5 ตุลาคม 2547 09:21 น.
แมงกุ๊ดจี่
.....อากาศยามเช้าสดใส มีหมอกจางๆ เป็นควันควะฟุ้ง
เด็กสาววัย 18 ปี
เธอ ขี่ม้าออกมารับอากาศยามเช้า
หลังจากนอนป่วยด้วยไข้หวัดมาหลายวัน
เช้ามืดของหมู่บ้านแห่งนี้
ซึ่งเป็นที่ ที่เธอคุ้นเคยมาตั้งแต่ครั้งยังเป็นเด็กเล็กจนเติบใหญ่
เธอรู้ดีว่าที่นี่จะไม่เป็นภัยสำหรับเธอแน่ๆ
เมื่อขี่ม้ามาถึงบริเวณที่ ที่เธอโปรดปราน
เป็นบริเวณที่ทิวทัศน์สวยงาม
มองเห็นทะเลหมอกลดลั่นเป็นชั้นซ้อนของยอดเขาสูง
ถึงจุดหมายกลับมีเงาตะคุ้มๆ
อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่
ท่าทางเหมือนเขาต้องการความช่วยเหลือ
เธอจึงลงจากหลังม้า
ในใจก็พลางคิดไปว่า
น่าจะตามคนมาช่วยน่าจะดี
แต่ก็คิดอีกใจหนึ่ง
เธอน่าจะไปดูเขาก่อน
เผื่อเขาต้องการความช่วยเหลือ
แล้วค่อยตามชาวบ้านมาทีหลังก็คงไม่สายไป
"คุณค่ะ คุณ......"
ไม่มีเสียงตอบรับจากคนที่เธอเรียก
ทำให้ต้องเดินเข้าไปใกล้อีกนิด
เขาคงไม่ได้ยินเสียงเรียกถนัดดีนัก
มีเสียงพูดอู้อี้ฟังดูเหมือนคนเมา
เสียงนั้นพร้อมร่างใหญ่นั้นลุกขึ้นมาหา
ชายร่างใหญ่นั้นไม่ทันให้เธอได้ตั้งตัว
เขาก็จับมือเธอดึงกระชากเข้าหาตัวอย่างหือกระหาย
สาวน้อยตกใจ จะตะโกนให้ใครช่วยก็ไม่มีเสียง
เธอเป็นไข้หวัดใหญ่ หวัดลงคอ เพิ่งจะหาย
ทำให้เสียงที่แผดออกมานั้น
มาแต่เสียงที่แหบแห้ง ไม่มีเสียง
เค้าซอกไซร้ซอกคอ
เธอกรีดร้องมาอย่างหวาด แต่...ก็ไม่มีเสียง
พยายามขัดขืนอย่างสุดชีวิต
แต่ก็สู้แรงไม่ได้ได้
ชายร่างใหญ่ทำกับเธอได้อย่างป่าเถื่อนที่สุด
ด้วยความเมา เขาในใจคิดว่าผู้หญิงคนนี้
ก็เป็นแค่ผู้หญิงอย่างว่า
ไม่ต้องถนุถนอม
เจนโลกแล้วไม่จำเป็นต้องอ่อนโยน
เขาโถมอารมณ์ใคร่อย่างรื่นเริง
รุนแรง โดยไม่ได้มองหน้าหญิงสาวว่าเป็นใคร
สาวน้อยตกใจแทบสิ้นสติ
แต่ทำไมจึงยอม... รู้สึกตรึงหน้าหว่างขา
แล้วเธอก็ต้องเจ็บปวด
เหมือนร่างกายจะแหลกเป็นชิ้นๆ เสียให้ได้
แต่ความหวาดกลัวไม่ได้ลดน้อยลงเลย
ผู้ชายคนนี้เหมือนซาตาน ที่ฆ่าเธอให้ตายทั้งเป็น
เธอค่อยลุกขึ้นพร้อมความอ่อนแรง
ร่างกายเต็มไปด้วยรอยฝอกช้ำ ดำเขียว
เธอสวมเสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยคราบเลือด
แดงจนเลอะไปหมดทั้งตัว
แล้วซุกตัวอยู่ในกอหญ้า
สีหน้าตื่นกลัวยังไม่จางไปจากใบหน้าใสๆ นั้น
สาวน้อยนั่งเหม่อ ร่างการสั่นเทา
เหมือนคนสิ้นสติไปแล้ว
"คุณหนู........" โอ้พระเจ้าช่วย!
ลุงชัยขี่จักรยานมาพอดี
เพราะเป็นเวลาฟ้ากระจ่างแล้ว
ลุงชัยแทบครองสติไม่อยู่
เมื่อเห็นสาวน้อยหน้าสวยอยู่ในสภาพที่
น่าสงสารและแสนเวทนา
จากสภาพที่เห็นลุงชัยแทบไม่ต้องคิดว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น
สาวน้อยสั่นกลัว ร้องไห้สะอึ้นไม่หยุด
มองหน้าลุงชัยอย่างวิงวอน
"ทำไม? ถึงเคราะห์ร้ายอย่างนี้นะคุณหนู"
ลุงชัยจึงต้องทำอะไรสักอย่างเสียแล้ว
จักรยานที่ขี่มามีเชือกติดมาด้วย
นึกขึ้นได้ลุงชัยไม่รอช้า
รีบไปหยิบเชือก ไปมัดชายแปลกหน้าที่เมาไม่ได้สติ
ผูกติดกับต้นไม้อยู่ตรงนั้น
เขารีบไปตามภรรยา ที่บ้านอยู่ไม่ห่างจากที่เกิดเหตุไม่ไกลเท่าใด
ให้มาอยู่เป็นเพื่อนสาวน้อยก่อนที่เขาจะไปตามพ่อของเธอ
ลุงชัยรีบขี่จักรยานมุ่งไปที่ไร่ ภูตะวัน
เพื่อแจ้งข่าวลูกสาวเจ้าของไร่
"ท่านครับ ท่าน..."
"มีอะไรหรือ ชัย"
เศรษฐ์ ผู้ชายวันสี่สิบเศษ หน้าตาใจดี
แต่สงบนิ่ง สมวัย เดินออกมารับแขกที่หน้าตาตื่นมา
"คุณ....คุณหนูครับ"
"ยายหนู เจอยายหนูใช่มั้ย ? นี่ก็ตามตัวอยู่เหมือนกันนะสิ
เห็นเจ้าหมอก วิ่งกลับคอก แต่ไม่มีคนบนหลังม้า ฉันก็เป็นห่วงมาก"
"ครับ ท่านรีบไปรับคุณหนูเถอะครับ ดูท่าจะตกใจมาก"
ลุงชัยไม่ทันได้บอกว่าเกิดอะไรขึ้น
เพียงแต่บอกว่าคุณหนูที่เขาเรียก
ต้องการคุณพ่อเป็นอย่างมากตอนนี้
เศรษฐ์ รีบขับรถไปรับลูกสาว
เขาได้แต่ภาวนาว่าสิ่งที่เขาคิดคงไม่ใช่
และคงไม่เกิดกับลูกสาวของตนแน่
เขาพยามคิดว่า ยายหนู ของเขาคงจะตกหลังม้า
หรือบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย เพราะผู้คนที่นี่ก็รู้จักยายหนูดี
คงไม่มีใครกล้าทำร้ายลูกสาวของผู้มีอิทธิพล
อิทธิพลที่ว่า ไม่ใช่เพราะอำนาจบังคับขู่เข็ญ แต่อย่างใด
แต่เป็นความดีงามที่คอยช่วยเหลือชาวบ้าน ระแวกนี้
เศรษฐ์ เมื่อเขาถึงที่เกิดเหตุ
ภาพที่เห็นเขาแทบสิ้นสติ
ภาพลูกสาว นั่งตัวสั่น ร้องไห้สะอึ้น
ใบหน้าหวาดกลัวไม่จางจากเหตุการณ์ที่ผ่านมาเลย
ลูกสาวที่เขาเลี้ยงดูมาด้วยความถนุถนอม ดูแลเป็นอย่างดี
ที่เขาให้ชื่อว่า "ปริมประภัสณ์"
ปริมประภัสณ์ เห็นบิดามาเธอดีใจ อุ่นใจ
พระผู้ใจดีมาโปรดเธอแล้ว เธอโผลเข้ากอดบิดา
สะอึ้นในอกกว้างนั้น
"ใคร ใครมันทำยายหนูของพ่อ"
ปริมประภัสณ์ไม่มีคำตอบมีแต่เสียงสะอึ้น
ที่มาจากก้นบึ้งของความเจ็บปวด
ลุงชมกับภรรยา
บอกเศรษฐ์พาปริมประภัสณ์กลับบ้านเสียก่อน
และให้หมอตรวจเช็คดูร่างกาย โดยด่วน
เพื่อให้ปริมประภัสณ์ได้พักผ่อน
"เดี๋ยวทางนี้ผมจะดูไว้ให้ครับ
จะไม่ให้หนีไปไหน ครับ ท่านรีบพาคุณหนู
กลับก่อนเถอะครับ"
"ชัย ช่วยทีนะ และฉันขอร้อง
ให้ปิดเรื่องนี้เป็นความลับ
นึกว่าสงสารยายหนูเถอะนะ"
"ครับท่าน"
ลุงชัยรับปาก ทำไม?เขาจะทำให้ไม่ได้เรื่องแค่นี้
ในเมื่อเศรษฐ์เจ้าของไร่ "ภูตะวัน"
มีพระคุณกับเขา แบบชดใช้ให้ก็ไม่หมด
เศรษฐ์พาปริมประภัสณ์กลับบ้านระหว่างทางเขาก็ได้โทร.
ตามหมอพงษ์ ซึ่งเป็นหมอประจำบ้านตน
หมอพงษ์ได้ตรวจสภาพร่างกาย
ของปริมประภัสณ์โดยละเอียด
หมอพงษ์ ได้บอกกับเศรษฐ์
ปริมประภัสณ์ บาดเจ็บมาก ภายในฉีกขาด
และสภาวะของจิตใจก็บาดเจ็บอย่างมาก
แผลกายคงจะรักษาไห้หายได้ไม่นานนัก
แต่แผลใจยังไม่รู้จะใช้ระยะเวลานานเท่าใด
ที่จะเยี่ยวยาให้ได้
และที่สำคัญ ถ้าเกิดปริมประภัสณ์มีท้อง
มีเด็กมาเรื่องจะไม่จบแค่นี้แน่ๆ
หัวใจของพ่อแทบแหลกสลายลงตรงนี้
เมื่อได้รับรู้อาการของลูกสาว
หมอพงษ์ กับ เศรษฐ์ เป็นเพื่อนกันมานาน
รักกันเหมือนพี่น้อง
เค้าจึงให้คำแนะนำกับเศรษฐ์และ
บอกให้เขาคิดให้ดีๆ ว่าต้องทำอย่างไร
"ยายหนูหลับแล้ว ฉันจะกลับไปเอาเลือดหัวไอ้นั่นออก"
"ใจเย็นๆ เศรษฐ์ จะวู้วามไม่ได้นะ เพราะไม่ใช่การแก้ปัญหา"
"ฉันสงสารยายหนู"
"ฉันก็สงสารยายหนู ไม่น้อยไปกว่านายหรอกนะ
แต่เราต้องแก้ปัญหา ไม่ใช่ทำให้เรื่องมันบานปลาย"
เศรษฐ์ตัดสินใจ ได้แล้ว
เขาต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อปกป้องลูกสาวของตน
เขาได้กลับมาที่ต้นไม้ที่ที่เกิดเหตุ ลุงชัยและภรรยา
ยังนั่งเฝ้าผู้แปลกหน้าที่ก่อเรื่องร้ายแรง
และหยามน้ำใจของคนในหมู่บ้าน เป็นอย่างมาก
ชายต่างถิ่น ตื่นขึ้นมาแต่ยังมาอาการมึนๆ
จากการดื่มเหล้ามาเมื่อคืน
เศรษฐ์มาถึงเขาก็ตื่นแล้ว
เศรษฐ์ยืนหันหลังให้มองออกไปที่ทิวเขาสูงลิดนั้น
แล้วเขาก็เปิดฉากการสนทนาระหว่าง เขาและผู้ต่างถิ่น
"คุณชื่ออะไร มาจากไหน? เป็นใคร มาทำอะไรที่นี่"
"ผมชื่อ ภัสกร.... ภัสกร นฤเดชา รถผมเสียจึงพักอยู่ที่นี่ชั่วคราว"
"แล้วคุณมาทำอะไร ที่ใต้ต้นไม้นี้"
"ผมนัดผู้หญิงไว้ที่นี่"
"แล้วผู้หญิงที่คุณนัดไว้ไปไหน?แล้วล่ะ"
"เธอคงกลับไปแล้วมั่ง ก็แค่ผู้หญิงอย่างว่า"
เศรษฐ์โกรธจัดเขาอยากจะชกหน้าคู่สนทนานัก
ให้หน้าหงายไปเลยคงสมกับความโกรธที่เขามี
แต่เพื่อแก้ปัญหาเขาจะไม่ใช้โทสะในการตกลงปัญหาครั้งนี้
"แสดงว่าคุณเพิ่งอยู่กับผู้หญิงใช่หรือไม่ คุณ ภัสกร "
"ครับ แต่เธอไปไหน?แล้วไม่รู้ คงกลับแล้ว"
"คุณภัสกร นฤเดชา คุณก็เป็นคนมีชาติตระกูลดี
และมีเกียรติ ผมคิดว่าคุณน่าจะเป็นสุภาพบุรุษพอ"
ภัสกร ทำหน้างงเขายังไม่เข้าใจว่า เศรษฐ์หมายถึงเรื่องอะไร
เขาพยายามคิดว่าเมื่อคืนเขาทำอะไรไว้บ้าง แต่เขานึกไม่ออก
"คุณ ทำร้ายลูกสาวผม คุณขืมขืนเธอ"
"คุณมาพูดแบบนี้ได้ยังไง ผมนะเหรอ ไปทำร้ายลูกสาวคุณ"
"ใช่ เมื่อเช้ามืด เธอมาขี่ม้าเล่นบริเวณนี้
และบนยอดเขานี้เป็นที่ที่เธอชอบมาดูหมอกอย่างมาก"
"คุณมีหลักฐานอะไร ว่าผมเป็นคนทำร้ายลูกสาวคุณ"
ภัสกร เขาคิดว่าพ่อคงอยากจะจับผู้ชายดีๆ
อย่างเขาให้ลูกสาวแน่ๆ ซึ่งเขาสาวๆ วิ่งไล่จับกันให้ควัก
"คุณลองสำรวจตัวเองดูสิ คุณภัสกร นฤเดชา "
เมื่อเศรษฐ์ พูดจบ ภัสกรก็กล้มมองตัวเอง
สำรวจทุกอย่าง และเขาเหลือบไปเห็น สร้อยคอเป็นล็อคเก็ต
สร้อยของปริมประภัสณ์
เป็นล็อคเก็ตที่มีรูปเธอกับพ่อ
ภัสกรเปิดล็อคเก็ตดูเขาตกใจ
กลืนนำลายเขาแทบจะหยุดหายใจ โอ้พระเจ้า... !!!
เขาทำอะไรลงไป
"นี่ ใช่สร้อยของลูกสาวคุณหรือ?"
"ใช่"
เศรษฐ์ หยิบสร้อยมาแล้ววางแนบกับอก
แล้วเขาก็กล้มลงน้ำตาของพ่อหลั่งรินออกมา
น้ำตาของลูกผู้ชาย ที่ไม่เคยร้องไห้เกือบ 20 ปีแล้ว
นับจากครั้งที่ภรรยาเขาเสียไป
ทำให้ ภัสกร รู้ว่าผู้ชายวัยกลางคน
คนนี้เขาไม่ได้ต้องการจับเขาเป็นลูกเขยอย่างที่เขาคิดแน่ๆ
"ผมขอโทษ ผมยอมรับผิดทุกอย่าง และยินดีทำตามที่คุณต้องการ"
"ดี คุณภัสกร นฤเดชา คุณก็เป็นคนมีชาติตระกูลดี และมีเกียรติ"
"แล้วผมต้องทำอะไรเพื่อชดใช้ความผิดครั้งนี้"
"ผมไม่ได้ต้องการให้คุณมาเป็นลูกเขย
จริงๆ แล้วผมไม่ต้องการเกี่ยวดองอะไรกับคุณอีก"
ภัสกร เงียบเขาไม่มีอะไรแก้ตัวอีกแล้ว
ถึงเขาจะไม่รู้ว่าเค้าได้ทำอะไรบ้างแต่เขาก็ยอมรับผิด
เพราะพิษเหล้าแท้ๆ ที่ทำให้เขาตกที่นั่งลำบากเสียแล้วในเวลานี้
"ผมต้องการให้คุณจดทะเบียนสมรสกับลูกสาวผม ในวันพรุ่งนี้ 10 โมงเช้า
คุณไปหาผมที่ไร่ "ภูตะวัน"
"ครับ ผมจะทำตามทุกอย่างเพื่อชดใช้ความผิด"
.........ภัสกร ขับรถเข้ามาตามทาง เขามองไปรอบๆ ไร่"ภูตะวัน"
กว้างมาก ถือว่าเป็นเศรษฐีเลยทีเดียว
ซึ่งเขาคงไม่คิดอยากจับ ภัสกร นฤเดชา
เพราะสมบัติที่มีก็อยู่ได้ชั่วลูกชั่วหลานแล้ว
นอกจากเขาต้องการปกป้องลูกสาวของเขา
ภัสกรจดรถ มีแม่บ้านมาเชิญเขาเข้าไปข้างใน
เขาสำรวจดูสิ่งที่อยู่รอบตัวอย่างละเอียดถี่ถ้วน
ภายในบ้านตกแต่งเรียบง่าย แลดูสบายๆ
แม่บ้านเชิญให้เขานั่ง ซึ่งเศรษฐ์ ก็รอเขาอยู่
"สวัสดีครับ" เขายกมือไหว้เศรษฐ์และผู้ที่นั่งข้างๆ อีกคน
ดูจากลักษณะน่าจะเป็นผู้ใหญ่ที่มีเกียรติ
"ก่อนอื่นผมขอแนะ นี่นายอำเภอกิตติ
ผมและนายอำเภอเราคุ้นเคยกันและสนิมสนมกันมาก"
ภัสกร ยกมือไหว้อีกครั้ง
"ผมจะให้คุณจดทะเบียนแบบเงียบ
ระยะในการจดทะเบียน 2 เดือน
โดยที่คุณจะต้องแต่งงานกับลูกสาวผมเพียงแต่ในนามเท่านั้น
หาก....ลูกสาวของผมไม่มีเด็กติดท้องมาด้วย
จะถือว่า โมฆะ
แต่ถ้าหากลูกสาวของผม
มีเด็กคุณจะต้องรับผิดชอบ และต้องแต่งให้เธอเป็นภรรยา
ที่ออกหน้าออกตา ตามสิทธิ์ที่ภรรยาควรมี"
"ครับ"
ภัสกร ตอบแบบปฏิเสธเสียไม่ได้
เพราะเขาทำได้หรือในเมื่อเรื่องมันเป็นถึงขนาดนี้แล้ว
"งั้นตกลงตามนี้นะ ส่วนลูกสาวผมไม่ต้องกังวลผมคุณกับเธอแล้ว"
"ครับ" เขาพลางคิดก็แค่สองเดือนเอง ไม่นานเท่าใดหรอกนะ
เมื่อคุยถึงสัญญาที่ตกลงกันไว้เสร็จ
เศรษฐ์ให้แม่บ้านไปตาม "ปริมประภัสณ์"
มาเพื่อทำการจดทะเบียนสมรส
สักครู่
ปริมประภัสณ์ เธอเดินนำหน้าแม่บ้านออกมา
แต่สีหน้าไร้แววความสดใสโดยสิ้นเชิง
เธอเดินมานั่งข้างๆ บิดา
ภัสกรมองหน้าสาวน้อยวัย 18 ปี
ที่ตัวยังมีรอย ช้ำที่เขาก่อขึ้น แต่ไม่บดบังความสวย
ของปริมประภัสณ์
ใบหน้ารูปไข่ ปากที่รับกับจมูกโด่ง
คิ้วที่รับกับตากลมโต ผมยาวสวย สลวย
เขาแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ทำลงไป
เด็กคนนี้ไม่ใช่ผู้หญิงที่เขานัดไว้
ทำไมเขาถึงได้บ้าระห่ำแบบนี้นะ
เมื่อจดทะเบียนเสร็จ
เศรษฐ์ บอกกับภัสกรว่าให้เขาไปจากไร่ภูตะวันซะ
แล้วไม่ต้องกลับมาที่นี่อีก
จนกว่าจะมีจดหมายจากเขาเมื่อครบสองเดือน
เรื่องทุกอย่างก็จะเป็นไปตามที่ตกลงกันไว้
................................................................
พักก่อนนะค่ะ แล้วคุณๆ ที่อ่านคิดว่าจะเป็นยังงัยต่อไปคะ (ในความคิดของคุณ)
ยังมีภาคสองนะคะ แต่ยังนึกไม่ออกว่าเดินเรื่องต่อไปยังไงดี
27 สิงหาคม 2547 10:15 น.
แมงกุ๊ดจี่
ครั้งแรกที่คุณต้องรู้สึกหวาดหวั่นที่จะต้องอยู่กับเขา 2ต่อ2
ในห้องที่ปิดประตูมิดชิดและไม่มีใครช่วยเหลือคุณได้
แต่คุณต้องจำใจอยู่กับเขา ก็คุณเลือกเขาแล้วนี่!!!
ในขณะที่คุณนอนหงาย เขาจะสั่งให้อ้าออกกว้างๆ
เพื่อสะดวกในการทำของเขากับคุณ
โดยคุณก็ยอมเขาทุกอย่าง ... คุณรู้สึกว่ากล้ามเนื้อเกร็งไปหมด
คุณดันเขาออกไปชั่วครู่..เพื่อขอเวลาตั้งตัว
แต่เขาปฏิเสธพร้อมกับเข้ามาหาคุณ เขาขอให้คุณอย่ากลัว
คุณสั่นหัวรับอย่างกล้าหาญ เพราะเขามีประสบการณ์มากกว่า
แต่ในครั้งที่นิ้วของเขาควานหาที่ๆเหมาะสม ...... เขาแหย่ลึกลงไป
.......................
ร่างกายของคุณเริ่มสั่นเทา ตึงไปหมด
แต่เขาก็อ่อนโยนเหมือนกับที่สัญญาไว้ว่าจะเป็น
เขามองลึกลงไปในตวงตาของคุณ และบอกให้คุณเชื่อมั่นในตัวเขา
เขาเคยทำมานาน หลายครั้งแล้ว ยิ้มของเขาทำให้คุณผ่อนคลาย
และคุณก็เปิดกว้างเพื่อให้เขาเข้าง่ายขึ้น
คุณเริ่มอ้อนวอนให้เขาทำเร็วๆ แต่เขาค่อยๆ ช้าๆ
เพื่อให้คุณรู้สึกเจ็บน้อยที่สุด
ขณะที่เขากดเข้าไปมาขึ้น ลึกขึ้น...
คุณรู้สึกว่าเนื้อเยื่อของคุณเปิดออกมา
ความเจ็บปวดแผ่ทั่ว สรรพางค์กาย และ คุณรู้สึกว่า
เลือดของคุณออกเล็กน้อยเมื่อเขาทำต่อไป
เขามองมาที่คุณแล้วถามว่า เจ็บไปรึเปล่า? ดวงตาของคุณเต็มไปด้วยน้ำตา
แต่คุณก็ส่ายหัวและพยักหน้าให้...เขาทำต่อไป...
เขาเริ่มเคลื่อนไหวเข้าออกด้วยความชำนาญ
แต่คุณก็รู้สึกชาเกินไปที่จะรู้สึกถึงเขาภายในของคุณ
........อีกไม่นาน......คุณรู้สึกว่ามีบางอย่างหลุดออกมาจากภายในของคุณ
คุณนอนสั่นระริกดีใจที่มันสิ้นสุดลง เขามองที่คุณและยิ้มอย่างอบอุ่น
________________(พักสายตา)___________________
คุณยิ้มและขอบคุณหมอฟัน!!!
นั่นคือครั้งแรกที่โดน.(ถอน)..ฟัน ........
อิอิ
(คิดไปเองน๊า อิอิ)
27 สิงหาคม 2547 08:39 น.
แมงกุ๊ดจี่
ทางเดินเข้าสวน แคบและรกนัก
แต่ฉันก็ยังดันทุรังที่จะเดินไปไห้ถึง บ้านกลางสวน พลางเดินชมธรรมชาติ
พร้อมเก็บผลไม้ชิมมาเรื่อย ที่ยั่วยุให้น้ำลายสออยู่ริมทางเดิน
กว่าจะถึงบ้านป้าน้อม คงจะอิ่มจนมิต้องกินข้าวเย็น
เดินมาเกือบจะชั่วโมงแร่ะ มองไปก็เห็นหลังคาบ้านไม้กลางสวน
ซึ่งเป็นบ้านไม้ทรงไทยในแบบโบราณ ที่ป้าน้อมยังคงดูแลรักษาไว้ให้คงเดิม
ฉันยืนมองบ้านหลังนี้ซึ่งเคยมาเมื่อครั้งยังเด็กๆ
นานมากแล้วที่ไม่ได้มาจนจะลืมแล้วเชียว
......ป้าน้อม กับ ลุงชม อยู่กันสองตายาย
เมื่อฉันถามถึงพี่ๆ ที่เป็นญาติ กลับทำให้ป้าน้อมกับลุงชมหน้าเศร้า
จนทำให้ฉันต้องเปลี่ยนเรื่องคุย ก่อนที่สองตายาย จะเศร้าไปกว่านี้
ป้าน้อมมีลูกสองคน ผู้ชายทั้ง 2 คน ส่งให้ไปร่ำเรียนในเมืองกรุง
เมื่อเรียนจบแล้วก็ทำงานการที่มั่นคงอยู่ในเมืองกรุงโน้น
ก็นานๆ ครั้งจึงจะกลับมาบ้านกลางสวน
.....เห็นป้าน้อมกับลุงชมหน้าเศร้าๆ
ฉันส่งยิ้มสดใสบางๆ พลางบอกไปว่า "ป้าเดี๋ยวฉันจะมาพักอยู่ที่นี่ สักเดือนนะ"
พอพูดจบป้าน้อมและลุงชม ค่อยมีสีหน้าแห่งความสุขขึ้นมาบางๆ
ปนกับความยินดี ที่ฉันจะมาอยู่ที่นี่....
ก็ไม่รู้เหมือนกันทำไม?จึงตัดสินใจบอกไปอย่างนั้น
ทั้งที่จริงฉันตั้งใจมาเยี่ยมป้าน้อม แค่วันสองวันเท่านั้นเอง
หลังจากถามสารทุกข์สุกดิบกันพอควรแล้วฉันก็ขอตัวไปพักผ่อน
เพราะเหนื่อยกับการเดินทางทั้งวันแล้ว
....เช้ามืด ของชาวสวนที่มีแต่ความเรียบง่าย ป้าน้อมและลุงชม ตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง
ฉันเองก็ตื่นเช้า แต่เช้าๆ ของฉันกลับเป็นสายมากแล้วของคนที่นี้
เมื่อมองจากระเบียงบ้านไม้ทรงไทย ไปรอบๆ มีต้นผลไม้นานาพันธ์
สวนป้าน้อมกว้างนัก มองจากมุมระเบียงก็ไม่ทั่ว
ฉันก็พลางนึกในใจ 1 เดือน เดินเที่ยวจะทั่วทั้งสวนไหมนี่
เสียงเรียกดังมาจากข้างหลังทำให้ต้องตื่นจากพะวง ป้าน้อมนั่นเอง
"ไปทานข้าวกันเถอะ ป้าเตรียมไว้แล้ว สายๆ หน่อยเดี๋ยวป้ากับลุงจะเข้าไปในสวน หรือเราจะไปด้วยมั้ย?"
ฉันตอบแบบไม่ต้องคิดเลย "ไปคะ อยากเดินดูว่ามีผลไม้อะไรบ้าง"
เมื่อเสร็จภาระกิจการรับประทานอาหารเรียบก็ได้เวลา ทำเรื่องซนแล้ว
ป้าน้อมและลุงชม พาเดินชมสวน ป้าน้อมและลุงชมเป็นไกด์ที่ดีมากทีเดียว
อธิบายและชี้แจงไขข้อข้องใจของฉันจนหมดสิ้น เกี่ยวกับผักและผลไม้พื้นบ้าน
....เมื่อเดินได้สักพัก ก็มาถึงแปลงที่เป็นสวนมะพร้าว
"ตาชมเดี๋ยวเอามะพร้าวลงให้ด้วยน่ะสัก 2 ลูกนะ"
"จะเอาแบบไหนละยาย"
"ห้าวๆ นะลูกนึง และก็แบบไม่ต้องแก่มากลูกนึง"
ลุงชมหันมายิ้มให้ฉัน "แล้วห้าวๆ อย่างหลานสาวนะพอมั้ยล่ะยาย"
โห...ลุงเล่นแซวกันงี้เลย ฉันทำอะไรไม่ถูกได้แต่ยิ้มๆ จากคำพูดของลุงชม
ทำให้เกิดการสนทนาเรื่องใกล้ตัวฉันทันที
"แล้วเราน่ะ อายุเท่าไหร่แล้วล่ะ" ฉันพลางนึกถามตัวเองหน้าแก่มากเหรอ?
ฉันตอบแบบตะกุก ตะกัก "32 แล้วค่ะป้า"
ลุงชมพูดขึ้นทันที "ห้าวจริงๆ " พลางมองดูมะพร้าวห้าวที่ถือในมือแล้วพูดต่อ
"แก่ด้วยคุณภาพ" ยังไม่วายหันมาส่งยิ้มให้ฉันอีกนะ
ฉันทั้งโกรธทั้งขำ และปนรู้สึกดี ก็ยังดีที่ตัวเองยังมี "คุณภาพ"
13 สิงหาคม 2547 12:49 น.
แมงกุ๊ดจี่
ครั้งหนึ่งนานมาแล้วเด็กสาวคนหนึ่งนามว่าลี่ลี่เมื่อเธอแต่งงาน
จึงได้ย้ายนิวาสสถานมาอยู่กับสามีและแม่สามี
...ภายในเวลาอันสั้นลี่ลี่ก็พบว่าเธอไม่สามารถเข้า
กับแม่สามีได้เลย ใช่สิ บุคลิกของทั้งคู่ช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
...ลี่ลี่ทนนิสัยหลายอย่างของแม่สามีไม่ได้
ฝ่ายแม่สามีก็ได้แต่วิพากษ์วิจารณ์ลี่ลี่เสมอมา
วันเวลาผ่านไปจากวันเป็นเดือน ลี่ลี่และแม่สามีทะเลาะกันไม่หยุดหย่อน
แต่สิ่งที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือตามธรรมเนียมจีนสะใภ้จะต้องก้มหัวและ
เชื่อฟังแม่สามี ในทุกเรื่องราวนำมาซึ่งความทุกข์โศกแก่ผู้เป็นสามีเป็นอย่างยิ่ง
ในที่สุดวันที่ลี่ลี่หมดสิ้นความอดทนได้มาถึงจึงตัดสินใจ
ที่จะทำอะไรบางอย่างเธอตรงไปหาคุณหวางเพื่อน
รักของพ่อที่ขายสมุนไพรหลังจากเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เขาฟัง
เธอจึงถามว่า พอจะหายาพิษอะไรสักอย่างเพื่อแก้ปัญหาทั้งหมดทั้งมวล
ในคราเดียวได้ไหมคุณหวางคิด
อยู่ชั่วขณะในที่สุดจึงกล่าวกับลี่ลี่ว่า
ลุงจะช่วยหนูเอง...แต่หนูต้องฟังคำของลุงและเชื่อฟังสิ่งที่ลุงบอกนะ
ลี่ลี่ตอบรับทันทีว่า ค่ะ หนูจะทำตามที่คุณลุงแนะนำทุกอย่าง
คุณหวางหายไปหลังร้านและกลับมาภายในเวลาชั่วครู่
พร้อมกับห่อสมุนไพรในมือเขากล่าวกับลี่ลี่ว่า
ลุงจะจ่ายยาสมุนไพรให้หนูจำนวนหนึ่ง
แต่หนูต้องไม่ใช้ยาพิษ นี้ทั้งหมดในคราวเดียวกันนะ
เพราะนั่นจะทำให้ทุกคนสงสัย หนูจงเติมสมุนไพรนี้ลงไปในหมูเห็ดเป็ดไก่ที่ปรุงวันเว้นวัน
สารพิษนี้จะได้ค่อยๆสะสมอยู่ในตัวเธอ
... ขณะเดียวกัน หนูก็ต้องพูดจากับเธอดีๆ และเชื่อฟังเธอด้วย
วันหนึ่งข้างหน้าเมื่อแม่สามีตายลงจะได้ไม่มีใครสงสัยในตัวหนูไงล่ะ
อย่าลืมนะ...ห้ามเถียงเธอ แต่จงเชื่อฟังทุกอย่างที่
เธอบอกและปฏิบัติต่อเธออย่างดีที่สุดได้
ยินดังนั้น ลี่ลี่รู้สึกสุขใจยิ่งนักจึงกล่าวขอบคุณและล่ำลาคุณหวาง
เพื่อกลับไปเตรียมอุบายสังหารแม่สามีวันและคืนผ่านไป
...ลี่ลี่จะต้องปรุงอาหารจานพิเศษให้แม่
สามีทุกวันเว้นวัน เธอจดจำคำของคุณหวางได้เป็นอย่างดี
...พยายามควบคุมอารมณ์ตนเอง
เชื่อฟังและดูแลเธอเหมือนดั่งเป็นแม่ของตนเอง
เวลาล่วงไปได้หกเดือนทุกสิ่งทุกอย่างภายใต้หลังคาบ้านนั้นกลับแปรเปลี่ยน
ไปโดยสิ้นเชิงลี่ลี่ได้ฝึกตนให้ควบคุมอารมณ์ได้ดีมากไม่เคยมีปากเสียงกันเลย
ตลอดหกเดือนนี้ แม่สามีดูเหมือนจะมีเมตตาต่อเธอและเข้ากันได้เป็นอย่างดี
ในขณะที่ทัศนคติของแม่สามีที่มีต่อลี่ลี่ได้เปลี่ยนไปเช่นกัน
เธอเริ่มรักลี่ลี่เหมือนกับลูกสาวแท้ๆ
ของตัวเอง...เธอพร่ำบอกเพื่อนฝูงและคณาญาติว่าลี่ลี่เป็นลูกสะใภ้ที่ดีที่สุด
และยากจะหาใครมาเสมอเหมือน
บัดนี้ ลี่ลี่และแม่สามีรักกันดุจแม่-ลูกจริงๆ แล้ว..
ฝ่ายสามีลี่ลี่รู้สึกสุขใจเป็นที่สุดที่ได้เห็นภาพนั้น
วันหนึ่ง...ลี่ลี่กลับไปหาคุณหวางเพื่อขอความช่วยเหลืออีกครั้ง
เธอละล่ำละลัก"คุณลุงหวางคะ กรุณาช่วยหนูด้วยค่ะ
หนูไม่อยากให้แม่สามีตายแล้วค่ะ...คุณลุง
รู้มั้ยคะว่า ตอนนี้แม่เปลี่ยนไปมาก
ท่านดีกับหนูมากและหนูก็รักท่านเหมือนแม่จริง ๆ ของหนู
หนูไม่อยากให้ท่านตายด้วยยาพิษของหนูเลย... คุณหวา
งพรายยิ้ม ผงกศีรษะและกล่าวว่า
"ลี่ลี่เอ๋ย...ไม่มีอะไรต้องกังวลลุงไม่เคยให้ยาพิษอะไรแก่หนูเลย
สมุนไพรที่ให้ไปเมื่อคราวก่อนนั้นเป็นพวกวิตามินที่บำรุงร่างกาย...
ยาพิษอย่างเดียวนั้นอยู่ที่จิตใจและทัศนคติของหนูที่มีต่อแม่สามีต่างหาก
และนั่นก็ได้รับการชำระล้างหมดแล้ว
ด้วยความรักทั้งหมดทั้งมวลที่หนูมอบให้ท่าน
13 สิงหาคม 2547 09:40 น.
แมงกุ๊ดจี่
....เด็กผู้หญิงตัวดำๆ หัวหยิกๆ วิ่งเล่นกลางสายฝน
โดยไม่สนใจว่าลมจะพัด สายฝนจะร่วงหล่น
แววตาสดใส เริงรื่นกับสายฝน โดยไม่สนใจ
กับเสียงที่ตะโกนดุแว้วมาตามสายลมที่พัด
ยังคงสนุกกับสายฝนอยู่อย่างนั้น....แม้จะหนาวเย็นจนปากสั่นก็ตามที
ความซุกซน ดื้อรั้นทำให้เป็นที่โปรดปรานของพ่อ
แต่จะรบกับแม่ประจำ เพราะความซน
การที่เติบโตมาจากวิถีชีวิตที่พอมีพอกิน เป็นเกษตรกร ทำไร่ ทำนา
เพื่อเลี้ยงชีพ
ทำให้มีความสุข แบบเรียบง่าย ท้องทุ่งกว้างนี้
เปรียบเสมือนเพื่อน...เมื่อยังเล็กจนเติบใหญ่
ภาพที่เห็นจนชินตา แต่ไม่ชินในใจ คือภาพท้องทุ่งที่ได้สัมผัส
ทุกฤดูกาลมีเอกลักษณ์
ของแต่ละฤดู หน้าร้อน หน้าหนาว หน้าฝน
ภาพท้องทุ่งกว้างไม่เคยทำให้เบื่อได้สักที
ความเป็นอยู่แบบวิถีชนบททำให้เข้มแข็ง และแข็งแกร่ง อดทน
วิถีชีวิตที่ได้สัมผัส มันได้สั่งสอนไว้ ไม่ให้เป็นคนเกียจค้าน
เพื่อจะได้มีผลิตผลที่ดี และนำความอยู่ดีมาสู่ชีวิต
ถ้าหากย้อนเวลากลับไปเมื่อ 20 ปีที่ผ่านมานั้น
แทบจะไม่เหลือร่องรอยของความเป็นชนบทแล้ว
ทุกอย่างที่เคยเรียบง่าย กลับกลายเป็นความยุ่งยากเข้ามาแทน
เมื่อวิถีการใช้ชีวิตในขณะนี้ ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว
นานมากแล้วที่ไม่มีโอกาสได้ออกมาท้องนากับพ่อ ด้วยความที่ใช้ชีวิตสุขสบาย
และอยู่ในสังคมผู้ดีนานมากเกินไปจนเกือบทำให้ลืมวิถีชีวิตแบบนี้เสียแล้ว
นานเท่าใดแล้วที่ไม่เคยอยู่อย่างเรียบง่าย สบายใจแบบนี้
เถียงนา หลังนี้คงเป็นหลังใหม่แล้ว เพระดูแล้วไม่คุ้นตาเลยสักอย่าง
เถียงนาหลังน้อย แต่ไม่เคยด้อยค่า มากมายด้วยประโยชน์นานา
เพราะเป็นบ้านหลังที่สอง ของพ่อ นั้นเอง
สายฝนโปรยๆ ไม่ยอมหยุดสักที เมื่อทอดสายตาออกไป
ท้องทุ่งนี้ก็ยังคงความเป็นท้องทุ่งอยู่ดี แต่ที่เปลี่ยนไปคือเราต่างหาก
กลิ่นโคลน สาปควายแทบจำไม่ได้แล้วว่าเป็นอย่างไร
...แต่ก็ยังมีคนที่จำได้ดี และไม่มีวันที่จะลืม
เพราะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปเสียแล้ว
แววตาที่มุ่งมั่น และมุ่งหวัง ของชายวันกลางคน ที่จวญจะชราแล้ว
ที่ขุดผืนดินที่เขารัก เพื่อปิดทางกั้นน้ำไม่ให้ไหล ไปอีกทาง
เมื่อปิดทางกั้นน้ำเสร็จแล้ว พ่อยืนเท้าสะเอว มืออีกข้างถือจอบไว้
เห็นแววตาของพ่อมองออกไปไกล และมองอย่างภาคภูมิใจในผลงานของตัวเอง
ที่พ่อได้ทำสำเร็จครั้งแล้วครั้งเล่า พ่อดูแลถนุถนอมต้นข้าวของพ่อเป็นอย่างดี
แววตาของพ่อเต็มไปด้วยความสุข
และความหวังที่จะเห็นผลผลิตของตัวเองที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้า...
...แมลงปอ บินเต็มท้องทุ่งนา ร่าเริงเพื่อบ่งบอกถึงสัญญา
ว่าฟ้าหลังฝนสดใส และสดชื่นแค่ไหน? แต่ก็แปลกนะ
ทุกครั้งที่ฝนหยุดตก มันทำให้หัวใจหนาวด้วยแรงลมฝนที่พัดมา
ละอองฝนตกปร่อยๆ กิ่งสนปลิวไหวตามแรงลม โอนไปเอียงมา อย่างบางเบา
ทำให้คิดถึงเรื่องสั้น ที่เล่าถึงความเป็นมาของความคิดถึง...
.....ไม่รู้เหมือนกันทุกครั้งที่ฝนตก ทำไม? ชอบเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง
ความรู้สึกเหงาๆ ก็เข้ามาพร้อมกับความคิดถึงใครคนหนึ่งในใจ...
(ต้องอมยิ้มทุกทีสิน่าาา...ที่คิดถึง