เดือนแห่งความรักกำลังจะมาเยือน... ในปี 5 5 ความรักคงคึกคัพิลึก แห่ะ ๆ ขอฮาก่อนโฮ แร่ะกัน คริคริ สายลมหนาวยังคงพัดพลิ้วโปกปลิวทิวไผ่ไหวเอน เหงาหัวใจดีจังโน๊ะ สายลมหนาวทำให้อยากปรับความคิดไปอยู่โหมด "ความรัก" อิอิบรรยากาศทำให้อยากคิดทบทวนและรื้นค้นเรื่องราวต่างๆ แต่พอมานึกทบทวนทำให้รู้สึกสับสน "เรื่องหัวใจ" ทำไมต้องคิดนะ ปล่อยให้มันดำเนินไปตามเพรงไม่ได้หรือ? บางอย่างก็ทำตามใจตัวเองไม่ได้สินะ คิดวกไปวนมาทำให้คิดถึงคำถามที่หลานๆ ถามเรื่องความรัก...เด็กกำลังอยู่ในวัยรุ่นวัยเรียน กำลังว้าวุ่นกับความรัก ที่อยู่ในวัยเรียน เขาถามว่า "ป้ากับน้าทำไม? ยังไม่แต่งงาน" เขาคงสงสัยใครๆ ทำไม? แต่งกันแล้ว พอตอบเขาไปว่า "ยังไม่ถึงเวลาจ๊ะ" เขาก็มีคำถามอีกว่า "ป้าไม่เคยมีความรักหรอ?" คำถามสุขท้ายทำเอาป้าสะอึกไปนิดนึง ส่วนคุณน้าคนสวยอมยิ้ม คุณน้าคงมีคำตอบในใจแต่คุณป้าอย่างฉันละไม่มีคำตอบที่ใช่ในความคิด จึงได้แต่ตอบหลานไปว่า "ไว้มีเวลาป้าจะเล่าให้ฟัง" ดูเด็กๆ ตื่นเต้นอยากรู้เรื่องราวของป้าเสียจริง ไว้ให้เด็กๆ มาค้างกับป้าก่อนนะเราค่อยคุยกัน... เสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมาหาเรื่องหนีออกจากค่ายฯ เหตุเพราะมีเรื่องกวนใจหลายเรื่อง จึงขออนุญาตออกมาอยู่เงียบๆ เพื่อให้ใจมีสมาธิคิดและตัดสินใจ เมื่ออยู่บ้านตลอดทั้งวันกลับทำให้ชีวิตเงียบเหงา แต่ว่าไม่เศร้าเพราะยังอยู่กับความคิดกับบางเรื่องวนเวียน วกวน กลับ ไป-มาในหัว โลกโซเซียลเนตเวิร์คคงจะทำให้ช่วงเวลาที่กำลังคิดทบทวนผ่อนคลายได้บ้าง... พอล็อคอินเข้าสู่ระบบ สู่โลกโซเซียลมันทำให้ฉันเจอความว่างเปล่าแต่ว้าวุ่นทำให้นึกน้อมเข้าไปสู่พุทธวจนะ นี่คือความไม่เที่ยง ความไม่มีตัวตน ไม่มีเรา สิ่งที่เห็นคือความ "ไม่มี" "เราไม่มี" "เขาไม่มี" ความรักของฉันอยู่ในโลกซึ่งไม่มี มันว่างเปล่า...ฉันฝากหัวใจไว้กับความไม่มี ในโลกโซเซียล และปล่อยมันไว้อย่างนั้นมาเนิ่นนานมากแล้ว นับเวลาได้เกือบสิบปีแล้วสินะ ที่ฉันฝากใจไว้กับคนในโลกโซเซียลเนตเวิร์ค ตลอดระยะเวลาที่ฉันฝากใจไว้กับคนในโลกโซเซียลมันกลับทำให้ฉันรู้สึกปลอดภัย ว่าฉันจะไม่ถูกความรักทำร้าย เพราะรักของฉันเป็นความคิดถึง ห่วงใย ส่งฝากผ่านสายเคเบิล และส่งผ่านไปกับลมฟ้าอากาศเบา-เบา โดยที่คนในโลกโซเซียลนั้นไม่เคยได้รับมันแม้สึกกึ่งของความรู้สึกฉัน
เอ๊ะ...อาจรู้ก็ได้สักเสี้ยวของความรู้สึกเพราะบ่อยครั้งที่ฉันแอบแนบไปกับตัวอักษร และบ่อยครั้งที่แอบซ่อนไปกับท่วงทำนองของบทเพลงบางบทเพลง...ที่ซึ้งปนเศร้าและแอบเหงาในบางจังหวะของเสี้ยวอารมณ์นั้นๆ หัวใจของฉันเล่นซ่อนแอบกับใครหลายคนบนโลกจริง...ในบางช่วงจังหวะที่ก้าวเดินของชีวิต ฉันยังแอบอุ่นกรุ่นด้วยไอคิดถึงคนที่ซ่อนตัวในโลกโซเซียลนั้น เขาไม่รู้หรอกว่ามันอบอุ่นและหนักแน่นเพียงไหน? กับความรู้สึกละมุนที่เกิดขึ้นกับหัวใจของคนบนโลกจริง บางครั้งฉันก็บอกไม่ได้ว่ารอยยิ้มที่สดใสบนใบหน้าที่เหมือนว่ากำลังมีความรักนั้นได้มาจากไหน? เมื่อใครใครมีคำถาม
หลายคนบนโลกจริงพยายามจะตามหาหัวใจของฉันให้เจอ (เหมือนเว่อร์โน๊ะ แต่จริงอ๊ะ คริคริ) พยายามค้นแต่เขากลับไม่พบหัวใจดวงที่อ่อนไหวนี้ ว้า...ฉันเลียนแบบทศกัณฑ์เข้าให้แล้ว ถอดใจไว้อีกที่นึง ฉันถอดไว้ในโลกโซเซียลที่มีแต่ความแปรผันไปตามกระแส 555 หลายครั้งที่คนบนโลกจริงเพียรถามว่าทำไม "รักไม่ได้" ทำไม? ฉันจึงรักเขาไม่ได้...ฉันได้แต่นิ่งเงียบเพราะฉันเองไม่สามารถตอบออกไปได้ว่าฉันมีคนรักแล้ว...แต่คนรักของฉันอยู่ที่ไหนเป็นใคร ฉันตอบไม่ได้ จึงได้แต่นิ่งเงียบแต่การนิ่งเงียบมันทำให้ฉันรอด รอดจากการถูกรุกเร้าเอาคำตอบ และปลอดภัยจากความรักของเขาเหล่านั้น ฉันไม่สามารถตอบออกไปอย่างที่ใจคิด ฉันรู้เพียงจะไม่ตอบคำตอบที่หลอกตัวเองและเขา ที่มันอาจจะเป็นคำตอบหรือเงื่อนไขในการทำร้ายกันภายหลัง...ฉันควรเห็นแก่เขาไม่ใช่เห็นแก่ตัว... จนในบางครั้งรู้สึกใจหายเมื่อความรู้สึกแวปขึ้นมาว่า "ฉันไม่เคยรู้จักความรักหรือ? ฉันรักใครไม่เป็นหรือ?" ถ้าหาก...(มันเป็นเพียงการคาดเดาแต่ไม่ได้วาดหวัง) วันหนึ่ง....คนในโลกโซเซียลปรากฎตัวอยู่ตรงหน้าฉันและเขาพร้อมจะมอบความรักที่รอคอยนั้นให้มาฉันคงรับมันไว้ไม่ได้ เพราะฉันไม่อาจรักคนบนโลกจริงได้ ขอให้เขาเป็นเพียงคนที่ซ่อนอยู่ในโลกโซเซียลนั้นต่อไป เพราะฉันคงไม่ให้อภัยในสิ่งที่เขาล้อเล่นกับความรู้สึกของฉันมาอย่างยาวนาน ความเสียใจ ความกลัว และความรู้สึกที่เสียไปมันไม่อาจย้อนคืนกลับมาได้อีก "มีเงินเป็นหมื่นล้านก็ซื้อเมื่อวานคืนมาไม่ได้" นี่คือเรื่องจริงมันเป็นสัจจธรรม เวลาที่ล่วงไปแล้วไม่มีทางจะหวนคืนกลับไปเริ่มใหม่หรือแก้ไขได้อีก... มนุษย์มีเวลาเท่ากันในหนึ่งวัน เรามีเวลาที่สำคัญเพียงเวลาเดียวคือ "ปัจจุบัน" หากฉันจะปล่อยให้ปัจจุบันข้างกายของฉันมันว่างเปล่า แต่ไม่ได้ว่างไว้รอใครในอนาคต เพียงแต่เขาคนนั้นไม่มีตัวตนนั้นเอง เพราะเขาเคียงข้างฉันในทุกเวลา แต่ไม่มีใครล่วงรู้ได้ว่าเขาคือใคร แม้แต่ตัวฉันเอง ใจของฉันเอง สิ่งที่รู้คือ ฉันรู้สึกไปเอง หรือฉันอาจสับสนที่คอยหลอกตัวเองมาอย่างยาวนานพอๆ กับเขาคนนั้นในโลกโซเซียล ฉันไม่อยากให้เขาปรากฏตัวในโลกจริง ขอให้ฉันได้อบอุ่นใจอยู่อย่างนี้ต่อไป...เมื่อใดฉันหันหลังให้โลกโซเซียลเขาก็จะเลือนหายไปพร้อมๆ ความรู้สึกนั้น และเมื่อวันนั้นมาถึง...หัวใจของฉันคงพร้อมจะตั้งสัจจะอธิษฐาน กับความหวังสูงสุด มันจะเป็นคำตอบทั้งหมดของชีวิต ที่จะเติมเต็มกำลังใจในการตั้งสัจจะบารมีให้เต็ม...
ฉันควรขอบคุณเขา ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา เขาช่วยให้ฉันสละคนในโลกจริงได้อย่างง่ายดายเพราะในหัวใจฉันรู้สึกเหมือนมีเขาอยู่เหมือนรอคอยเขาอยู่ทั้งที่รู้ว่าเขาไม่มีตัวตน...แม้ว่าการรอของฉันนั้นจะรอทั้งที่ไม่รู้ว่ารอคอยใคร เหมือนหัวใจรู้ว่าต้องรอ การรอเขามันทำให้ฉันหนักแน่นในการเติมกำลังใจได้เต็มเพราะแรงกำลังของกิเลิสที่เรียกว่าความอยาก ที่มาจากความรักมันแผ่วแรงกำลัง ทำให้ฉันไม่ต้องทำร้ายใครใครที่ผ่านเข้ามาแล้วผ่านไป และฉันไม่ได้ทำร้ายตัวเอง
แต่ก็ยังมีคนหนึ่งที่เขาพร้อมจะรอและเข้ามาเปลี่ยนแปลงเพื่อจะหาใจดวงอ่อนไหวนั้นให้เจอในโลกจริง อีกไม่นานวันที่ฉันจะหันหลังให้คนในโลกโซเซียลอาจใกล้เขามาเต็มทีแล้ว ฉันอาจต้องหันหลังแล้วยอมรับความจริงตรงหน้าและมองหน้าผู้ชายหน้าตี๋คนนี้ให้ชัด ถ้าเขารักคนอื่น หากคนอื่นคนนั้นคือฉัน ฉันก็ควรหันหลังให้โลกโซเซียลนี่ซะ แล้วมาจ้องมองแววตาเขาให้ชัดและลงลึก เพราะแววตานั้นอาจเชื่อมให้เขาเข้าใกล้ใจที่ฉันซ่อนเอาไว้ก็เป็นได้ มีเธอ.... โลกเดียวดายปลายทางดูว่างเงียบ ดำเนินเรียบพร้อมก้าวแม้นร้าวไหว ปลอบปลุกตนแกร่งกล้ามุ่งหน้าไป ศักดิ์เกรียงไกร...ศรัทธานำพาเดิน... วันเหนื่อยล้าหวาดหวั่นยากบั่นถึง มีเพียงหนึ่งเวียนลอบปลอบเผชิญ "คอยเคียงข้าง"ขับขานอยู่นานเนิ่น ยามขัดเขิน...อยู่เคียงแต่เพียงเงา... โปรดยังเป็นเช่นนั้น *อย่าผันแปร* เปรียบรักแท้คอยหวงแนบทรวงเหงา ยามเหน็บหนาว*หนึ่งนั้น*มาบรรเทา เมื่อใดเศร้า...เคียงอยู่เพียง *ผู้เดียว* แนบ*ปรอยคำ*ประทับประดับทรวง เพรงกาลล่วงผ่านวัน*รัก*ขันเกลียว อยู่เคียงฝัน เคียงเงา ใช่เปล่าเปลี่ยว คอยคล้องเกี่ยว...ทุกครายามล้าใจ... เพราะ*มีเธอ" แบ่งปัน ความฝันสวย *มีเธอ* ช่วย ประคอง ครรลองใส คือความหมาย *มีเธอ* เสมอไป นานเท่าใด หัวใจนี้ คือ*มีเธอ* จบไงอ่ะ ปอลิงลอ:- อยากเขียนเกี่ยวกับรักบ้าง ไรบ้าง จะ วาเลนไทน์แล้วน๊าาาา ขอให้หัวใจเต็มเปี่ยมไปด้วยรัก ทั้งจากคนอื่นและตัวเองมอบให้กันและกันนะคะ
ปล่อยสายตาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นแต่ลมพัดพลิ้ว ยอดดอกหญ้าไหวลู่ลิ้วตามแรงลม ฉันพยายามดึงตัวเองกลับมาไม่อยากให้ตัวเองเหม่อแบบไร้จุดหมาย "คนแบบฉันหัวใจไม่เคยหนักแน่นเอาซะเลย อ่อนไหวเกิ๊น" ฉันบ่นกับตัวเอง แม้ว่าจะดูเหมือนอ่อนไหวในบางช่วง แต่ฉันก็เข้มแข็งชอบอยู่คนเดียว แต่ขี้เหงา (ทำไมเป็นแบบนี้นะ ">;< ) ฉันกลับมาสนใจโทรศัพท์ที่อยู่ในมือแล้วเลื่อนดูเบอร์ใน Contact list ที่มีอยู่ประมาณ 100 หมายเลข ความรู้สึกตอนนี้อยากโทรหาใครสักคน ใครก็ได้ แต่ไล่ดูแล้วไม่รู้จะโทรหาใคร โทรไปทำไม? เฮ้อ..!!!! "เฮ้อ...ไม่รู้จะโทรหาใคร" ฉันบ่นพรึมพรำกับตัวเอง "เริ่มต้นวันแห่งความช้ำ หายใจก็เริ่มลำบาก.. เหมือนหัวใจเธอวันนี้ อยู่ห่างออกไปแสนไกล.." ลมหนาวพัดพลิ้วปลิวผ่านจากระเบียง ฉันปล่อยความรู้สึกล่องไป ฉันได้ยินเสียงเพลงเปิดคลอล่องมาตามสายลมหนาวเบาเบา เสียงเพลงที่แว่วมาทำให้ฉันเปลี่ยนความสนใจหันไปที่วอลลุ่มลำโพง แล้วหมุนมันเพิ่มระดับของเสียงเพลงให้ดังกระหึ่ม!!!!!!
"เริ่มต้นวันแห่งความเหงา จุดจบคงรอไม่ไกล... เหลือเวลาอยู่อีกไม่นานแล้วใช่ไหม เหลือเวลาอยู่เคียงข้างกันสั้นลงทุกที เฝ้าดูความรักเริ่มจางหาย สุดมือจะคว้าคืนมาอย่างเดิม ไม่เห็นจะมีทางไหนจะได้หวัง... เหลือเพียงไม่นาน.. " "ฉันนอยด์อะไรหนักหนา ทำไมอ่อนไหวแบบนี้ ความรู้สึกตอนนี้ตรูอกหักหรอ ไม่นี่..... เขาโน้นอกหักไม่ใช่ตรู จะซึมเศร้าไปทำไม?" ฉันบ่นพร้อมกับเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง "แค่เพียงได้รู้ ว่าคิดถึงกัน แค่เพียงเท่านั้น ที่ฉันต้องการ แค่เพียงได้รู้ ว่าคืนและวันที่ฉันนั้นต้องพ้นผ่าน ยังมีหนึ่งคนที่รอฉันอยู่ " เสียงโทรศัพท์ดังแว่วปนกับเสียงเพลงฉันมองโทรศัพท์ที่ถืออยู่ในมือ หน้าจอแสดงภาพถ่ายของหนุ่มหน้าตี๋ พร้อมชื่อและหมายเลขของคนโทรเข้ามา "พี่อรรจน์" ฉันมองผ่านเลยไปสู่ลานกว้างของทุ่งหญ้าที่ลมหนาวโลมปลิวพลิ้วสะบัด มันคงทำให้ฉันรู้สึกโปร่งโล่งสบายกว่าการที่มองรูปหนุ่มหน้าตี๋ที่โชว์ในหน้าจอโทรศัพท์ ที่ทำให้ฉันมีแต่ความอึดอัดคับข้องเกินจะบรรยายได้ ฉันปล่อยให้โทรศัพท์ดังและสั่นอยู่ในมืออย่างนั้นหลายรอบ แล้วก็เงียบไปในที่สุด ฉันไม่มีเหตุผลที่จะรับสายเขาอีก "เราคบกันโดยที่เรารู้ว่ามีวันยุติ" นี่คือสิ่งที่เขาบอก การยุติมันคงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคนเห็นแก่ตัวอย่างฉัน เพราะในเมื่ออีกใจมีเงื่อนไข เพื่อทำร้ายหรือเอาเปรียบอีกใจก็ไม่มีเหตุผลอะไร ที่จะต้องดำเนินต่อไปเพื่อทำร้ายจิตใจกันและกัน ฉันปล่อยให้เวลามันดำเนินมานานมากเกินไปแล้วหนทางที่ควรทำคือ "ยุติ" ทุกครั้งที่มีการ "ยุติ" เกิดขึ้นฉันมักเศร้า หดหู่ ที่มัวไปคิดแต่เรื่องของคนอื่น บางคนบอกกับฉันว่า "ความรักไม่มีผิดไม่มีถูก" "ไม่มีได้เปรียบเสียเปรียบ" "ความรักเหมือนผลประโยชน์ต่างตอบแทน" "หากอยากได้รักจงรักเขาตอบ" ฯลฯ และอีกมากมาย สำหรับฉันความสัมพันธ์ไม่ใช่ความรัก จุดเริ่มต้นของการเรียนรู้ระหว่างกันถ้าใช่ก็คบต่อไปแบบรู้ว่าต้องมีวันยุติ แต่ถ้าไม่ใช่ก็ทางใครทางมัน ฉันเคยอ่านเจอในบทความของใครคนหนึ่ง เขาบอกว่า "ความดึงดูดระหว่างชาย-หญิงมีวันหมดอายุ" ซึ่งเป็นผลที่มาจากกามคุณ "รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส" ตลอดระยะเวลาที่ผ่านฉันรู้สึกเฉย ไม่อยากครอบครอง ไม่อยากเจอ ไม่อยากได้ยินเสียง ไม่อยากใกล้ ทุกครั้งที่มองใบหน้าขาวแบบคนจีนก็ทำให้นิ่งในรู้สึก ฉันไม่น่าไปดูดวงมาเล้ยยยยให้.......ตายเถอะ ไม่งั้นคงไม่เกิดจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่เฉยๆ แบบนี้ เขาบอกกับฉันว่า "พี่ก็เคยคบคนอื่นนะ แต่ที่ผ่านมาทุกคนไม่เหมือนหนู" ฉันควรขอบคุณเขาหรือเปล่านะที่ได้ยินแบบนี้ ฉันพบเขาแบบไม่ทันตั้งตัวอยู่ในช่วงจังหวะที่หมอดูทักไว้ จึงลองปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินมานานเกินไปแล้ว ความรักควรจะก่อตัวขึ้นกลางใจแต่กลับกลายเป็นถูกกรีดซ้ำแผลเป็นที่เคยมีทำให้ต้องกั้นระยะห่างไว้ ฉันบอกเคยเขาว่า "น้องจะโทร.หาเมื่อคิดถึง แต่ถ้าพี่อรรจน์คิดถึงน้องก็โทร.ได้ตลอดเวลา" แต่ที่ผ่านมาฉันไม่เคยโทรหาเขาเลย แต่เขาก็ยังโทร.มาสม่ำเสมอในช่วงแรก แต่หลังๆ คงเบื่อที่จะคุยอยู่คนเดียว เบื่อที่จะหาเรื่องมาเล่าให้ฉันหัวเราะ ตลกฝืดๆ ของเขา มันคือความไม่สมดุลสินะจนเขาค่อนขอดมา "ถ้าเกิดพี่ตาย เพราะอุบัติเหตุ หรืออะไรก็แล้วแต่คงไม่ได้มาเผากันหรอกมั่ง" เป็นผู้ชายมาดขรึมแต่เวลาเหน็บก็เจ็บเลือดไหลซิบคือผู้ชายคนนี้ คงเป็นเพราะฉันรักตัวเอง คิดถึงแต่ตัวเอง มันกลายเป็นความกลัว กลัวว่าเมื่อมีใครที่เดินเข้ามาแล้วเขาจะมาเอาเวลาที่มีไป ฉันยังอยาก "ไปเที่ยวกับเพื่อนๆ" "นอนอ่านหนังสือทั้งวันแบบไม่ต้องลุกไปไหน" "เพ้อฝันคิดพล็อตเรื่องสั้น-นิยาย ได้แบบหวานๆ" "อยากไปไหนตอนไหนก็ไม่ต้องกังวล" และที่สำคัญฉันอยากตั้งจิตอธิษฐานสัจจะไว้กับบางอย่างซึ่งกำลังใจต้องเต็ม... แต่ตอนนี้ฉันรู้ว่ายังไม่ถึงเวลาเมื่อช่วงจังหวะมาถึงฉันจะตั้งสัจจะนั้น
ถ้าหากว่า... มันอึดอัดก็ควรหยุดมันซะ อย่าให้มันอึดอัด อย่าให้มันต้องเหนื่อยล้าต่อไป ระยะเวลาที่ผ่านมาแม้ว่าคบกันแบบเฉยๆ ฉันอยู่ได้คนเดียว ทำอะไรคนเดียว ฉันเข้มแข็งมากเกินไปที่จะมีใครมาดูแล พี่อรรจน์คนไม่มีเวลาเคยบอกว่า "ดีแล้วที่หนูเข้มแข็งดูแลตัวเองได้ พี่จะได้ไม่ห่วง" ความเป็นจริงฉันอยากได้อิสระสำหรับทำทุกเรื่องต่างหาก ไม่ต้องมาดูแลห่วงใยใส่ใจฉันเพราะมันจะทำให้ฉันอึดอัด แต่ทุกครั้งที่เขาทวงถามความห่วงใยจากฉัน ฉันมักบอกได้ไม่เต็มปาก "ห่วงสิคะ" เพราะเขามีคนคอยห่วงใยมากมาย แต่ฉันกลับไม่มีใครเลยในวันที่อ่อนแอ (ความจริงก็มีนะถ้าคนเหล่านั้นรู้ แต่ใครละอยากให้คนรอบข้างไม่สบายใจ) จนฉันถูกตั้งคำถามจากผู้ใหญ่ "การที่เขาโทร.หาก็แสดงว่าห่วงใย แล้วทำไม? เราไม่โทร.หาเขาบ้างล่ะ" จริงหรอ? "ห่วงใย" แต่ฉันคิดมุมกลับว่าเขาเองก็แค่ "เหงา" อยากคุยกับใครสักคน เพราะทุกครั้งที่โทร.มาเขาเหมือนห่วงใยก็จริงแต่แฝงไว้ด้วยผลประโยชน์ ต้องมีสักอย่างสิหน่าในแต่ละครั้ง ฉันตั้งใจจะให้ของขวัญตัวเองอีกครั้งในปีนี้ ด้วยการเอาอิสระที่มีทั้งหมดคืน (ซึ่งความเป็นจริงไม่เคยมีใครแย่งมันไปจากฉันได้โฮ๊ะ โฮ๊ะ....) ฉันจะขอ "ยุติ" และให้อิสระแก่เขา ให้ความสัมพันธ์ที่เหลือเป็นเพียงคนรู้จัก ไม่ต้องไปทานข้าวตามเวลานัด ไม่ต้องโทร.หาตามหน้าที่ เขาไม่ต้องฝืนทำหน้าตาตี่ ยิ้มร่าว่าห่วงใย เขาเป็นผู้ชายที่ผู้หญิงหลายคนอยากครองไม่ใช่พูดเว่อร์เกินไป เชื่อเถอะว่าจริง ด้วย option ที่เขามี รูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ รับประกันด้วยภาพลักษณ์ที่โก้หรู ขับเบนซ์กินลม ชมหูฉลาม 555 ??? ทัวร์ทานอาหารจีน 555 ไม่เว่อร์เชื่อเถอะ!!!!!!
แต่สำหรับฉันนั้นไม่ใช่เป้าหมายสูงสุด และไม่ใช่คำตอบทั้งหมดในชีวิตเพราะทุกคนมีเป้าหมายแตกต่างกันไปกาไม่ควรอยู่เคียงคู่หงส์ เป็นกาดงควรอยู่ในป่าพนาสัณฑ์ วิเวกอย่างอิสระ เรียบง่าย สงบสุข นอยมาจากคำว่า Paranoia ( แพ - ระ - นอย - อะ ) เป็นโรคหรือภาระทางจิตชนิดหนึ่ง คือ ผู้ป่วยจะมีอาการหวาดระแวงหลงผิดว่าคนอื่นจะมาทำร้ายเขา บางคนไม่กล้าไปไหนเพราะเชื่อว่ามีคนมาล่าเขาทั้ง ๆ ที่ไม่เป็นความจริง ผู้ที่รู้สึกอย่างนี้เรียกว่า paranoid ( เช่น He is paranoid, I am paranoid เป็นต้น ) แต่คำนี้กลายเป็นสำนวนแล้ว จะใช้อธิบายเมื่อใคร ๆ คิดมาก กังวลมากเกินไป กลัวคนหรือสถานการณ์ที่ไม่น่าเกิดขึ้น