17 ตุลาคม 2550 07:56 น.
แมงกุ๊ดจี่
เสียงลมพัดพลิ้วมาเป็นระลอกริ้ว
ส่งผลทำให้กิ่งไม้ ใบไม้ปลิวอยู่ไหว ไหว...
แต่เหตุใด หัวใจจึงไหวตามการเคลื่อนไหวของใบไม้...
ดึกสงัดแล้ว แต่ทำไม ? ดวงตาจึงแข็งทื่อไม่ยอมปิดลงเลย...
ฉันนั่งรับลมอยู่ระเบียงหลังบ้าน....
นั่งอยู่เป็นนานแล้ว ตั้งแต่หัวค่ำจนดึกดื่น...
คอยเหม่อมองดูดวงตะวันยอแสง จนกระทั่งลาลับไปไร้สิ้นแสง
ก้มซบหน้ากับเข่า ท่านั่งชันขึ้นบนเก้าอี้โยก ตัวโปรดของพ่อ...
ผ่านไปอีกแล้วหนึ่งวันอีกไม่นาน"พรุ่งนี้ก็เช้าแล้ว" ฉันบอกตัวเองพรึมพรำอย่างเบา
เร็วจังอีกไม่นานก็จวนจะสิ้นปีแล้ว "ตุลาคม พฤศจิกายน และธันวาคม" จะพ้นไป
นั่งทอดถอนลมหายใจหลายรอบแล้ว แต่ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังวิตกกังวลกับสิ่งใดหนอ?
ฤดูกาลผ่านผันเร็วบ้าง ช้าบ้าง บางครั้งก็ไม่รู้สึกเลยว่ามันผ่านพ้นไป ถึงไหน ไหน.
ฉันเงยหน้ามองท้องฟ้า...
ฟ้าสวยดี ฤดูกาลนี้ น้ำค้างกำลังเริ่มลงอากาศเย็นวาบกระทบผิวยามลมโชยมาแต่ละที
เสียงเพลงที่เปิดไว้คลอแว่วมาตามสายลม เหงาดีแท้ บรรยากาศนี้บทเพลงก็ช่างเหลือ
ช่างบังเอิญเล่น ถึงเพลงที่เข้ากับบรรยากาศแท้....
"ผ่านลมหนาว จะกี่คราวก็ยังเหมือนเดิม ไม่มีใครให้ใจอุ่น
อยากจะหา คนที่ทำให้ใจสมดุลย์ แต่ไม่เคยสมหวังสักที... "
ลมหนาววาบหวิว น้ำค้างก็หนาววูบวาบแท้ แต่อารมณ์นี้ไม่เห็นกลัวเป็นไข้สักนิดเลย
ฟังเพลงแล้วทำให้คิดย้อนกลับไป เมื่ออดีต เจ็บร้าวหนาวเหน็บแบบสะใจไร้คำตอบ
ความปวดร้าวบวกกับอากาศเย็นทำให้สะท้อนผิวกายร้าวไปถึงหัวใจเชียว เง้อความรัก
ทำให้คิดถึงประโยคหนึ่งที่เคยเห็นบ่อย ๆ ในหน้าเว็ป "อารมณ์คนในอารมณ์เพลง"
มันก็จริงนะคน "เหงาได้ขนาดนี้เชียว อารมณ์คนอ่อนไหว"
"ใกล้หน้าหนาวทุกครั้ง ไม่มีคนคอยคิดถึง
อยากมีใครให้รัก ให้ซึ้ง เหมือนคนอื่นเขา
ใกล้หน้าหนาวทุกครั้ง คล้ายฤดูกาลยิ่งเหงา
ต้องทนหนาวกับใจที่เหงา คนเดียวอย่างเดิม... "
อากาศแบบนี้ บรรยายเหงา ๆ มองดาวบนฟ้าก็พอทำให้ผ่อนคลายได้บ้างในรู้สึก
"ความคิดถึงเกิดขึ้นเมื่อคิดถึง" ทำให้คิดถึงประโยคนี้จัง อารมณ์เหงารุมเร้ายกใหญ่
หัวใจสั่นคลอน ปลดล่องลอยไป ตามลมหนาวที่พัดพลิ้ว ลิ้วล้อกับน้ำค้างกลางหาว
บนฟ้าดวงดาวสวยงามฟ้าเปิดปลอดโปรงดีจัง ระยิบระยับแวววาวแสงดาวพราวเต็มฟ้า
"ลมหนาวมาเมื่อใด ใจฉันคงยิ่งเหงา
คืนวันที่มันเหน็บหนาว ไม่รู้จะทนได้นานเท่าไร
ลมหนาวมาเมื่อใด กลัวฉันกลัวขาดใจ เพราะหัวใจ
ที่มันอ่อนไหว ไม่เคยได้รักจากใคร เสียที... "
แม่จ๋า.....
บางเสี้ยวอารมณ์ ยากจะข่มให้ความแปรปรวนในอารมณ์คงดังเดิมเช่นปกติยากจริง
นานแล้วที่ไม่ออกมารับบรรยากาศแบบลูกทุ่ง ๆ บ้านนาของบรรยากาศที่จิตสำนึกนั้น
คอยโหยหาอยู่เสมอ ๆ แต่ไม่ค่อยได้มาสัมผัสกับบรรยากาศนี้สักเท่าไหร่ เนิ่นนาน...
เนิ่นนานมาก จนทนอาการร่ำร้องของหัวใจตัวเองไม่ไหว...
หมอกควันคละคลุ้งมันรู้สึกเย็นวาบแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างกาย ฉันลืมหายใจหรือ ?
ก็ไม่นิ แต่ในรู้สึกเหมือนฉันไม่ได้หายใจ ไม่มีการสูบลมเข้าปอดและไม่รู้สึกว่า...
ผายลมออกจากปอด รู้สึกตัวเบาสบายคล้ายล่องลอยอยู่กลางอากาศ ฉันมองรอบตัว
เห็นแต่ควันสีขาว แต่สักพักเริ่มจาง ๆ กลายเป็นสว่างจ้า...
"แหลม...แหลม " ฉันรู้สึกตกใจและระคนดีใจที่ได้ยินเสียงคุ้นเคยที่ดังมาจากด้านหลัง
ฉันรีบหันหลังกลับไปดู เพราะคนที่จะเรียกฉันมีแค่สองคน มีแม่ และพ่อ เท่านั้น
ภาพที่ปรากฏตรงหน้านั้นทำฉันยิ้มดีใจ นั้นแม่นี่นา วันนี้แม่สวยจังแม่ใส่ผ้าซิ่นไหมแท้
สีเม็ดมะขามเป็นไหมมัดหมี่ที่ท่านทอเองกับมือ และใส่เสื้อผ้าหางกระรอกสีออกน้ำตาล
ที่พี่สาวซื้อผ้าฝากจากกรุงเทพ ฯ แล้วนำไปตัดเป็นเสื้อให้เข้าชุดกับผ้าซิ่นไหมแท้ของแม่
ท่านสวยมาก หน้าตาผ่องใส ผิวพรรณดูผุดผาด แววตาแจ่มใส ยิ้มอบอุ่นให้ฉันแต่ไกล
"แหลม แหลม " ได้ยินเสียงดังมาจากข้างหลังทำฉันสะดุ้ง นี่มันเสียงพ่อนี่นา เง้อ..อ..อ
ฉันทำหน้าตางัวเงีย ค่อย ๆ หรี่ตาข้างนึ่ง อ้าวสว่างจ้าแล้วนี่หว่า เง้อ.อ..อ พ่อเปิดไฟ
"บ่ย่านติ มานั่งหยังอยู่หนี่ โอโต๋นิเนาะ" เสียงพ่อเอ็ดดังก่อนเดินไปเปิดหลอดไฟอีกดวง
"ฟืนไฟกะบ่เปิดน้อ อยู่คนเดียวกะ บ่ย่านหยังเนาะ" คำพูดของพ่อทำให้ฉันนึกขึ้นได้
ว่าตัวเองนั่งตั้งหัวค่ำจนดึกดื่นแล้วก็เผลอหลับไป....
"ฮาดดดดด เช๊ย.ย..ย...ย " คัดจมูกจริงวุ้ยส์....
"เปนได๋ เปนไข่คั๊กบาดนิ ใหย๋ปานนิกะบ่จักความเนาะ" เสียงพี่แกบ่น ๆ เง้อ.อ..อ
ฉันไม่มีข้อโต้แย้งใด ใด เพราะตัวเองก็ผิดจริง โตขนาดนี้แล้วยังมานั่งตากน้ำค้างอยู่อีก
มิหน่ำซ้ำ นั่งตากลมจนมือซีดเลย หวัดรับประทานละคร๊าบบบบทั่น...
ฉันนั่งมองสังเกตอาการกริยาของพ่ออยู่พักหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรกับท่านได้แต่มอง
"ไป๋แมะไปนอน ยังมานั่งหยังอยู่หนี่ " แล้วท่านก็เดินไปปิดหลอดไฟ ที่อยู่ด้านใต้ถุน
แล้วเปิดไว้แต่ระเบียงหลังบ้าน ฉันเข้าไปในบ้านแบบไม่มีอาการขัดเคือง ให้ท่านว่าต่อ
"หายากินซะเด้อ."เสียงพี่แกตะโกนสั่งตามมาจากข้างหลัง ฉันเองไม่ได้หันกลับไปมอง..
ฉันงอนพ่อมานานแล้ว มันได้หลายเดือนแล้ว...
มันมีวันหยุดติดกันหลายวัน จึงออกมาเปลี่ยนบรรยากาศที่บ้าน มันเป็นครั้งแรกเลยล่ะ
ในรอบหลายเดือน ฉันไม่เคยโผล่หัวมาเลย พ่อให้พี่สาวโทร.ตามก็ไม่ยอมออกไปหา
แต่ท่านก็รู้ว่าฉันเป็นคนที่ได้อุปนิสัยของท่านมากที่สุดในจำนวนลูกทั้งหมด ฉันถอดมา
ถอดแบบพิมพ์เดียวกับท่านเลยเชียว ซึ่งท่านก็รู้ว่าฉันดื้อ รั้น เลี้ยงยาก และนิสัยเด็ดขาด
กว่าใคร ๆ ซึ่งมากกว่าพี่ชายของฉันเสียอีก...
เดินเข้ามาถึงห้องนอนทำให้นึกถึงสิ่งที่กึ่งฝัน กึ่งตื่นก่อนนี้...
แม่คงดีใจ ที่ฉันกลับมาบ้าน ฉันคงบาปไม่น้อยที่ทำตัวแบบนี้ แต่ทำไงได้ล่ะเน้อ...
ก็คนเรามันมีเหตุผลนี่นา แม่ก็รู้นี่....ว่าพ่อเป็นไง เง้อ.อ..อ...อ ไม่วายแก้ตัวแล้วตรู
แต่ฉันก็ไม่ลืมสัญญา ที่รับปากกับแม่ไว้หรอกหน่า... ก็ฉันยังโทร.ถามข่าวคราวของพ่อ
กับพี่สาวประจำ ๆ เพียงแต่ไม่ได้ออกมาพบปะหน้าเท่านั้นเอง...
แม่จ๋า...
หนูจะไม่ลืมสัญญา...
----------------------------------------------------------------------------------------------
สัญญาณลมหนาวอีกครา "ตุลาคม"
ถึงคราวขม...เมื่อเข้าสู่...ฤดูหนาว
คนเดียวดายหนาวเหน็บเร้นเจ็บร้าว
เมื่อทุกคราว...ยังคงเป็นเช่นผ่านมา...
----------------------------------------------------------------------------------------------
13 ตุลาคม 2550 12:59 น.
แมงกุ๊ดจี่
ช่วงเวลาชีวิต...
เหมือนบางครั้งก็รู้สึกว่าช้า บางครั้งก็รู้สึกว่าเร็ว....
ปีนี้เหมือนเป็นปีที่ถูกบ่วงกรรมตามมาสนองหรือไรหนอ?
ฉันเชื่อเรื่องกรรม และเชื่อเรื่องโชคชะตา ว่าคนทุกคนถูกกำหนดไว้แล้ว
ปีพุทธศักราช 2550
ปีนี้ฉันพบเจอเรื่องราวเลวร้ายมากมาย แต่ก็ไม่เท่ากับ ปีพ.ศ.2546
เหมือนทุก ๆ วันของการดำเนินชีวิตก็เป็นไปก็คือความซ้ำซากจำเจ...
แต่ผู้คนที่ผ่านเข้ามาให้รู้จัก ได้มีโอกาสได้เรียนรู้ หลากหลายเรื่องราว
มันปฏิเสธไม่ได้ที่จะบอกว่า "เปล่าเลยฉันไม่รู้สึกอะไรเลย " เพราะนั่นคือ
"การโกหกตัวเอง และโกหกคนอื่นอยู่" แต่ก็ต้องโกหกเพื่อให้ลืมทุกอย่างไป...
ศกนี้จวนจนจะสิ้นแล้ว....
ขอทุกอย่างโปรดผ่านพ้นไปด้วยดี
เมื่อปลายปีพุทธศักราช 2548 ฉันกลับมาเป็นคนเดิมที่หัวใจว่างเปล่า
แต่คงเหลือรอยความเจ็บปวดไว้... ระยะเวลาสองปี ที่เยี่ยวยารักษาหัวใจ
เพื่อให้ชาชินกับความเหงาเดียวดายอย่างเคย... ที่จริงมันก็ไม่ยากนักหรอก
เพราะฉันเป็นนักสู้มาตั้งแต่เด็กจนโตแล้ว กะอิแค่ เรื่องแค่นี้ทำไม? ฉันจะทำไม่ได้
มันแน่อยู่แล้วฉันต้องทำได้ ฉันบอกตัวเองเสมอ...
ศกนี้ดูเหมือนจะวุ่นวาย
โชคชะตากำลังพยายามเล่นตลกอะไรกันหนอ?
ฉันต้องชดใช้หรือไรกันนะ หากต้องชดใช้ก็คงต้องทำตามนั้น
เพื่อให้หมดเวรซึ่งกันและกัน ภพชาติต่อไปก็อย่าเจอะเจอกันอีกเลย...
หากจิตอธิษฐานแล้วเป็นจริงฉันจักอธิษฐาน ภพหน้าขอเกิดเป็นชายด้วยเถิด...
ความวุ่นวายเกิดขึ้น...เมื่อฉันได้พบกับชายหนุ่มสองคน
ที่ระยะห่างกันแค่ไม่กี่เดือน เหมือนเขาทั้งคู่มาสร้างความวุ่นวาย
และทำให้ชีวิตระส่ำระสายจนอยากจะหนีไปให้ไกล ไกล จากเรื่องวุ่น ๆ
ฉันเจอ "พี่กริช" ปลายเดือนมีนาคม
เขาเป็นเพื่อนกับพี่ที่ทำงานอายุ 36 ปี มีกิจการส่วนตัว
ร่วมหุ้นกันกับเพื่อน นี่คือสิ่งที่เขาบอกเล่า ฉันเองไม่เคยพิสูจน์ว่าจริงไม่จริง...
เขาพยายามดูแลเอาใจใส่ ผู้หญิงที่เอาแต่ใจ รักความอิสระเสรีเป็นชีวิตจิตใจ
แต่ก็ยังไม่เคยชนะใจฉัน แต่ฉันก็ไม่ได้ปฏิเสธว่าไม่คบหากับเขา...
เพราะฉันคิดว่า...มีคนรักดีกว่ามีคนเกลียด คบกันเป็นเพื่อนเป็นพี่เป็นคนรู้จัก
เผื่อมีอะไรก็ช่วยเหลือกันไป เมื่อเราลำบากหรือ เกิดอุบัติเหตุข้างทาง
เขาอาจช่วยเราได้... ฉันคบเขาด้วยความบริสุทธิ์ใจ...
แต่เมื่อเวลาผันผ่านไป ลายเริ่มออก คำพูดโกหกเริ่มมีมาให้ฟัง บ่อยขึ้น...
อย่างสม่ำเสมอในระยะหลัง และบางสิ่งเริ่มจะไม่ถูกใจฉันนักแล้ว แต่ก็ไม่ได้โวยอะไร?
เพราะคิดว่าสิทธิ์ของเขา ดูเหมือนว่าเขาสนุกกับการที่ได้โกหกฉันและภาคภูมิใจ
ที่ผู้หญิงคนหนึ่งโง่ได้ขนาดนี้ ฉันไม่ถือสาเพราะวันหนึ่ง เขาคงจะรู้
แต่กว่าจะรู้ก็ต่อเมื่อสัมพันธ์มันขาดสะบั้นนั้นเอง...
ช่วงเวลาต่อมาไม่นาน ฉันได้พบ "พี่เอก"
เขาเป็นผู้รับเหมา อายุ 37 ปีมีกิจการห้างหุ้นส่วนเกี่ยวกับรับเหมาก่อสร้าง
ที่ดำเนินกิจการมาตั้งแต่รุ่นพ่อ...อันนี้ฉันเห็นด้วยตาเพราะเราติดต่อกับเกี่ยวกับ
ข้อมูลเกี่ยวกับกิจการของเขาอยู่แล้ว ซึ่งเราพบกันเพราะเรื่องงาน และมีนัดกินข้าวกัน
เพราะเรื่องงานอยู่เสมอ ๆ จนรู้ภายหลังว่าเขาเอางานมาบังหน้าหาเรื่องนัดกินข้าว...
ฉันก็เริ่มจะห่าง ๆ บ้างเพราะคิดว่าเขาคงใช้เป็นสะพานเพื่อผลประโยชน์ของเขาก็ได้...
แต่เขาก็ยังคอยโทร.มา ซึ่งฉันรู้และเข้าใจ ว่าเขาต้องการสานสัมพันธ์แบบไหน?
เราเริ่มพบกันบ่อยขึ้น พี่เอกจะมารับหลังเลิกงาน...
เราคุยกันรู้เรื่องดี เข้าใจได้ทันที และพี่เขาไม่โกหก ฉันชอบ...
และอุ่นใจดีที่เขาคุยเป็นพี่ใหญ่ และให้คำปรึกษาได้... ฉันเอาแต่ใจแค่ไหน?
พี่เอกก็ไม่เคยตำหนิเพราะรู้ว่าฉันรักอิสระ พี่เอกเข้าใจดี ว่าฉันชอบทำอะไรตามใจตัวเอง...
แต่พี่เอกก็มีวิธีทำให้ฉันเชื่องได้ไม่ยาก เพราะความใจเย็น และใจดีของเขา...
ทำให้ฉันยอมรับฟัง และใช้เหตุผลมาแย้งความคิดของฉันจนต้องยอมแพ้ไปเอง....
---------------------------------------------------------------------------------------------------
หากจะเปรียบกันแล้ว ฉันคงเหมาะสมกับพี่กริช มากกว่า พี่เอก...
แต่หากจะรัก ฉันคิดว่าฉันควรจะรัก พี่เอก เพราะเขาไม่เคยโกหกฉันเลย
ทุกอย่างคือเขาบริสุทธิ์ใจ แต่พี่เอก ดูเหมือนจะเกินเอื้อมสำหรับฉันเกินไป
เพราะว่า...หมายถึงการยอมรับจากครอบครัวของเขาด้วย...
ฉันไม่ต้องการเลือกใครสักคน...
ไม่ใช่ว่าต้องการค้นหาใครอีกหลายคน แต่เหมือนคนหนึ่งขาด
แต่อีกคนหนึ่งมีมากเกินไป จนต้องหันกลับมามองตัวเองว่าคู่ควรเขามั้ย?
โชคชะตาเล่นตลกอะไรกับฉันหน่ะ อีกคนหนึ่งขู่จะฆ่าฉัน แต่อีกคนกลับพร้อม
จะดูแลให้ความรู้สึกอบอุ่นใจ ความผิดตกอยู่ที่ฉัน เพราะฉันคบสองคนไปพร้อม ๆ กัน
ผ่านพ้นศกนี้ไป...
ฉันวาดหวังให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปด้วยดี อย่าได้มีใครเป็นอะไรเลย...
เหมือนกับเวลาใกล้ความตายเข้ามาทุกที ฉันรู้สึกเคลียดเริ่มนอนไม่หลับ
หลับ ๆ ตื่น ๆ ไม่เคยเป็นสุขเลย... แต่ก็หาหนทางออกไม่ได้ ทำได้เพียงปล่อย....
ปล่อยให้มันเป็นไปตามที่ควรจะเป็น ตามที่โชคชะตาได้กำหนดขีดเส้นไว้ให้แล้ว...
ฉันแค่....แค่อยากระบาย...
ไม่ได้ต้องการโม้ โอ้อวดอะไร เพื่อให้ใครหยามเยียดหรอก...
มันอัดอั้นกับเรื่องราวที่ดำเนินมา บางอารมณ์ฉันก็อดที่จะโยนความผิดให้กับโชคชะตา
ที่ชักนำให้พบเรื่องราวต่างๆ ฉันอยากพบความพอดีของชีวิตเท่านั้นเองเพราะฉันเหนื่อย
เหนื่อยกับชีวิตที่ต้องลิขิตให้เดินไปตามเส้นชะตาของตัวเองแล้ว...
หมอดูเคยทักเรื่องนี้
แต่ฉันเองไม่เคยคิดว่าจะเป็นจริง กรรมของฉันเขาบอกแบบนี้
มีวิธีแก้กรรมคือการบำเพ็ญกุศล รักษาศีลภาวนา ปฏิบัติธรรม และทำทาน
ให้เป็นกิจวัตร....
***********************************************************************************
ขออภัย...
ผู้ที่เขามาอ่าน บางทีคุณอาจไม่ชอบใจ...
.