4 พฤศจิกายน 2548 17:30 น.

เป็นบ้าอะไร

แมงกุ๊ดจี่

ลมหนาวพัดมาคราหนึ่ง    แค่วูบเดียวเท่านั้น
แต่ในหัวใจนี้กลับรู้สึกเจ็บแปลบ   ฉันมองออกไปนอกหน้าต่าง
ซึ่งไม่ห่างจาก  โต๊ะทำงานหนัก...ฉันเป็นอะไรไปนะ...

ผ่านไป  5  นาทีฉันยังคงเหม่อมองนอกหน้าต่างอยู่อย่างนั้น
เสียงผู้ใหญ่ที่ฉันรักและเคารพเท่าหนึ่งเปิดประตูเข้ามา
พร้อมเสียงทักมาตามสายลมเย็น ๆ  ที่พัดนั่น
"หนูมะกรูดทำอะไรจ๊ะ"   ท่านถามฉันด้วยคำพูดที่อ่อนโยนเสมอ
"สวัสดีค่ะ  อาจารย์มาตอนไหน?  หนูไม่เห็นรู้เลย"  ฉันยกมือไหว้ ผสมกับหน้าตาตื่น ๆ  
"ก็มาทันตอนที่เหม่อ  พอดี   อะไรกันหัวใจหายเหรอ?"  ท่านเย้าฉันอีกแล้ว  
อย่างเคย  แต่ไม่เคยได้คำตอบที่ถูกใจสักที
"ถ้าหายก็คงดีสิคะ  อยากให้หายเต็มทีแร่ะ"  ฉันตอบแบบตลกแต่แกมประชด
อะไรถามทุกครั้งที่เจอ...

"ทำไม?  วันนี้มะกรูดดูหน้าแดง ๆ ล่ะ ไม่สบายหรือเปล่า? "  ท่านมองหน้าแล้วทักฉันต่อ
"แหม...ก็วันนี้หนูปัดแก้มมานี่ค่ะ"  ฉันพลางตอบไปอย่างเขิน ๆ 
" แต่ดูเรา  ไม่ค่อยดีนะ "  ท่านก็ยังอยากให้ฉันไม่สบายอยู่ดี   เอ่อ
"ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ  ทำไมรู้ล่ะคะ" ฉันตอบพร้อมกับสบตาท่าน
"ก็ดูทำหน้าซิ  ยังกะตูด"  ท่านพูดออกมาพลางปากก็อมยิ้ม   
ทำมายิ้มเยาะฉันหน๊อยฉันก็พลางนึกในใจ
"หนูคงเป็นโรคซึมเศร้าแน่เลยค่ะ  หนูเองยังไม่เข้าใจเลยว่าตัวเองเป็นอะไร" 
ฉันตอบแบบเศร้า ๆ  เล่าความเท็จ   โกหกผู้ใหญ่อีกแล้วตู

"อย่ามาโกหกนะ   เป็นเด็กเป็นเล็ก "  สายตาส่งผ่านมาพาลเอ็ดฉันจนจ่อยไปเลย
"ก็ได้ค่ะ  หนูก็แค่ทำความผิดไว้อย่างหนึ่งเอง"  ฉันก็ยังโกหกอีกอยู่ดี
"ไปทำอะไรไว้ "  เสียงถามมาแบบเรียบ ๆ  แต่ฉันกับคิดว่ามาบังคับกันทำไมล่ะเนี๊ย..
"สงสัยหัวใจจะหายจริงละมั่ง  ใช่มั้ย?"  แล้วท่านก็เดินออกจากห้องไป

อะไรหนักหนานะ  ทำไม?  ต้องอยากให้หัวใจหายจัง   
ฉันก็พลางนั่งไปบ่นไป   สายตามก็มองทะลุบานประตูกระจกตามท่านจนถึงทางลงบันได
แล้วก็ต้องกลับมาหน้าจอคอมพ์อย่างเดิม  ใจก็พลางคิด  
มันจะหายไปไหน?คะอาจารย์  ก็หนูรักษาไว้อย่างดี...

ฉันก็มานั่งยิ้มกับหัวใจตัวเอง....
อาจารย์ขา...ก็หนูชอบแบบนี้  นี้คะ...
เพื่อนสาวคนสวยก็มาพอได้จังหวะ  เห็นรอยยิ้มแต้ของฉัน
"เฮ้ย...แกเป็นอะไรนั่งยิ้มคนเดียว  บ้าป่าวว่ะ"  เพื่อนสาวคนสนิททัก
"อะไร  ว่างเหรอ?  ถึงมาได้เนี๊ย"   ถามเพื่อนไปแต่หน้าก็ไม่ทันมอง
"เอ่อสิวะ   แกทำอะไร"  เพื่อนสาวคนสวยถามต่อ
"ตอบคอมเม้นท์กระทู้กลอน"   ฉันตอบมือก็พิมพ์ไปต๊อก  ต๊อก  ๆๆ
"แกบ้าไปหรือเปล่า?  ทำอะไรไร้สาระ"  เพื่อนสาวพูดขั้นนัย ๆ  ว่ากำลังต่อว่า
"เอ่อสงสัยจะบ้าจริง ๆ  แร่ะ" ฉันตอบกลับไปในใจก็พลางคิด
สงสัยไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วเพื่อนชั้น
"แกจะไปตอบอะไร  บ้า ๆ  ของแก "  เพื่อนฉันยังคงพูดต่อไป
"นี่แกจะไปไหน?  ก็ไปซะไป  ก่อนที่ฉันจะโมโห"  ฉันตอบหน้าก็ไม่มอง  มือก็ยังพิมพ์  ต๊อก ๆๆ
"แกเป็นอะไรของแก ชั้นล่ะไม่เข้าจริง ๆ "  เพื่อนสาวยังคงยั่วโทสะ
"เป็นบ้าอะไร"  ฉันก็พลางตอบและเกิดคำถามขึ้นในใจ

นั่นสิ  *เป็นบ้าอะไร*   
ทำไม? ===> ต้องอยากเข้าเว็ปนี้จัง
ทำไม? ===> ต้องทำอะไรอย่างนี้
ทำไม? ===> ต้องตอบคอมเม้นท์
ทำไม? ===> ต้องมีความสุขเสมอที่เข้ามา
ทำไม? ===> ต้องคิดถึงทุกคนที่ไม่เคยรู้จัก
ทำไม? ===> แล้วทำไมวัน ๆ  หนึ่งต้องอ่านกลอนมากมาย
ทำไม? ===> ต้องอยากเขียนเรียงร้อยความรู้สึก
ทำไม? ===> ทำไมต้องยิ้มทุกครั้งที่เห็นข้อความทุกคนที่ฝากไว้
ทำไม? ===> ทำไมต้องคิดเป็นห่วง  คิดถึงใครก็ไม่รู้ที่ไม่รู้จัก
ทำไม? ===> ต้องหวั่นไหว  ในอารมณ์เมื่ออ่านกลอนแต่ละบท
ทำไม? ===> ต้องผูกพันธ์  กับโลกไซเบอร์  ในเว็ปนี้ด้วย
ฉัน*เป็นบ้าอะไร*ไป

บางทีก็อยากถามตามความรู้สึก
ในส่วนลึกที่คิดพินิจภายใน
ฉันรู้สึกผูกพันธ์กับใครอะไร
อยากเข้าใจ...ว่าตัวฉันเป็นบ้าอะไรไป...

ค้นหัวใจนี้เท่าไหร่   ยิ่งค้นเท่าไหร่กลับรกมาขึ้นทวีคูณ....
				
12 ตุลาคม 2548 12:25 น.

ความหลัง...

แมงกุ๊ดจี่

*อ้อ  อ้อ  ไอ้อ้อ...*  เสียงเพื่อนสาวเรียกมาจากด้านหลัง
*อารายยยย * ฉันตื่นจากพะวง  ในสายฝน
*แกเป็นอะไรของแก*  เสียงเพื่อนสาวถามมา
*เปล่า  คิดอะไรเพลินไปหน่อย* ฉันตอบกลับด้วยอาการเอ๋อหน่อยๆ


อ้าว...ฉันเป็นอ้อไปแล้วเหรอ?   ฉันสะบัดหัว  แรงสุดเท่าที่จะแรงได้
เพื่อจะได้ไม่เป็นอ้อ  ตัวละครเรื่องสั้นที่ฉันกำลังคิดพลอตเรื่องอยู่...
ฉันหันหน้ากลับมาที่หน้าจอคอมพ์แล้วฉันก็หยุดการเดินเรื่อง  เรื่องสั้นไว้แค่นั้นก่อน

วันศุกร์แล้วสินะ  
เอ...สัปดาห์นี้เสาร์-อาทิตย์  เราว่างนี่หว่า....ฉันคุยกับตัวเองไปเรื่อย
คงต้องพักซะบ้างแล้วล่ะ  ฉันคิดไปเรื่อย  วางแผนหากิจกรรมทำในวันหยุด
สายตาก็มองไปเห็น  น้องน้ำตาลเด็กผู้หญิงวัย  5  ขวบ 
กำลังคุยกับคุณพ่อเป็นภาพที่น่ารัก...
ทำให้ฉันคิดถึง  ผู้ชายคนหนึ่ง  ที่ฉันรู้จักเขาดี  คนนั้น




วันหยุดสัปดาห์นี้ฉันว่างเว้น  จากการทำงาน  กับการต้องวุ่นวาย
และความรับชอบกับชีวิตของตัวเอง...
แบกไว้ก็หนักซะเหลือเกินฉันจึงตัดสินใจวางทุกอย่างไว้
แล้วพาตัวกับหัวใจ  กลับบ้าน  (บ้านนอก  นอกจริง ๆ  อยู่นอกเมืองประมาณ  20  กว่า ๆ  กิโล)
นานหลายเดือนแล้วที่ไม่ได้กลับไปเลย  
ตั้งแต่แม่จากไป  พ่อก็อยู่คนเดียว  แต่ฉันคิดว่าเขาคงไม่เหงา
เพราะแม่จากไปไม่นานพ่อก็มีคนใหม่   นี่ละมั่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ฉันห่างพ่อไป
ฉันไม่ว่าอะไรท่านหรอก   ขอเพียงปั้นปลายชีวิตท่านมีเพื่อนเคียงข้าง
เพราะท่านอยู่คนเดียวคงไม่ได้   คงจะเหงา


ก็ในเมื่อฉันเอง   ไม่ได้อยู่เป็นเพื่อนท่านเลย  
ฉันไม่สนิทกับพ่อเท่าไหร่หรอก  ก็จะสนิทกับแม่มากกว่า
พอแม่จากไป   ฉันก็รู้สึกเหมือนตัวเองเคว้งคว้าง   อยู่พักหนึ่ง
เวลาผ่านไปก็ทำใจได้   และยอมรับว่าตัวเองต้องโตเป็นผู้ใหญ่ได้แล้ว


วันนี้  ฉันกลับมาบ้านเงียบจัง  พ่อคงไปบ้านโน้น
ฉันเก็บของเอาเสื้อผ้าออกจากกระเป๋าเก็บเข้าตู้   ทำความสะอาดบ้านไปเรื่อยๆ
สักพักได้ยินเสียงรถเครื่องพ่อมา  
ดูพ่อคงแปลกใจ  ที่เห็นลูกสาวกลับบ้าน   เพราะนานหลายเดือนแล้วที่ไม่เจอกัน
*มานานแร้วติ*  พ่อเอ่ยถามฉัน
*ตั้งแต่สาย ๆ  แร้วล่ะ*  ฉันเอยแบบเรียบตามสำเนียงของเผ่าย้อ
*กินเข่ามาละติ*  เอ่ยถามอีกครั้ง
*กินมาแร้ว*ฉันตอบกลับ  
ฉันพูดจบพ่อก็เดินไปคอกวัน  เอาหญัาให้วัน  แล้วนั่งดูวัวในคอก 
สายตาฉันพ่ออย่างไม่ว่างตา  ดูท่านแก่ไปมากแล้ว  
พอละสายตาจากจุดที่พ่อนั่งฉันก็เดินขึ้นบ้าน  ง้วนอยู่กับผ้าห่ม
นานมากที่ไม่มาฝุ่นเต็มไปหมดเลย...


เช้าตรู่ของอาทิตย์ฉันตามพ่อออกไปทุ่งนา   ผืนกว้างงง   
ตลอดทางไปทุ่งนา  มีน้ำค้างลงเต็มไปหมดเลย  พระอาทิตย์ไม่ขึ้นเลย
อากาศก็ออกจะเย็น ๆ  พอสาย ๆ  พระอาทิตย์ขึ้นเป็นแสงที่ทอง ๆ
ได้สักพัก  ก็มีหมอกมาจากไหนไม่รู้   มองไปรอบ ๆ   มีแต่หมอกที่ขาว
ว้าว...เหมือนอยู่บนสวรรค์เลย  ฉันพูดกับตัวเอง  จริง ๆ  ฉันไม่เคยไปหรอกสวรรค์  
แต่ฉันรู้สึกว่ามัน  เวิ้งว้าง  สบาย ๆ  อย่างไง  อธิบายไม่ถูก
บรรยากาศแบบนี้ที่ฉันไม่ได้สัมผัสมานาน  นานมากจริง ๆ   
ครั้งสุดท้ายคงเป็นตอนจบชั้นป.6


ฝนโปร่ย  ลมพัดฝนเรียงเป็นเส้นสวย...
ฉันนั่งมองสายฝนจากชานเถียงนาที่ยื่นออกมา  
สายตาก็มองทุ่งกว้างสีเขียวขจี ยิ่งทำให้เห็นเส้นน้ำเรียงกันเป็นเส้นสาย  
บางครั้งก็เป็นเหมือนไอน้ำฟุ้งกระจาย  ทำให้รู้สึกเย็นฉ่ำหัวใจ
แล้วฉันก็ต้องไปสะดุดกับ กลุ่มเด็ก ๆ  กำลังง้วนอยู่กับอะไรสักอย่าง


จ้อย   ลูกชายป้านวล   ป้านวลเขามีที่นาติดกับที่นาของพ่อ...
จ้อยส่งเสียงเจี้ยวจ้าว   กับเพื่อนอีกสองสามคน  ดูท่าเขามีความสุขมาก
ฉันแอบมองดวงตา  ผ่านถึงตาดำของเด็กชายวัย 9  ขวบ  
แว๊บเดียวก็รู้เลยว่าเขามีความสุข
จ้อยกับเพื่อนช่วยกันปักเบ็ดดับล่อกบให้มากินเหยื่อ
ทุกคนช่วยกันทะมัดทะแมง  ฉันนั่งมองเด็ก ๆ  ช่วยกันปักเบ็ดเพื่อล่อกบนา...
(ได้เยอะ ๆ  แล้วนำไปขายในหมู่บ้าน  ได้กิโลตั้ง  60  บาทแน่ะ)


ฉันนั่งมองเด็ก ๆ  เหมือนมองเห็นภาพตัวเองเมื่อครั้งยังเด็กตัวเล็ก ๆ  
*อ้ายโย  อ้ายโย  มาเบิ่งนิเร้ว ๆ *  ฉันตะโกนบอกพี่ชายคนโตด้วยอาการตื่นเต้น
*หยางงงง   มีหยัง* พี่โยรีบวิ่งมาจุดที่ฉันกำลังง้วนอยู่กับเบ็ด  ในทันที
*โกบ  โกบ  โต๋ใหย๋แทะ*  ฉันตื่นเต้นมาก  ที่กบโชคร้ายตัวนั้นติดเบ็ด
*เออ ใหย๋อะหลีตั๊วนิ* พี่โยปากก็พูดไปมือก็ปลดเบ็ดออกจากปากกบ  
จับกบโชคร้ายตัวนั้นหยัดใส่ข้อง  แล้วเดินไปปักเบ็ดคันต่อไป....


ฉันเดินตามก้นพี่ชายคนโตต้อย ๆ   
ตากฝนปร่อย ๆ   ปากก็สั่นงับๆ  ปากงี้เขียวเชียว  แต่ก็ไม่ยอมกลับเถียงนา
พี่โยฉันไล่แล้วไล่อีก  ให้กลับเพราะฝนตกลมก็พัด  หนาวเหน็บสะท้านทรวงจริง ๆ
แต่ตอนนั้นไม่ได้รู้สึกหนาวสักนิดเลย    ก็คนมันตื่นเต้นที่จะได้เห็นกบติดเบ็ดนี่นา
มันสนุกมากจนลืมความหนาวกับสายฝนสายลมที่พัดมา...

ฉันเดินเลาะบนคันนา   เดินไปเรื่อย ๆ   
ละอองฝนเกือบจะกลายเป็นไอน้ำ  
หรือจะคล้ายหมอง ฉันก็อธิบายไม่ถูก   มีความสุขดีจัง...
*แหลม  แหลม*  เสียงพ่อเรียกทำฉันสะดุ้งจากห้วงความหลัง
*ปะเมือค่ำแล้ว  ตะเว็นสิตกดินแล้วปะ*  พ่อชวนฉันกลับแล้ว  เพิ่ง  4  โมงเย็นเอง

ฉันตามก้นพ่อต้อย ๆ   พ่อแกอยู่คนเดียวนาน ๆ  ฉันจึงจะมาหาทั้งที่ก็ไม่ไกลกันมาก
เมื่อว่างเว้นจากงาน  ว่างจากวัตถุต่าง ๆ  ที่ฉันวิ่งไล่ไข้วคว้าหา
ภายในใจลึก ๆ  ฉันก็อยากจะใช้วิถีชีวิตอย่างที่พ่อ และบรรพบุรุษของฉันเคยทำมา
แต่...ปัจจุบันการดำเนินชีวิตเปลี่ยนแปลงไปมาก  
จนฉันไม่สามารถที่จะ  ไปใช้ชีวิตอย่างวิถีของพ่อได้    
แต่ก็ไม่ใช่  ไม่ได้เลย  อาจผสมผสานกันยุคปัจจุบันและอดีต
เพราะจะทิ้งเสียเลยก็ไม่ได้.....
				
29 กันยายน 2548 15:34 น.

วอนฟ้า

แมงกุ๊ดจี่

เพียงแค่มีคนเคยคุ้นก็อุ่นใจ
ในหัวใจ...รู้สึกดีที่มีคุณ...
หากวันใดเราไกลกัน   ความผูกพันธ์จะทำใจเราใกล้กัน
ความไกลห่าง  มิกางกั้นความสัมพันธ์ในหัวใจ....				
27 กันยายน 2548 18:07 น.

*หัวใจ offline*

แมงกุ๊ดจี่

ก๊อก  ก๊อก....เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น  ฉันเปิดประตูออกดูที่มาของเสียง
"อ้าว...แม่ยังไม่นอนอีกหรอค่ะ"  ฉันถามคนที่เป็นต้นเหตุของเสียงเคาะประตู
"ยังจ๊ะ  ทำไมหูกวางยังไม่นอนอีกลูก"  เสียงแม่ถามด้วยความห่วงใย พร้อมแววตาค้นหาคำตอบ

ฉันสบตาผู้หญิงที่ใจดี  ที่มีเจ้าของแล้ว  อย่างแม่
แต่ฉันก็ยังไม่กล้าบอกเรื่องที่  ทำให้ฉันกังวลใจ  ให้เขารับฟัง
"หนูเป็นอะไรลูก  บอกแม่ได้มั้ย?"  เสียงอ่อนโยน  กับแววตาห่วงใยนั้น 
ทำให้ฉันน้ำตาซึม  โผเข้ากอด  และซบกับอกแม่อย่างไม่อาย				
19 กันยายน 2548 07:48 น.

หัวใจ online

แมงกุ๊ดจี่

บ่ายแก่ ๆ  วันสุดสัปดาห์   ฉันนั่งเหงาหน้าคอมพ์
"หูกวาง  เดี๋ยวพี่จะไปข้างนอกเอาอะไรมั้ยจ๊ะ"  เสียงพี่เมียวถาม
ก่อนออกไปรับลูกสาวตัวน้อย  
ที่พี่เมียวจะเรียกว่านางฟ้าตัวน้อย
"ไม่ดีกว่าคะ"  ตอบแต่หน้าก็ไม่หันไปมองว่าเสียงที่ถามมาจากทางไหน?
"งั้นไปแล้วนะ  เดี๋ยวพี่ไปรับมิลล์ก่อนนะ"
"ค่ะ  ตามสบายค่ะ"  ฉันตอบ


ในออฟฟิศ  ก็เหลือแต่ฉัน  ทำไม?  มันเหงาและน่าเบื่ออย่างนี้
ทำงานไปบ่นไป  เอ่อ....
ฉันพลางคิดในใจ...คงต้องหาอะไรทำไม่งั้นคง บ้าตายก่อนแน่ ๆ  
มองหน้าจอคอมพ์ด้วยความเบื่อหน่ายสักพักฉันก็ Move  
หน้าต่างโปรแกรมทุกอย่าง
แล้วก็เข้าท่องโลกมายา  ที่เราเรียกกันว่าโลกไซเบอร์  ซึ่งไร้ขีดจำกัดใดๆ  
เราสามารถทำทุกอย่างดั่งหัวใจต้องการจะเป็น...


แล้วฉันก็ไปสะดุดกับบทความบทหนึ่ง...ที่กล่าวถึงคนที่ใช่  
คนที่ตามหาในหัวข้อ  *คนในฝัน*
ฉันเองก็ชักไม่แน่ใจเสียแล้วว่าคนที่ใช่  ในมุมมองของฉันเป็นแบบไหน?กัน
คงยังไม่เจอคนที่ใช่มั่ง...
แต่เมื่อได้อ่านแล้วก็ทำให้ฉันแอบยิ้มกับตัวเอง...


ไม่หรอกฉันไม่ได้เจอคนที่ใช่...แต่ฉันยิ้มกับตัวเองว่าคงไม่มีแล้วคนที่ใช่...
หรืออาจจะเจอแล้วเมื่อ 12  ปีที่แล้ว  คือใช่ในความรู้สึกของหัวใจ
แต่ไม่ใช่...ในชีวิตจริง...
จนฉันเจอคนคนหนึ่ง...แต่ไม่ใช่...ฉันรู้สึกยังไงเหรอ?  
*ผิดพลาด*   กับการคาดหวัง


บางมุมมองของการดำเนินชีวิตในวันหน้า   มนุษย์คงมีสิ่งที่กลัว  
กลัวการที่ต้องสูญเสีย   กลัวกับการที่ต้องอยู่คนเดียว...
การพลัดพรากและการสูญเสียเป็นสิ่งที่น่ากลัวสำหรับมนุษย์โดยทั่วไป
ซึ่งจะปลงเสียทีเดียวก็ไม่ได้   ไม่ให้ยึดติดเลยก็ไม่ได้  จึงได้แต่พยายาม
แต่สำเร็จหรือไม่   คงเป็นเรื่องที่หัวใจตนเองจะติดตาม  ตรวจสอบ  
และประเมินผลดู				
Calendar
Calendar
Lovers  1 คน เลิฟแมงกุ๊ดจี่
Lovings  แมงกุ๊ดจี่ เลิฟ 2 คน
Calendar
Lovings  แมงกุ๊ดจี่ เลิฟ 2 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงแมงกุ๊ดจี่