปมาแล้ว และนั่นเป็นเหตุให้ฉันได้ยินเพื่อนร่วมทางกล่าวว่า ถ้าเดินทีลอเลได้ ภูกระดึงก็เด็กไปแล้ว
ภูกระดึงในวันนั้นต่างจากทีลอเลในวันก่อนลิบลับ ขณะที่ทีลอเลมีแต่ป่ากับเขา แต่ภูกระดึงมีทุกอย่างในทุกซำที่เท้าก้าวถึง ขอเพียง..คุณมีเงินในกระเป๋า..ในขณะที่ทีลอเลไม่มีอะไรให้หาซื้อ..แม้คุณจะมีเงินในกระเป๋า..
แต่..สิ่งหนึ่งที่ระหว่างภูกระดึงและทีลอเลมีเหมือนกันนั่นก็คือ มิตรภาพในรายทาง
รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ จากผู้ร่วมทางทั้งที่รู้จักและไม่รู้จัก เติมเต็มความสุขให้กับชีวิตเล็กๆ...
การอดทนกับการรอคอยสิ่งที่ต้องการ..คือเนื้อหาเล็กใน..ฟ้ากว้างเหนือทางแคบ..แต่ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า..ถ้าเราย่อท้อต่อสิ่งที่การพบเจอด้วยการยอมแพ้แล้ว เราจะได้พบเจอมันเมื่อไหร่..
กว่าจะได้ชมพระอาทิตย์ขึ้น..อาจต้องยอมเสียเวลานอน เสียพลังงานจากการเดินเท้า และเฝ้ารอเพื่อได้ชมความสวยงามยามพระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า...เช่นเดียวกับการจะยลพระอาทิตย์ตก..เราก็ต้องยอมเสียพลังงานเท้าเพื่อเดินทาง เฝ้ารอท่ามกลางแสงแดดยามเย็นที่ยังคงความร้อนแรง จนกว่าพระอาทิตย์จะลาลับจากเหลี่ยมเขาหรือเมฆขาว และการเดินทางฝ่าความมืดเมื่อไร้ซึ่งแสงอาทิตย์...
ระหว่างความสว่าง..ที่ทำให้เรากล้าหาญชาญชัย แต่เมื่อไร้แสงเล่า..ทำไมความกล้าหาญที่มีอยู่มันคงเหลือเพียงน้อยนิด หรือ ปอดเราจะแหกเพราะความมืด เราอาจพบเจออะไรในยามค่ำมืดตามแต่ใจเราจินตนาการ และเราอาจเจอในสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ว่าจริงหรือไม่จริงกันแน่ เราใช้แสงสว่างจากเปลวเทียนหรือแสงจากไฟฉายที่พกติดตัวไป มันดูมีคุณค่าในยามค่ำมืด แล้วมันก็หมดประโยชน์เมื่อเราเจอแสงที่สว่างกว่า ทำให้อดคิดถึงประโยคหนึ่งไม่ได้ว่า ในที่สว่างย่อมมีมุมมืด และในที่มืดย่อมมีมุมสว่าง มันเปรียบได้กับมุมมืดในหัวใจ และมุมสว่างจากเปลวเทียนได้หรือไม่...
คำว่า อดทน ใน ฟ้ากว้างเหนือทางแคบ ทำให้ฉันนึกถึงภูสอยดาว ถ้าวันนั้นบนภูสอยดาวฉันยอมแพ้ต่อพายุฝน แล้วฉันจะได้เห็นอะไรมากมายบนภูที่อุตส่าห์ฝ่าฟันดั้นด้นไปหรือไม่.. ฉันจะได้เห็นความงามของน้ำตกและฝ่าฟันจนทำให้รู้ว่าทุกอย่างไม่เกินความสามารถถ้าเราคิดจะทำและสู้กับมัน...
หนังสือ ebook เพียงไม่กี่หน้า แต่ถ้าเราเก็บเกี่ยวคำบางคำ ประโยคบางประโยค มาใส่ใจเราอาจได้จำนวนเนื้อหาเป็นร้อยเป็นพันมากกว่าจำนวนเพียงสามสิบสามหน้า..
ฟ้ากว้างเหนือทางแคบ ทำให้ฉันเห็นและคิดอะไรหลายอย่างที่หลงลืมมันไป บทเริ่มต้น และ บทลงท้าย อาจไม่ได้สวยงามดังใจฝัน แต่อยู่ที่เราเก็บเกี่ยวมันไว้อย่างมีคุณค่า..
ขอบคุณ ฟ้ากว้างเหนือทางแคบ
ขอบคุณ คุณเมฆา วนารักษ์
ขอบคุณ ebook
8 กันยายน 2554 20:49 น.
แม่มดใจร้าย
นักเขียนนิยาย จะเขียนนิยายสักเรื่องก็คงต้องมีพล็อตเรื่อง...
แต่ฉันเป็นคนเล่าเรื่อง..แล้วควรต้องมีพล็อตเรื่องหรือเปล่าหนอ
จะเริ่มต้นอย่างไรและจบเช่นไหน เขียนแล้วคนอ่านจะยิ้มตามหรือบ่นว่ายายบ้านี่มาเขียนอะไรนะ..
ก็จบบัญชี..ไม่ได้จบอักษรศาสตร์ นิเทศศาสตร์ หรืออะไรที่เป็นศาสตร์ทั้งหลาย..
นอกเรื่องมาก็มาก..เข้าเรื่องดีกว่าเนอะ เดี๋ยวอาจต้องมีแจกแม็ค 77 ที่ไม่ต้องเติม....ลงไป (อ่านว่า จุด จุด จุด)
เมื่อมีการเตรียมการ เราก็ต้องมีการเดินทาง เค้านัดสามทุ่มเราไปถึงกันสองทุ่มด้วยความไม่แน่ใจในสภาวะรถติด ฝนตก ซึ่งเอาแน่นอนไม่ได้สำหรับกรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมร..
ปั๊ม ปตทสนามเป้า เป็นที่นัดหมาย เซเว่นมี ร้านกาแฟมี (ปิดแล้วแต่ใช้เป็นที่นั่งรออยู่หน้าร้าน) หิวเมื่อไหร่ก็แวะมา.....สโลแกนประจำร้าน นั่งรอไป กินไป คุยไป ถกปัญหากันไป ไปทำอะไร ไปดูอะไร มันมีอะไร
สำหรับฉัน..บนนั้นมีดอกหงอนนาค มีต้นไม้ มีหลักเขตไทยลาว มีอะไรอีกละ (ส่วนเพื่อนร่วมทางถูกฉันหลอกมา)
เวลาผ่านไปไกด์ยังไม่มา รถยังไม่มี แม่ครัวยังไม่เจอ..(ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก..ล้อเล่นจ้า) หลายคนกระวนกระวาย จนต้องโทรหาคุณเอกนักป่าไม้หนุ่มที่ผันตัวเองมาทำเรื่องท่องเที่ยวแบบแบ๊คแพ๊ค..คุณเอกบอกว่าทำไมมากันเร็วจังผมนัดสามทุ่มนะ (คุณเอกขา..นี่มันสามทุ่มกว่าแล้วค่ะ) จนถึงเวลาอันสมควร และควรเป็นฤกษ์ดีหรือเปล่านะ
เราออกเดินทางด้วยรถตู้ (ที่ท้ายเกือบปิดไม่ได้..ด้วยของและด้วยสภาพรถ) คุยกันไป จนหลับกันไปและแล้วเราก็มาถึง..ถึงไหนล่ะในเมื่อระยะทางเกือบยี่สิบกิโลกว่าจะถึงอุทยานภูสอยดาวเส้นทางขาดเป็นระยะสั้น ๆ แต่ก็เล่นเอาผู้ร่วมทางจำนวน 5-6 คันจอดสนิทแล้วก็คิดว่าจะไปอย่างไร ไปได้หรือไม่ สุดท้ายก็ไม่เกินความสามารถของผู้อยากเที่ยว ด้วยการเดินข้ามเส้นทางที่ขาดเพื่อให้รถเปล่าวิ่งไปรอเราข้างหน้า
สุดท้ายฉันก็มาถึงตีนภู..แต่ละคนจัดการกับตัวเอง แล้วก็ไปจัดการกับท้องตัวเองเพื่อเตรียมตัวเดินทางขึ้นภูที่ระยะทางไม่ไกลแค่ 7.5 กิโลเท่านั้นแหละ..
นับจากตีนภู..จนผ่านเนินลูกแล้วลูกเล่า แค่สี่ห้าเนิน..หุหุ..แค่ถึงเนินส่งญาติก็อยากส่งแต่ผู้ร่วมทางให้ขึ้นไป (ได้ไงเล่า..เมื่อเราอยากมา) ทางเดินดีค่ะชวนให้นึกถึงภูกระดึง..ภึงกระดูขึ้นมาทันใด จากส่งญาติแล้วไปไหนหนอ.อ้อ..ปราบเซียนไงคะ ปราบจนเซียนหงายหลังกันเลยทีเดียว ระหว่างทางก็ชมนก (ซึ่งไม่มีให้เห็น) ชมไม้ซึ่งมีตลอดทางแซมด้วยดอกไม้สวยงามบ้างประปราย รวมถึงฝนพร่ำๆ ที่มีมาเป็นระยะๆ พร้อมน้ำเหงื่อที่เต็มตัวตลอดหัวจรดเท้า..ส่วนใจคนเขียนหรือคะ..(ส่วนใจฉันก็มีแต่เธอ มีแต่เธอทุกห้องดวงใจ) ดอกหงอนนาคไงคะอยากเห็นขึ้นมาจับใจ จากเนินปราบเซียน เนินป่าก่อ เนินเสือโคร่ง ที่ผ่านมาแต่ละเนินคนไม่สู้เนินมรณะหรอกค่ะ ทั้งสูง ทั้งเสียว ทั้งปีนป่ายบันได เดินระหว่างหุบเหว..สวย..เสียว..ได้ใจเลยค่ะ
แล้วสุดปลายทางของเราก็พบลานภู..นักท่องเที่ยวจำนวนหนึ่งซึ่งใจตรงกันมาในวันนี้จับกล้องตัวเก่งถ่ายรูปดอกหงอนนาคอย่างเพลิดเพลิน...ส่วนฉันอึ้งค่ะ อึ้งกับสิ่งที่เห็น เดินมาที่เหนื่อยมันหายเหนื่อยไปโดยปริยาย สิ่งที่ฉันอยากเห็นอยู่ตรงหน้าไม่ผิดหวัง..แต่อุปสรรคมาอีกแล้ว ฝนที่คาดคิดหล่นลงมาพรำๆ ก็เลยต้องรีบเร่งเดินลุยทางอันเต็มไปด้วยเลนกับน้ำเป็นระยะๆ ไปให้ถึงจุดพัก ซึ่งคุณเอกกางรอไว้เรียบร้อยแล้ว..
ฝนตกตลอดเวลาไม่มีทีท่าว่าจะหยุด..แล้วจะทำเช่นใดเล่า เต้นท์ที่กางไว้กันฝนได้แต่กันน้ำจากผ้าปูรองนั่งไม่ได้จนต้องเอาเสื้อกันฝนมาใส่กันหนาวกันพื้นเปียกได้เป็นอย่างดี..ส่วนฉันหยิบกล้องตัวเก่งขึ้นมาจับภาพใส่กล้องภาพแล้วภาพเล่าตามใจปรารถนา ชื่นชมกับสิ่งตรงหน้าซึบซับให้มันมากที่สุดสมกับความอยากมา อยากเห็น ธรรมชาติอยู่ตรงหน้าฉันแล้ว (สิ่งซึ่งฉันมองไม่เห็นในป่าคอนกรีตที่ฉันอาศัยอยู่)
ระหว่างรอลูกหาบ..รอของใช้ส่วนตัวเพื่อจัดการกับตัวเองซึ่งเหลือเพียงของฉันคนเดียว..ฉันไล่น้องๆ และพี่หนึ่งคนไปอาบน้ำกันก่อนโดยที่ไม่ต้องรอ เพราะไม่รู้ว่าของของฉันจะมาเมื่อไหร่ รอคนเดียวดีกว่าให้คนอื่นมาลำบากไปด้วย (เพราะที่ร่วมเดินทางมาก็เท่ากับฉันพามาลำบากแล้ว)
ฝนตกตั้งแต่บ่ายสองและไม่มีทีท่าว่าจะหยุด...หลังอาหารมื้อเย็นผ่านไปด้วยเวลาเพียงทุ่มกว่า ๆ ที่เราไม่สามารถหรืออาจทำอะไรได้ สิ่งที่ทำได้คือเข้าเต้นท์เพื่อนอน...
5 กันยายน 2554 18:08 น.
แม่มดใจร้าย
"ไม่ออกเดินทาง ประสพการณ์ก็ไม่มี"
จากภูเมี่ยง เราจึงได้ไปดูน้ำค้างกลางเที่ยง ท่ามกลางสายฝนกระหน่ำ ภูเมี่ยงเป็นสถานที่หนึ่งที่ดูวีดีโอแล้วถอดใจ แล้วน้ำค้างกลางเที่ยงมาจากไหนหนอ...
ภูสอยดาวเป็นสถานที่ที่ค้นเจอหลังจากดูภูเมี่ยงแล้วอยากไปมาก จนชวนน้องๆ ที่เคยร่วมเที่ยวด้วยกันว่าไปมั้ย..
เกือบทุกทริปที่ไปไม่มีครั้งไหนที่ไม่มีอุปสรรค์ แต่ก็ได้ไปทุกที...
"น้ำเหงื่อขึ้นกลางหลังระหว่างทาง แต่น้ำค้างกลางเที่ยงบานระหว่างใจ"
แต่ในความเป็นจริง..น้ำเหงื่อขึ้นตั้งแต่ศรีษะจรดปลายเท้า บวกรวมเข้ากับน้ำฝนเป็นระยะๆ ...
ประสพการณ์จากการเดินทาง..นับตั้งแต่เริ่มจนสุดท้ายแห่งปลายทางย่อมมีมากมาย..ไม่ว่าจะเป็นการรอคอยจนถึงการเดินทาง และแม้แต่จุดหมายปลายทางที่ไปถึงก็พบเจออุปสรรค์กับสายฝนที่กระหน่ำไม่ลืมหูลืมตาหนึ่งวันเต็ม ๆ ที่นอนกลางน้ำกินกลางดิน (โอ้..อยู่กรุงเทพฯ จะทำแบบนี้หรือไม่หนอ) เดินเที่ยวท่ามกลางสายฝนกับเสื้อกันฝนบนขุนเขา ปีนป่ายน้ำตกจนเกือบจะตกเขา...
แล้ว..ฉันจะเริ่มต้นเล่าเรื่องอย่างไรเนี่ย
ตะลึง..เมื่อขึ้นไปถึงลานภูสอยดาว ตะลึงกับดอกหงอนนาคที่อยากเห็น (แต่ผู้ร่วมทริปคิดแบบเดียวกันหรือเปล่าหนอ)
เริ่มต้น..เรียกน้ำย่อย (เพราะผู้ดูแลระบบขู่ว่าจะลบออกจากบัญชี)