บทกวี บทที่ยี่สิบ
เขียนอักษรย้อนอ่านที่ผ่านพ้น
สื่อถึงคนหนึ่งใครในความฝัน
ด้วยอารมณ์ฤดีที่ลาวัณย์
บทกลอนฝันแห่งดาวสกาวดวง
จากบทเริ่มเพิ่มรักษ์ที่ปักจิต
เหมือนพบมิตรพลัดพรากจากชาติสรวง
โชติชลิตชิดขวัญในชั้นทรวง
บรรลุล่วง ผ่านภพบรรจบเจอ
ผ่านร้อยฝันพันพจน์เป็นบทพูด
พบพิสูจน์“เหมือนใจ”ใช่เสมอ
สัมผัสถึง“ครึ่ง”ได้คล้ายนักเออ
ฤา ว่าเธอ คือหนึ่ง ของครึ่งใจ
บทกวีที่กล่าวสิบเก้าบท
นัย(ยะ)พจน์ กลั่นจิตลิขิตไว้
มอบผู้เป็นเช่นครึ่งของหนึ่งใน
ดวงฤทัย แห่งรักษ์ ที่ภักดิ์ปรน
จึงเขียนฟ้า คว้าดาว มาติดปะ
ประดับระ- ดาดาว สกาวสน-(ธยา)
(สน)ธยาล่วง สรวงด้าว สกาวดล
ให้ปริ่มล้น เพริศรักษ์ ประจักษ์เพลิน
ในบทที่ ยี่สิบ กระซิบซึ้ง
กวีหนึ่ง บทฝัน อันสรรเสริญ
ว่าคิดถึง ตรึงจิต จึงชิดเชิญ
มาร่วมเดิน ชมฟ้า ณ ราตรี
แล้วชมดาวคราวหลับขยับรัก
เพียงหลับพัก เพริศพรม อารมณ์นี้
จูงดวงจิตนิทราพาฤดี
พบกันที่...ที่เรา คอยเฝ้ารอ
“พบกันที่ ที่เดิม ที่เริ่มใจ”
ฝังกายลงพื้นดิน ณ ถิ่นหนึ่ง ดินแดนซึ่งตรึงใจในความฝัน หลับตานิ่งสิ้นรู้อยู่นิรันดร์ อยู่สายัณห์สนธยานิทรานอน ย้อนกลับไปในวันอันเหว่ว้า ไล่ไขว่คว้า หาใจในสิงขร ใต้ท้องฟ้าทะเลวเนจร บรรจถรณ์ คือดินในถิ่นดง หวังบรรจบทบทางกับร่างรัก หนึ่งใจนักเดินทางกลับพาลหลง จนเจียนว่าอาทิตย์อัสดง ติดอยู่วงกตใจในสัญญา หาหัวใจแห่งความงดงามโลก เผชิญโชคโศกชาติปรารถนาก่อนเป็น“เรา”เฝ้าใฝ่ในสัจจา มิรู้ว่า อยู่ไหนในแดนดิน จวบจนใจจำกันในฝันได้ สายลมร่ายมนต์พรายระบายศิลป์ ณ วันหนึ่งซึ่งเสียงแค่เพียงยิน กระซิบจินตนาการแห่งหัวใจ บังเกิดความ งามเสียงสำเนียงหนึ่ง ว่าคุ้นซึ้ง เสียงจำสำเนียงใช่ แม้ “ไร้เธอ”เคียงกาย เมื่อตายไป ก็อิ่มใจ สุขนัก ที่รักเธอ
สัมผัสเพียงเสียงเร้ากระเส่าซ่านฤดีพล่านเพลิงพรมอารมณ์ฝัน
ตระกองก่ายกายกอดพรอดสัมพันธ์ใต้แสงจันทร์สองกายในสายลม
ดวงจินต์จูบลูบโลมกระโจมบุกกระเส่าสุขรัญจวนแอบสรวลสม
ขยับทรวงสวยซึ้งแสนกลึงกลมเบิกปฐมอัศจรรย์...บรรเลง
เพียงบทเรียนเขียนรักสมัครจิต
เนรมิตวารวันหยุดรันเร่งก่อนปลิดปลิวลิ่วลดในบทเพลง
แล้วนิ่งเคว้งลอยคว้างอยู่กลางทรวงณ ดวงใจในอกวิตกไร้
ไม่เหลือใจขุ่นข้องเมื่อมองสรวงดั่งห้วงฝันจันทร์เพ็ญลอยเด่นดวง
ดูโชติช่วงเฉิดหล้าในฟ้างามในยามนั้นธาราอุรารัก
ล้นทะลักรินหลั่ง ณ ฝั่งข้ามในหุบผาเร้นลึกผนึกพราง
ชโลมร่างกลางแก่งแห่งหัวใจขยับสรวงทรวงผามัจฉาสก
เงยผงกยกผงาดพาดไว้พวงปทุมตูมเต่งยังเบ่งใบ
ผุดดำว่ายมุดเวิ้งเถลิงธารจนแผ่นดินแดนลับขยับสั่น
ทั้งขอบขัณฑสีมาสะท้านผาทะลวงสรวงสะเทิ้นเนินนาน
ก่อนห้วงกาลถูกฉุดให้หยุดลงบทเรียนรักนักเรียนต้องเพียรอีก
จนเหมือนปีกร่ายเวิ้งเริงประสงค์สู่สถานอันพิสุทธิ์บุษบง
เกสรส่งถึงฝั่งดั่งใจปองบรรจงจูบลูบไล้เพียงไต่แผ่ว
กระซิบแว่วแผ่วเบาว่าเราสองจะอยู่พรอดกอดพร่ำกล้ำตระกอง
ให้ฝันของความรักประจักษ์จินต์
จรดสายตาตราตรึงคะนึงรัก
เพ่งมองพักตร์รักเอยเฉลยไข
สิ่งซ่อนนึกลึกซ้อนที่ซ่อนนัย
ลึกสุดใจ...เกินรักจักครอบครอง
เกินจากคำว่าใจที่ไขว่คว้า
ปรารถนาเพียงสุขที่สุดของ
เธอผู้ซึ่งหนึ่งฝันจักมั่นมอง
โอบตระกองกอดขวัญทุกวันเป็น
จรดหัวใจใสแผ้วดั่งแก้วผ่อง
เชื่อมสู่ห้องหัวใจในรักเห็น
พิสุทธิ์ภาพอาบรักประจักษ์เย็น
ดุจแสงเพ็ญ...อาบฟ้าเมื่อตาแล
เธอคือใครในฝันที่ฉันรู้
อาจคือคู่ ตรรกะแห่งรักแท้
ผ่านภพชาติวาดเปลี่ยนกี่เวียนแปร
ไร้ข้อแม้เมื่อใจสองใจตรง
สูงเกินรักจักมอบเพื่อครอบครอง
สูงเกินมองกลัดกลุ้มด้วยลุ่มหลง
สูงเกินก่ายหมายกอดพรอดพะวง
สูงเกินกรงแห่งรักจักกักกัน
คำคำนี้มีค่ากว่าความสุข
ไร้ความทุกข์...ก่อร่างมาขวางกั้น
รักด้วยรัก...จักผ่านทุกวารวัน
สู่นิรันดร์เรืองรองแห่งสองเรา
สิบปีผ่านนานวันฉันยังอยู่
อย่างไม่รู้สิ่งใดจะใคร่หวัง
ย่ำเดินดินถิ่นหล้าล้ากำลัง
โซเซซังซัดเซพเนจร
มองดาวเดือนเกลื่อนฟ้านภามืด
ฟ้าดูชืดจืดไปเพราะใจหลอน
ค่ำคืนฝนหล่นพร่างกลางนคร
แอบเปียกปอนรินหยดรดน้ำตา
ข่มหัวใจให้หยุดสุดจะคิด
โชติอาทิตย์ ฤ จันทร์ ก็ฝันว่า
ฝันดีพาลผลาญเผาเร้าอุรา
เพราะฝันพา...หัวใจไปพบเธอ
ภาพตำตา...คาทรวงยังทวงจิต
คู่ตัวติด...ผิดคน...เป็นผลเพ้อ
รากหยั่งแค้นแสนลึกเมื่อนึกเจอ
มิอาจเบลอ...ภาพนั้นลงบั่นทอน
ค่ำนอนหนาวดาวเคียงเพียงลมกอด
ท่อนแขนสอดหัวดุนหนุนแทนหมอน
กล่อมจิตพักหลับไหลในบทกลอน
ขมิ้นเมืองเหลืองอ่อน..นอนหลับตา
ลมโชยแผ่วแว่วเสียงสำเนียงเอื้อน
“โอ้ดวงเดือน...ดวงดาวที่สาวว่า
เด่นดวงใดในรักประจักษ์พา
ขวัญชีวา...ยอดชู้จะชูชม”
“ เฉิดโฉมงามนามเชื้อพี่ชายมาด
ชาตรีชาติ...เช่นพี่...ฤดีสม
ผิดเชิญควักชักมีดมากรีดคม
ให้สิ้นลม...ชมวาตพินาศใจ”
น้ำตาคลอรอหยดลงรดแก้ม
เพียงแตะแต้มฝุ่นล้างพอพร่างใส
สิบปีเลื่อนเคลื่อนกาลที่ผ่านไป
หมดหัวใจ...ไม่เห็นอยากเป็นคน
ถึงกระนั้นตัวฉันในวันนี้
แม้นฤดี...เปรอะเปื้อนเหมือนปี้ป่น
ก็แค่เจียมเขียมคิด...ในจิตตน
มิใช่คน...บ้าบอและขอทาน