13 ตุลาคม 2550 12:59 น.

ความพอดี..?

แมงกุ๊ดจี่


1192254501.jpg
ช่วงเวลาชีวิต...
เหมือนบางครั้งก็รู้สึกว่าช้า  บางครั้งก็รู้สึกว่าเร็ว....
ปีนี้เหมือนเป็นปีที่ถูกบ่วงกรรมตามมาสนองหรือไรหนอ?
ฉันเชื่อเรื่องกรรม  และเชื่อเรื่องโชคชะตา   ว่าคนทุกคนถูกกำหนดไว้แล้ว

ปีพุทธศักราช  2550  
ปีนี้ฉันพบเจอเรื่องราวเลวร้ายมากมาย   แต่ก็ไม่เท่ากับ ปีพ.ศ.2546 
เหมือนทุก ๆ   วันของการดำเนินชีวิตก็เป็นไปก็คือความซ้ำซากจำเจ...
แต่ผู้คนที่ผ่านเข้ามาให้รู้จัก   ได้มีโอกาสได้เรียนรู้   หลากหลายเรื่องราว
มันปฏิเสธไม่ได้ที่จะบอกว่า  "เปล่าเลยฉันไม่รู้สึกอะไรเลย  "  เพราะนั่นคือ
"การโกหกตัวเอง  และโกหกคนอื่นอยู่"   แต่ก็ต้องโกหกเพื่อให้ลืมทุกอย่างไป...

ศกนี้จวนจนจะสิ้นแล้ว....
ขอทุกอย่างโปรดผ่านพ้นไปด้วยดี   
เมื่อปลายปีพุทธศักราช  2548  ฉันกลับมาเป็นคนเดิมที่หัวใจว่างเปล่า   
แต่คงเหลือรอยความเจ็บปวดไว้...  ระยะเวลาสองปี  ที่เยี่ยวยารักษาหัวใจ  
เพื่อให้ชาชินกับความเหงาเดียวดายอย่างเคย...   ที่จริงมันก็ไม่ยากนักหรอก  
เพราะฉันเป็นนักสู้มาตั้งแต่เด็กจนโตแล้ว  กะอิแค่   เรื่องแค่นี้ทำไม?   ฉันจะทำไม่ได้   
มันแน่อยู่แล้วฉันต้องทำได้   ฉันบอกตัวเองเสมอ...

ศกนี้ดูเหมือนจะวุ่นวาย
โชคชะตากำลังพยายามเล่นตลกอะไรกันหนอ?
ฉันต้องชดใช้หรือไรกันนะ   หากต้องชดใช้ก็คงต้องทำตามนั้น
เพื่อให้หมดเวรซึ่งกันและกัน   ภพชาติต่อไปก็อย่าเจอะเจอกันอีกเลย...
หากจิตอธิษฐานแล้วเป็นจริงฉันจักอธิษฐาน  ภพหน้าขอเกิดเป็นชายด้วยเถิด...

ความวุ่นวายเกิดขึ้น...เมื่อฉันได้พบกับชายหนุ่มสองคน
ที่ระยะห่างกันแค่ไม่กี่เดือน  เหมือนเขาทั้งคู่มาสร้างความวุ่นวาย  
และทำให้ชีวิตระส่ำระสายจนอยากจะหนีไปให้ไกล ไกล   จากเรื่องวุ่น ๆ
1192254776.jpg

ฉันเจอ "พี่กริช"   ปลายเดือนมีนาคม
เขาเป็นเพื่อนกับพี่ที่ทำงานอายุ  36  ปี   มีกิจการส่วนตัว
ร่วมหุ้นกันกับเพื่อน  นี่คือสิ่งที่เขาบอกเล่า  ฉันเองไม่เคยพิสูจน์ว่าจริงไม่จริง...
เขาพยายามดูแลเอาใจใส่  ผู้หญิงที่เอาแต่ใจ  รักความอิสระเสรีเป็นชีวิตจิตใจ
แต่ก็ยังไม่เคยชนะใจฉัน   แต่ฉันก็ไม่ได้ปฏิเสธว่าไม่คบหากับเขา...  
เพราะฉันคิดว่า...มีคนรักดีกว่ามีคนเกลียด   คบกันเป็นเพื่อนเป็นพี่เป็นคนรู้จัก   
เผื่อมีอะไรก็ช่วยเหลือกันไป เมื่อเราลำบากหรือ  เกิดอุบัติเหตุข้างทาง
เขาอาจช่วยเราได้... ฉันคบเขาด้วยความบริสุทธิ์ใจ...

แต่เมื่อเวลาผันผ่านไป   ลายเริ่มออก  คำพูดโกหกเริ่มมีมาให้ฟัง  บ่อยขึ้น...
อย่างสม่ำเสมอในระยะหลัง   และบางสิ่งเริ่มจะไม่ถูกใจฉันนักแล้ว  แต่ก็ไม่ได้โวยอะไร?
เพราะคิดว่าสิทธิ์ของเขา   ดูเหมือนว่าเขาสนุกกับการที่ได้โกหกฉันและภาคภูมิใจ
ที่ผู้หญิงคนหนึ่งโง่ได้ขนาดนี้ ฉันไม่ถือสาเพราะวันหนึ่ง  เขาคงจะรู้  
แต่กว่าจะรู้ก็ต่อเมื่อสัมพันธ์มันขาดสะบั้นนั้นเอง...
1192254608.jpg

ช่วงเวลาต่อมาไม่นาน  ฉันได้พบ "พี่เอก"
เขาเป็นผู้รับเหมา  อายุ  37   ปีมีกิจการห้างหุ้นส่วนเกี่ยวกับรับเหมาก่อสร้าง  
ที่ดำเนินกิจการมาตั้งแต่รุ่นพ่อ...อันนี้ฉันเห็นด้วยตาเพราะเราติดต่อกับเกี่ยวกับ
ข้อมูลเกี่ยวกับกิจการของเขาอยู่แล้ว  ซึ่งเราพบกันเพราะเรื่องงาน  และมีนัดกินข้าวกัน
เพราะเรื่องงานอยู่เสมอ ๆ    จนรู้ภายหลังว่าเขาเอางานมาบังหน้าหาเรื่องนัดกินข้าว...
ฉันก็เริ่มจะห่าง ๆ  บ้างเพราะคิดว่าเขาคงใช้เป็นสะพานเพื่อผลประโยชน์ของเขาก็ได้...
แต่เขาก็ยังคอยโทร.มา  ซึ่งฉันรู้และเข้าใจ  ว่าเขาต้องการสานสัมพันธ์แบบไหน?   

เราเริ่มพบกันบ่อยขึ้น  พี่เอกจะมารับหลังเลิกงาน...
เราคุยกันรู้เรื่องดี   เข้าใจได้ทันที   และพี่เขาไม่โกหก  ฉันชอบ...
และอุ่นใจดีที่เขาคุยเป็นพี่ใหญ่    และให้คำปรึกษาได้...  ฉันเอาแต่ใจแค่ไหน?
พี่เอกก็ไม่เคยตำหนิเพราะรู้ว่าฉันรักอิสระ พี่เอกเข้าใจดี ว่าฉันชอบทำอะไรตามใจตัวเอง...
แต่พี่เอกก็มีวิธีทำให้ฉันเชื่องได้ไม่ยาก  เพราะความใจเย็น   และใจดีของเขา...
ทำให้ฉันยอมรับฟัง   และใช้เหตุผลมาแย้งความคิดของฉันจนต้องยอมแพ้ไปเอง....


---------------------------------------------------------------------------------------------------

หากจะเปรียบกันแล้ว   ฉันคงเหมาะสมกับพี่กริช  มากกว่า  พี่เอก...
แต่หากจะรัก  ฉันคิดว่าฉันควรจะรัก  พี่เอก   เพราะเขาไม่เคยโกหกฉันเลย   
ทุกอย่างคือเขาบริสุทธิ์ใจ    แต่พี่เอก   ดูเหมือนจะเกินเอื้อมสำหรับฉันเกินไป    
เพราะว่า...หมายถึงการยอมรับจากครอบครัวของเขาด้วย...  

ฉันไม่ต้องการเลือกใครสักคน...
ไม่ใช่ว่าต้องการค้นหาใครอีกหลายคน   แต่เหมือนคนหนึ่งขาด
แต่อีกคนหนึ่งมีมากเกินไป   จนต้องหันกลับมามองตัวเองว่าคู่ควรเขามั้ย?
โชคชะตาเล่นตลกอะไรกับฉันหน่ะ   อีกคนหนึ่งขู่จะฆ่าฉัน   แต่อีกคนกลับพร้อม
จะดูแลให้ความรู้สึกอบอุ่นใจ  ความผิดตกอยู่ที่ฉัน เพราะฉันคบสองคนไปพร้อม ๆ  กัน


ผ่านพ้นศกนี้ไป...
ฉันวาดหวังให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปด้วยดี   อย่าได้มีใครเป็นอะไรเลย...
เหมือนกับเวลาใกล้ความตายเข้ามาทุกที   ฉันรู้สึกเคลียดเริ่มนอนไม่หลับ 
หลับ ๆ  ตื่น ๆ  ไม่เคยเป็นสุขเลย...   แต่ก็หาหนทางออกไม่ได้   ทำได้เพียงปล่อย....
ปล่อยให้มันเป็นไปตามที่ควรจะเป็น  ตามที่โชคชะตาได้กำหนดขีดเส้นไว้ให้แล้ว...

ฉันแค่....แค่อยากระบาย...
ไม่ได้ต้องการโม้  โอ้อวดอะไร   เพื่อให้ใครหยามเยียดหรอก...
มันอัดอั้นกับเรื่องราวที่ดำเนินมา  บางอารมณ์ฉันก็อดที่จะโยนความผิดให้กับโชคชะตา
ที่ชักนำให้พบเรื่องราวต่างๆ ฉันอยากพบความพอดีของชีวิตเท่านั้นเองเพราะฉันเหนื่อย
เหนื่อยกับชีวิตที่ต้องลิขิตให้เดินไปตามเส้นชะตาของตัวเองแล้ว...  


หมอดูเคยทักเรื่องนี้ 
แต่ฉันเองไม่เคยคิดว่าจะเป็นจริง   กรรมของฉันเขาบอกแบบนี้ 
มีวิธีแก้กรรมคือการบำเพ็ญกุศล รักษาศีลภาวนา ปฏิบัติธรรม และทำทาน
ให้เป็นกิจวัตร....

***********************************************************************************

ขออภัย...
ผู้ที่เขามาอ่าน   บางทีคุณอาจไม่ชอบใจ...

.				
27 กันยายน 2550 13:43 น.

จดหมายถึง...ดวงดาว

แมงกุ๊ดจี่

9-20070927132557.jpg"อยากรู้ว่าจะมีใครมั๊ย  ที่มีความรักแล้วต้องเก็บเอาไว้
และเมื่อได้พบทีไร  ถึงแม้ดีใจก็ต้องฝืนทำตัวเหินห่าง
ทั้งที่หัวใจอยากบอก แต่ก็ดูเหมือนมีอะไรมาขวาง
จะต้องทำอย่างไร  กับรักที่ไม่มีหนทาง"

เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์   ดังวนไปมาซ้ำ ๆ   สองรอบแล้ว....
ฉันงัวเงีย   หยีตาควานหากระเป๋าสะพายใบเก่าที่เคยไว้ข้างเตียง
คว้าหยิบโทรศัพท์รุ่นเก๋ากึก   มารับสายให้เสียงเงียบเพื่อตัดความรำคาญ

"ฮัลล....โหล"   หน้าก็ยังซุกอยู่กับตุ๊กตาตัวโปรดเหมือนเด็ก...  
"ปาาาาา...  ติ..."  เสียงอุทานมาตามสาย  เป็นเสียงของพี่สาวฉันนั่นเอง
"อืม...มีอะไร?  โทร.มาแต่เช้า"  ฉันถามกับไปแบบหงุดหงิดหน่อย ๆ
"ไม่กลับมาบ้านเหรอ?  พ่อจะทำบุญ  รอให้พร้อมหน้ากัน"   เสียงคุณนายแว๊กมาตามสาย
"อืม...จะไปแต่สาย ๆ  หน่อยนะ"  ฉันตอบไปแบบงัวเงีย  เบลอ ๆ  ยังตื่นไม่เต็มตา
"เอ่อ...ต้องออกมานะ  ได้ยินหรือเปล่า? "   เสียงหล่อนยังคงแว๊ก ๆ ๆ  
"เอ้อ ๆ   รู้แล้ว  ๆ     แค่นี้นะขอนอนก่อนแล้วสาย ๆ  จะออกไป"   ฉันรีบกดวางสาย
แล้วฟุบหน้ากับตุ๊กตา  เพื่อนอนต่อ  แต่จริงแล้วไม่ได้หลับหรอก  หลับแต่ตาเท่านั้น
เพราะความคิดทุกอย่างตื่นแล้วไม่สามารถหลับ   จนต้องปล่อยความคิดล่องลอยไป....

....เมื่อกี้ฉันไม่ได้เล่าให้พี่สาวฟังว่าเมื่อคืนฉันฝันเห็นแม่   
แม่มาหาฉันเมื่อคืน...    แต่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่    ฉันไม่รู้ว่านั้นเป็นฝันหรือเป็นอะไรแน่   
หรือเป็นจิตใต้สำนักตัวเอง   แม่มานั่งร้องไห้   ไม่พูดไม่จาอะไร   ฉันไม่เห็นหน้าแม่    
แต่รู้ว่าแม่ร้องไห้และจ้องมองมาที่ฉัน   ฉันทำอะไรผิดพลาดไปหรือเปล่านะ    
หรือมีเหตุอะไร?     หน้ายังซุกอยู่ในท่าเดิม   ดวงตายังคงหลับแต่ความคิดไม่หลับ....
หรือปิดเลย    กลับคิดกังวลเตลิดไป   ถึงไหนๆ    กับความฝันเมื่อคืน...

หลายปีแล้วที่ฉันไม่มีแม่คอยเป็นแรงบันดาลใจ.....  
ให้คิด  ให้กระทำ   ให้ยิ้มสู้กับปัญหาและคอยเป็นสิ่งเร้าให้วาดความฝัน  ความหวังต่าง ๆ  
ในทุก  ๆ  วันฉันอยู่ไปงั่น ๆ   เอง    บางทีก็เหนื่อยกับวันเวลาที่ผ่านไปแบบไร้สิ่งกระตุ้น
บางครั้งก็เป็นในแบบนี้ก็ดีแล้ว    อยู่ไปในแบบที่เป็นตอนนี้ก็ดีที่สุดแล้ว...  สำหรับตัวเอง

ทำให้นึกย้อนไปถึงครั้งที่แม่ปวดหนัก   ที่ต้องเข้า ๆ  ออกๆ   จากโรงพยาบาล...
มันเจ็บปวดใจดีจัง   ฉันสูญเสีย   ลูกของแม่ทุกคนสูญเสีย     แต่ทุกคนก็เข้มแข็งอยู่ได้...
เพียงแค่คิดถึง     แววตาหญิงชราที่เห็นเมื่อคืนในความฝัน  ที่ผุดขึ้นในมโนภาพเจ็บปวดดีจัง
มันช่างชัดเจน  ภาพหญิงชราร้องไห้   คนที่ร้องไห้   เป็นหญิงชราที่ฉันรักเคารพ   และบูชา     
มันเจ็บปวดมากเมื่อคิดถึงแววตาอ้อนวอนนั้น...

หรือว่า...แม่ผิดหวังกับลูกสาวคนนี้...นะ
หรือแม่เป็นห่วงน้องแต่ทุกคนก็ไม่เห็นต้องมีอะไรน่าเป็นห่วงนี่นา...
ในทุกครั้งที่ตัวเองมีปัญหา   ก็ต้องเขียนจดหมายบอกเล่าให้แม่ฟังทุกครั้ง
จดหมายหลาย  ต่อหลายฉบับถูกหย่อนลงตู้ไปรษณีย์   หน้าซองจ่า ถึงดวงดาว...
ฉันอัดอั้นเกิดจะเล่าให้พี่สาว  พี่ชายและน้อง ๆ   ฟัง     แม้แต่พ่อฉันก็ไม่เคยปรึกษา
ใด ๆ   เลย    เพราะท่านเลี้ยงเราแบบผู้ใหญ่เกินไป   เมื่อเกิดปัญหาจึงแก้ไขเองเสมอ ๆ

ที่แม่มาหาฉัน....?
คงเป็นเพราะจดหมายฉบับสุดท้ายที่ส่งไปหรือเปล่า?  นะ
ลูกขอโทษ   ลูกกระทำสิ่งที่เลวร้ายไม่น่าให้อภัย   ลูกไม่สง่างามอย่างที่แม่ต้องการ...

ฉันยอมรับว่าเคยทำให้แม่ร้องไห้   
ท่านเสียน้ำตากับสิ่งที่ฉันทำเพราะความดื้อรั้นของฉันที่ฝืนอยากจะทำ...
ทำสิ่งที่ตัวเองต้องการกระทำ    แต่มันก็ไม่เคยมีสักครั้งผิดพลาด   แต่ก็คงบาปไม่น้อย
ที่ทำให้แม่ต้องคอยเป็นห่วง  และท่านคงจะรับไม่ได้กับความผิดพลาดในชีวิตที่ฉันตัดสินใจทำ
แต่ก็ยังโชคดีที่ท่านเป็นห่วง   แต่ความผิดพลาดไม่เคยเกิดขึ้น...เพราะท่านยังหัวโบราณ
กับยุคของท่านเอง    แต่จะว่าไปแล้วท่านก็คงเป็นห่วง  พยายามสอนสิ่งที่เป็นยุคของท่าน 
แต่ฉันกลับทรพี    คิดว่ายุคของท่านเชย   แต่ก็ไม่ใช่ไม่ปรับใช้กับยุคปัจจุบันหรอกนะ...

แต่ทุกวันนี้....
ฉันทำอะไรตามความพอใจ   ทำทุกอย่างแบบคิดน้อย  และให้อิสระกับความคิด
ให้มากซะจนบางครั้งก็ต้องมานั่งนึกเสียใจ  และคิดย้อนกลับไปว่าถ้าแม่เห็น  แม่คงเสียใจ
ปฏิเสธไม่ได้ว่าบ่อยครั้งที่เผลอ  และทำแบบไม่เคยยั้งคิด    มันต่างจากเมื่อก่อนมาก ๆ  มากจริงๆ
ทุกครั้งที่จะตัดสินใจทำอะไร ?   ต้องเอาแม่เป็นหลักยึดว่าผลที่ออกมาจะทำให้แม่สะเทือนใจ
และทุกข์กับการกระทำของตัวเองมากแค่ไหน?   

ปัจจุบัน...
ฉันกลายเป็นคนที่ไม่รอบคอบ   ใช้ชีวิตแบบติดเสรีเกินไป...
เป็นคนง่าย ๆ  สบาย ๆ  ในหลาย ๆ  เรื่องจนบางครั้งมานั่งคิดย้อนไปก็แทบไม่น่าเชื่อ
ว่าตัวเองจะทำอะไรได้แบบนั้น   ฉันจะพยายามจะกลับไปเป็นคนเดิมแบบที่เคยมีแม่เคียงข้าง...

รู้ทั้งรู้....
ว่าแม่ไม่เคยห่างไปไหน?   จากหัวใจดวงที่อ่อนแอใบนี้เลย...
แม่เคียงข้างฉันเสมอ...   แต่ฉันกลับคิดว่าแม่จากไปแล้วท่านคงไม่รับรู้อะไรแล้ว
จึงทำให้ทุกครั้งของการตัดสินใจในบางครั้ง    ประมาทและไร้สติยั้งคิด    
ฉันจะกลับไปเหมือนเดิม  เป็นคนเดิมที่แม่ไว้วางใจ    มั่นใจที่จะฝากพ่อ  
ฝากน้องไว้ให้ดูแล...   ฉันจะต้องสง่างามอย่างที่แม่คาดหวังไว้ให้ได้..........

หนูรู้ว่าแม่....
คอยมองดูความประพฤติของหนู   ไม่ห่างไปจากหนูเลย...
ดวงดาวที่กระพริบนั่นไง  ?   ที่คอยสบตาหนูเสมอ ๆ   หนูจะคิดให้มากค่ะแม่...
และจะสัญญาว่าจะบอกเล่าแต่เรื่องราว   ที่ดี ๆ   ที่ตัวเองทำ   เรื่องเลวร้ายจะไม่มี
ไม่มี...ในจดหมายฉบับต่อ ต่อไปนะคะแม่...   หนูจะทำแต่สิ่งที่ดี  และควรกระทำนะคะ

คิดถึงดวงดาว...ที่ท่อแสงประกายบนฟ้าเสมอ...

สบแสงดาวพราวฟ้า..."ดวงตาแม่"
เปรียบดูแลปลอบปลุก...ลูกลุกเดิน
ส่องนำทาง...แก่ลูกสาวก้าวเผชิญ
หมายสรรเสริญลูกตนเป็น "คนดี"

สบแสงดาวกราวน้ำตาร้องหาแม่
คราพ่ายแพ้...เคว้งคว้าง...กลางวิถี
เหม่อมองบนท้องนภา...ยามราตรี
คล้ายดวงดาราเปล่งรัศมีมาที่ "เรา"

สบแสงดาวคราวใด...ไร้ท้อแท้
เพราะรู้แน่แม่เคียงอยู่...รู้ดั่งเงา
คอยอยู่ใกล้เสมอ...ยามเผลอเศร้า
ปลอบบรรเทาความทุกข์ที่รุกราน

สบแสงดาวร้าวรู้สึก...เมื่อนึกถึง
ใครคนหนึ่ง...อ่อนล้ามิกล้าหาญ
พลาดพลั้งครั้งก่อนมาย้อนผ่าน
ดั่งคอยพลาญดวงจินต์และวิญญา

สบแสงดาวพราวฟ้า...นภากว้าง
แม้เคว้งคว้าง...เท่าใด...ยังไขว่คว้า
สบแสงดาวเจิดจรัส....ด้วยศัทธา
คนอ่อนล้า....จะไปต่อ....ท้อก็ทน..				
2 สิงหาคม 2550 17:25 น.

"บรรทัดหวาน"

แมงกุ๊ดจี่

9-20070802170133.jpgกระดาษกองรกไปทั่วห้อง    กระดาษแต่ละแผ่นถูกขยำยับยู้ยี่
เป็นก้อนกลม ๆ  เหมือนลูกตะกร้อ   ทิ้งเกลื่อนเต็มไปหมด   
เสียงฝนกระทบหลังคาดังกลบเสียงเครื่องเสียงที่เปิดไว้จนแทบ
ไม่ได้ยินเสียง   ที่เปิดดังสนึน    ถ้าฝนไม่ตกคงได้ยินเสียงขว้างปา
ครก  สาก  หรือหม้อลอยเป็นแน่
  
เสียงฝนยังคงดังอยู่ด้านนอก   เหมือนกับว่าฟ้าพิโรษโกรธกริ้ว   
เสียงฟ้าร้องคำรามน่ากลัว   ฟ้าแลบแปบ ๆ   เจ็บแปลบใจดีจัง
"รศิกานต์"   หญิงสาวลอบมองออกไปนนอกหน้าต่างบานใส
ละอองฝนเกาะแล้วค่อย ๆ   หล่นไหลจากผิวกระจก ลงตามแรง
โน้มถ่วงของโลก   สีหน้าแววตาของหล่อนดูเศร้าหมอง  เหม่อลอย
เคว้งคว้าง  หล่อนคิดแว๊ปมาในหัว   ว่าหากได้วิ่งเล่น ระบำ  หมุนรอบตัว
อยู่กลางสายฝนก็น่าจะดีขึ้น   น่าจะสดชื่นขึ้นมาบ้างในรู้สึก...
แต่หล่อนคงทำได้เพียงเท่านั้น...  ได้เพียงคิดวาดภาพ....

หล่อนทำอย่างนั้นไม่ได้   เมื่อสองปีเกิดอุบัติเหตุ    หล่อนประสบอุบัติเหตุ
พร้อมกับแฟนหนุ่ม    หล่อนเดินไม่ได้   ขาไม่มีเรี่ยวแรงลุกจากเตียง
แม้แต่ช่วยเหลือตัวเองเพื่อเดินไปหยิบจับยังไม่ได้   แต่หล่อนเองก็เริ่มชิน
กับการใช้รถเข็นบางแล้ว   หล่อนทำกายภาพตลอดสองปี   แต่ยังเดินไม่ได้
เส้นพลิกหรือแม้แต่หมอยังให้คำตอบไม่ได้    แต่หล่อนไม่ยอมเดิน  เพราะ?
หล่อนไม่มีเรี่ยวแรง   แรงใจคงน่าจะใช่   ส่วนแฟนหนุ่มเหรอ ?  
หล่อนพิพากเขาแล้วว่าเขาเห็นแก่ตัวอย่างที่สุด   ที่ทำให้หล่อนเป็นแบบนี้   
ปล่อยให้หล่อนต้องทุกข์ทรมานอยู่เพียงลำพังเขาเห็นแก่ตัวอย่างไม่ให้อภัย   
แต่หล่อนก็ยังรักเขา...    และลืมเขาไม่ได้   และรักใครไม่ได้อีกแล้ว.....

รศิกานต์   หันกลับมามองกระดาษตรงหน้า    แล้วค่อย ๆ  บรรจงขีดเขียน
ลายเส้นลงไปในกระดาษใบว่างเปล่า    เพื่อเรียงร้อยถ้อยคิดถึง   ที่รับรู้
แต่ไร้ผู้สัมผัส    ซึมซับได้เพียงตนฝ่ายเดียว   หวังเพียงได้บรรยาถ่ายทอด
ด้วยอักษรเป็นจดหมาย   แม้ว่า...  ใครคนนั้นมิรับรู้   แต่เขารู้หล่อนมั่นใจ...

     	ถึงพี่นุที่รัก...
เวลาผ่านมาเนิ่นนาน   น้องศิคิดถึงพี่เสมอไม่เคยลืมพี่นุเลย   ทุกวันที่ผ่านไป
น้องศือยู่อย่างหงอยเหงา   เป็นกำลังใจให้น้องศิด้วยนะคะ    น้องศิอยากกลับมา
เพื่อลุกเดินได้อีกครั้ง   น้องศิอยากวิ่งเล่นในทุ่งหญ้ากว้างที่เคยไปกับพี่นุ   
น้องศิรู้ว่ามันยาก   แต่น้องศิจะพยายาม   พี่นุอยู่เคียงข้างเสมอ  น้องศิรู้ค่ะ
วันนี้ฝนตกหนักมากค่ะ   ฟ้าก็ร้องเสียงดังน่ากลัว   น้องศิกลัวค่ะพี่นุ  กลัวมากด้วย
ฟ้าโกรธใครมา  จึงมีน้ำฝนตกลงมาไม่ขาดสาย     ปานใครคนหนึ่งร้องไห้จะขาดใจ
หรือฟ้าร้องไห้   ให้น้องศิหรือคะ....

	พี่นุคะ    น้องศิยังคิดถึงและรักพี่นุเสมอ   แต่คุณหมอเจ้าของไข้
เขาดูหล่อเข้มดีนะคะ   อย่าโกรธน้องศินะคะ    ก็น้องศิแค่เย้าพี่นุเล่นนิดเดียวเอง
หัวใจคนเราจะรักใครไม่ได้อีก    ถ้าเราไม่ยินยอม   เหมือนน้องศิรักพี่นุ    พี่นุคนเดียว
"ภานุพัทธ์   ศิริกานนท์"     เสมอตลอดไป
			รักพี่นุ   ตราบหมดลม....

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

อยู่เดียวดายปลายทางอ้างว้างเหงา
ไร้แม้เงา...คนรักจักห่วงหา
ต้องโดดเดียวดวงจินต์และวิญญา
รอเวลา...ชีพดับ...ล่วงลับสูญ....

มีชีวิตในโลกอย่างโศกศัลย์
เจ็บจาบัลย์...โหยหาพร่ำอาดูร
ในทุกวันไร้สุขทุกข์เพิ่มพูน
เมื่อสิ้นสูญ...คนรัก...เหมือนตักษัย....
				
21 มิถุนายน 2550 12:37 น.

นิยายเรื่องนั้น

แมงกุ๊ดจี่

๑.
ปึก!.... เสียงโยนซองสีน้ำตาลขนาด  A4  ในนั้นมีเอกสารประมาณปึกหนึ่งได้
สาเหตุของเสียงมาจากอาการหัวเสียของชายวัยกลางคน สวมแว่วตาหนาเตอะที่มีอาการหงุดหงิด สีหน้าตึงเคลียด   เขาคือบอกอ. สำนักพิมพ์หนังสือแห่งหนึ่ง  ซึ่งตอนนี้บอกบุญไม่รับซะอย่างนั้น

อาการหงุดหงิดที่เหมือนจะไม่ยอมสงบง่าย ๆ  เจ้าของอาการเดินมาใกล้โต๊ะ
ทำงานแต่ไม่ยอมนั่ง  แต่ใช้มือค้ำยันขอบโต๊ะทำงาน เพื่อให้การทรงตัวมั่นคง
มากพอแล้วจ้องเขม็ง  มายังต้นตอของอาการหงุดหงิดของเขา  ที่ทำเขาแทบ
เหมือนคนเสียสติ

"ผมบอกคุณกี่ครั้งแล้ว  ให้ส่งต้นฉบับก่อน 1  เดือน  เพื่อให้ผมอ่านก่อน
แล้วค่อยพิจารณาตีพิมพ์   คุณไม่เข้าใจรึไง  ห๊ะ"  บอกอ.ส่งเสียงตวาด
อันทรงพลังมากด้วยอำนาจที่เหนือกว่าพร้อมจ้องไม่วางตา   บอกอาการไม่สบารมณ์ได้อย่างเด่นชัด...แววตาของคู่สนทนา  ฉายแววผิดหวังไม่น้อยที่โดนหนิอย่างนั้น   แต่ก็มิได้โต้แย้งผู้มีอำนาจเหนือกว่าแต่อย่างใด  เหมือนเป็นสิ่งที่จะปฏิเสธเสียมิได้  ที่ต้องนั่งรับฟังคำด่าทอ  คำตำหนิ   ที่ตอกย้ำความรู้สึกนึกคิด..

"แล้วนี่อะไร!  แล้วนี่อะไร! "  ตาของ บก.สำนักพิมพ์แทบถลนออกมานอกเบ้า
พร้อมกับกิริยาหยามหยันกึ่งขำแสยะยิ้ม   แต่ไม่มีทีท่าว่าจะส่งเสียงหัวเราะเล็ดลออดออกมาแต่อย่างใด..."ดูซิ   อ่านดูแล้วยิ่งไร้อารมณ์   ไม่น่าติดตาม  คุณเป็นนักเขียนนะ  ไม่ใช่ไม้กระดาน" เขายังคงพูดไม่หยุด โดยเปลี่ยนจากมือยันโต๊ะทำงาน  เป็นเดินอ้อมมาด้านหลังของคู่สนทนา  แล้วเดินวนกับไปยังจุดเดิม...

"ผมให้โอกาสคุณแก้ตัว   เรื่องของคุณจะเลื่อนไปก่อน   ยังไม่ตีพิมพ์ปักษ์นี้
ผมจะเอาของนักเขียนคนอื่นลงไปก่อน   ส่วนคุณไปจัดการแก้ไขงานคุณมาให้สมบูรณ์"เขานั่งลงพร้อมใช้มือดันซองสีน้ำตาลที่โยนลงก่อนนี้     เลื่อนให้เจ้าของซอง  รับคืนไปเจ้าของเอกสาร  สบตา   "ค่ะ   บอกอ " แล้วเอ่ยรับคำอย่างหนักแน่น  แต่แฝงไว้ด้วยความระอิดระอาใจเหลือ...

ดูเหมือนพายุอารมณ์เมื่อครู่จะสงบลงแล้ว    
เมื่อได้พัดปะทะกับสิ่งกรีดขวาง  เหมือนจะไม่สามารถพัดทำลายสรรพสิ่งต่าง ๆ  ได้อีก"งั่นขอตัวนะคะ  บอกอ "  คู่สนทนาคิดว่าได้เวลาแล้ว  ที่จะออกไปจากห้องนี้ห้องเย็นที่ใคร ๆ   เรียก  แต่สำหรับหล่อนทำไม?  มันร้อนอบอ้าวเหลือเกิน  และแสนจะอึดอัด  เป็นไปได้หล่อนแทบอยากจะวิ่งหนี   ในนาทีที่เห็นอารมณ์เกี้ยวกราดนั้นทันที... 
     
"อ้อ! เดี๋ยว... อย่าลืมนะ  อารมณ์หน่ะ  อารมณ์ให้มันมีซะบ้าง"  
เสียงผู้มีอำนาจเหนือกว่าสบถ..   ก่อนที่หล่อนจะเดินพ้นประตูห้องออกมา เมื่อก้าวพ้นประตู  หล่อนมองดูซองสีน้ำตาลที่ถือออกมาด้วย แล้วถอนหายใจยาว  เหมือนจะโล่งคล้ายยกภูเขาออกจากอก  ที่ออกมาจากห้องบอกอเจ้าอารมณ์ได้เสียที

"วิกานดา  อัญญสิทธิ์"  หญิงสาวที่เรียนจบด้านการบริหาร  แต่มีพรสวรรค์ในการเขียนนิยาย...และเป็นสิ่งที่หล่อนชอบและรักที่จะทำในงานด้านนี้   และยึดอาชีพในด้านการเป็นนักเขียน  หล่อนเป็นนักเขียนฝีมือดี  และมีจินตนาการที่หลายหลากในการสร้างสรรค์ผลงานออกสู่มหาชนเสมอ   หล่อนเกิดมาพร้อมกับสำนักพิมพ์นี้   ไม่สิหล่อนแจ้งเกิด  ได้เป็นนักเขียนก็เพราะสำนักพิมพ์นี้  หล่อนหันหลังไปชำเลืองมองประตูห้องที่ก้าวพ้นออกมาเมื่อครู่   พร้อมกับยักไหล่ทั้งสองข้าง  เหมือนไม่หยี่หระกับเหตุการณ์ที่ผ่านมาไม่กี่นาที   แล้วหยิบซองสีน้ำตาลที่เป็นต้นฉบับขึ้นแนบอกเดินเข้าลิฟต์ไป...

***********************************

๒.
หญิงสาวร่างบางนอนหลับสนิทไม่เป็นท่า  ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง 
ไร้ภาพพจน์งดงามของกุลสตรี   เหตุเพราะเมื่อคืนหล่อนทำงานจนดึกดื่น... ทำให้หลับเหมือนคนไร้สติ   ไม่สามารถควบคุมความคิดกริยาใด ใด ได้    (อิอิ   เหมือนผู้เขียนเลย  คริ ๆ) 
เมื่อคืนหล่อนหมกหมุ่นอยู่กับการวางเคล้าโคลงเรื่องของนวนิยาย  ที่เขียนให้กับสำนักพิมพ์  ที่มีกำหนดภายใน  1   เดือน  ต้องส่งต้นฉบับให้ทัน  แต่เหมือนจะไม่เข้าท่าเอาซะเลย   หล่อนเสียเวลาทั้งคืนไปโดยเปล่าประโยชน์  และหมดเรี่ยวแรงที่จะต้านความอ่อนล้าของร่างกายได้...

ก็หล่อนถนัดเขียนแนว  รักแก่นแก้วแสนซน   และฆาตกรซ่อนเงื่อน  แต่นี่บอกอ.สั่งเหมือนฟ้าฝ่า    ให้เขียนแนวใหม่   เป็นรักโรแมนติก  หวานแว๋ว  อันนี้ก็ยังพอทำเนา     แต่ต้องมีบทรักพิศวาท    เย้ายวนใจ   ให้น่าติดตาม...นี่สิ!  ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญทำให้เป็นปัญหาหนักสาหัสสำหรับนักเขียนวัยละอ่อนอย่างหล่อน...

กริ๊งงงงงงงง  กริ๊งงงงงงงงง.....เสียงโทรศัพท์ดังปลุกนักเขียนสาวที่อิดออด
ไม่อยากจะลุกจากที่นอนมารับเท่าใดนัก...เพราะเหนื่อยล้ามาเกือบทั้งคืน...
"วิ ค๊ะ" หล่อนทำเสียงเซ็ง ๆ  แทนชื่อตัวเองโดยอัตโนมัติ  เพราะจริง-จริงแล้ว
หล่อนไม่อยากจะลุกมาด้วยซ้ำไป...

"ยังไม่ตื่นอีกเหรอ?  ลูกสาวขี้เซา"  เสียงแว๊ก  แว๊ก...มาตาสาย   
แต่เป็นเสียงที่แว๊กที่ฟังแล้วอบอุ่นดี  สำหรับลูกสาว  เป็นเสียงของ  วิภา  อัญญสิทธิ์ มารดาของหล่อน ตั้งแต่หล่อนเรียนจบก็ขอออกมาอยู่ข้างนอก   โดยบิดาได้ซื้อห้องชุดหรือคอนโด ที่จัดได้ว่าหรูหราในระดับหนึ่ง   ซึ่งบิดาของหล่อนเป็นนักธุรกิจ  ที่มีฐานะมั่นคงพอสมควร

"แม่เองเหรอคะ "   หล่อนทำเสียงง่วน ๆ  กะจะงอแงเต็มที่
"ลูกวิ   วันนี้วันหยุดมาทานข้าวเป็นเพื่อนพ่อกับแม่นะ"   เธอบอกบุตรสาว
"โห!   แม่คะวิไม่ว่างเลยงานเยอะมาก"  หล่อนก็ตอบไปอย่างนั้นเอง  
แท้ที่จริงแล้วหล่อนอยากไปจะตาย   แต่ยังรู้สึกฝืน  ๆ   ที่จะต้องไปพบหน้าบิดา  
เพราะบิดาไม่เห็นด้วย กับงานที่หล่อนทำ   เพราะบิดาบอกว่าไม่มั่นคง  และไม่เห็นรายได้เป็นกอบ เป็นกำเหมือนตนประกอบธุรกิจ   และเขาต้องการให้ลูกสาวมาช่วยดำเนินกิจการต่อจากตน

"ไม่ต้องอิดออดเลย   แม่อยากให้วิ  มีโอกาสคุยกับคุณพ่อบ้าง"มารดาหล่อนพูดแล้วถอนหายใจยาว เพราะเป็นกังวลว่าพ่อลูกจะห่างกันมากไปกว่าเดิม  เพราะลูกสาวกับพ่อนิสัยใจคอถอดแบบกัน มาโดยไม่ผิดเพี้ยนเลย  ดังคำโบราณว่า "ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น"   พ่อลูกต่างมีทิฐิต่อกัน...

"ว่าไง?   ลูกวิ  คุณพ่ออายุมากแล้วนะ  ลูกวิอย่าทำเป็นเด็กพร่องการอบรมนัก"   เสียงมารดาเอ็ดมาตาสาย  ซึ่งความจริงแล้วหล่อนก็ไม่โกรธเคืองบิดาเลย  แต่ละอายที่จะดื้อดึงทำสิ่งที่รัก เพราะมันขัดกับความต้องการของบิดา  เหมือนหล่อนประกาศความเป็นอิสะเสรีของตนเอง

"แม่คะ   งั้นเย็นนี้วิไปทานข้าวด้วยนะคะ"   หล่อนตอบรับคำมารดา   แต่ในหัวใจก็หวั่น ๆ ว่าจะคุยกับบิดาว่ายังไงดี    ถ้าหากบิดายื่นคำขาดให้ไปช่วยงานของท่าน  หล่อนบอกตัวเอง ว่าเป็นไงเป็นกัน   อย่างน้อยหล่อนจะต้องไม่อกตัญญูบิดามารดาผู้ให้กำเนิดหล่อนมา....


***********************************
๓.
หล่อนขับรถเก๋งคนงามเข้าไปในบริเวณบ้าน  ซึ่งหล่อนไม่ได้มานานมากแล้ว
ตั้งแต่คราวที่ขอบิดาเป็นนักเขียน  ทำให้บิดาไม่พอใจเป็นอย่างมาก.... ที่หล่อนเลือกจะทำอะไรเล่น เล่น   ซึ่งเป็นความคิดของท่านเอง   แต่มันเป็นความฝันความฝันที่หล่อนอยากจะคว้ามา   เพราะหล่อนตามใจบิดาแล้วหลายต่อหลายครั้ง
ครั้งที่ยินยอมเรียนด้านการบริหารธุรกิจ  แทนที่จะเรียนทางด้านนิเทศฯ หรืออักษรศาสตร์  แต่หล่อนก็จำต้องปฏิบัติตามคำของบิดา  และหล่อนก็ทำได้ดีด้วยสิ   ซึ่งบิดาหล่อนเอง  ก็คิดว่าเมื่อเรียนไปแล้วหล่อนจะต้องชอบ   และรักที่จะเป็นนักธุรกิจเหมือนตน...

หล่อนจอดรถแล้วนั่งนิ่งทำใจในรถ  หลับตาถอนหายใจยาว...
จังหวะเดียวกันที่มารดาของหล่อนเดินออกมาต้อนรับ   ด้วยแววตาและกิริยาที่งบอก  ได้ว่าคิดถึงหล่อนมาก  ท่านยิ้มมาแต่ไกลด้วยความรู้สึกปิติยินดี  ที่ลูกสาวยอมมา  หล่อนเห็นมารดาเดินลงมาจากตัวบ้าน  จึงเปิดประตูรถลงไปหามารดาที่กำลังเดินยิ้มมาต้อนรับ 

"ลูกวิ...."   วิภาสวมกอดลูกสาวด้วยความรักใคร่   ซึ่งจริง-จริงแล้ววิภาติดต่อกับลูกสาวเกือบจะตลอดเวลาที่หล่อนขอออกไปอยู่ตามลำพัง  แต่ไม่เคยบอกให้สามีได้รู้เห็น

"คุณแม่..."   หญิงสาวกอดมารดาแน่น   น้ำตาปริ่มซึมเหมือน
จะไหลออกมาให้ได้ "เข้าในบ้านก่อนเถอะ  คุณพ่อรออยู่"  วิภาบอกบุตรสาวด้วยความอ่อนโยน  เพราะรู้แน่ในแววตา  ว่าวิกานดา   หวาดหวั่นที่จะพบบิดา  ซึ่งวิภาพยายามจะสร้างความมั่นใจให้แก่บุตรสาว... วิกานดาเดินตามมารดาของตนเข้าไปในบ้าน  ซึ่งหล่อนเองก็คุ้นเคยเพราะหล่อนเกิดที่นี่และโตที่นี่

ภายในห้องหนังสือดูกว้างขวางโอ่อ่า  และตกแต่งแบบเรียบเหมาะสมและลงตัว
ซึ่งบ่งบอกว่าเป็นห้องของนักธุรกิจที่มีรสนิยมมากพอควร  แห่งการได้รับความยกย่อง...นพกานต์    อัญญสิทธิ์    ชายวันกลางคนที่เฉียดห้าสิบ  นั่งอยู่ภายในห้องเพียงลำพังเงียบ ๆ  ก๊อก ก๊อก.... เสียงเคาะประตูทำให้บุคคลที่อยู่ในห้องต้องหันไปมองแต่ยังคงนิ่งด้วยแววตาฉาย   ความราบเรียบแต่แฝงความเฉยชา... 

วิกานดาหล่อนเห็นบิดานั่งอยู่ในเก้าอี้โยก ที่ใช้สำหรับพักผ่อน  นอนอ่านหนังสืออยู่ไม่ห่างจาก ริมหน้าต่างมากนัก  ท่านดูซูบไปมาก  เพราะเกือบ 3  ปีที่หล่อนไม่กล้ามาพบท่านเลย...

หล่อนค่อย ค่อย  คลานเข้าไปใกล้   แล้วพนมมือกราบลงตรงเท้าท่านที่วางบนที่วางพักเท้า ของเก้าอี้โยก  "คุณพ่อขา...วิขอโทษ  ขอความกรุณาอย่าโกรธลูกเลยนะคะ"  หล่อนหมอบกราบ   ที่เท้าน้ำตาร่วงโดนเท้าผู้เป็นบุพการี  ผู้เป็นบิดาก็ไม่เคยโกรธเคืองบุตรสาวของตนเลย  เพียงแต่  พูดไปเพื่อให้สำนึกเท่านั้น  ด้วยความโมโหจึงพูดแรงไป   จนสถานการณ์ต้องห่างเหินกันอย่างนี้   เพราะมีลูกสาวเพียงคนเดียวจึงต้องการให้ดำเนินกิจการช่วย  ซึ่งได้วางแผนชีวิตให้หล่อน..
ตั้งแต่เริ่มแรก  เรียนก็ต้องเรียนด้านการบริหารธุรกิจ   และหลายสิ่งหลายอย่างที่ท่านสอนหล่อน แต่หล่อนก็อยากจะทำสิ่งที่ตัวใฝ่ฝัน    ซึ่งผิดถนัดที่ท่านจะบังคับหล่อนเหมือนแต่ก่อน..  นพกานต์ค่อย ๆ  ลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้โยก  แล้วก้มลงประคองไหล่สองข้างของบุตรสาวให้ลุกยืนตาม แล้วสวมกอดไว้ในอ้อมแขน   "อย่าดื้อกับพ่ออีกเลยลูก  พอยอมเจ้าแล้ว"   เสียงท่านแหบเหมือน
เหนื่อยมาก   วิกานดาซบกับอกบิดาด้วยความรักที่บิดาเอื้ออาทรต่อหล่อนไม่โกรธหล่อน  ที่ดื้อรั้น "ค่ะวิจะไม่ดื้อกับคุณพ่ออีกแล้ว"   หล่อนตอบรับคำ แล้วถอยออกห่างบิดาเพื่อมองหน้าท่านให้ชัด "คุณพ่อซูบไปมากนะคะ   คงเป็นเพราะลูก  ลูกผิดเองค่ะ"   น้ำตาหล่อนไหลด้วยสำนึกผิดในสิ่งที่ตนก่อขึ้น   ถ้าหล่อนไม่ดื้อรั้นมากและเอาแต่ใจจนเกินไปทุกอย่างคงไม่ดำเนินมาเช่นนี้...


เมื่อเห็นพ่อลูกปรับความเข้าใจกันแล้ว   วิภาจึงเข้าไปชวนทั้งคู่รับประทานอาหารเย็นครอบครัวกลับมาเหมือนเดิม  สามพ่อแม่ลูกหน้าตาสดชื่นกัน   เมื่อบ้านอบอุ่นขึ้นอีกครั้ง   ซึ่งวิกานดาตกลงจะมาช่วยบิดาบริหารงาน  และจะทำสิ่งที่ตนรักควบคู่ไปด้วย....หล่อนยังเป็นนักเขียนได้ และช่วยงานบิดาได้   แต่งานเขียนอาจน้อยลง  แต่ก็ไม่เป็นไรหล่อนเลือกที่จะเป็นลูกกตัญญู  แต่ก่อนจะไปทำให้งานให้บิดา  อย่างที่ตกลงไว้    หล่อนขอส่งต้นฉบับ   ที่ค้างให้แล้วเสร็จก่อน...
				
17 มิถุนายน 2550 15:04 น.

อยากเขียน

แมงกุ๊ดจี่

วันนี้วันหยุด...(อีกแล้ว)
มานั่งใช้คอมพ์ลูกชาย...วัย  12  ขวบ
เห็นเขาออน MSN  พอดีwindows
ของ  MSN  ขึ้นมาว่า..."แอบรักใครบางคนที่คุยด้วยเกือบทุกวัน"


อดที่จะอมยิ้มไม่ได้  ว่าอืม...
เด็กสมัยนี่เร็วนะ   แต่ก็อดคิดเป็นห่วงเด็ก ๆ  ไม่ได้
ว่าโลกเสมือนจริงนี้มีอะไรหลายอย่าง...ที่ยังไม่เหมาะ
สำหรับเด็กวัยนี้   แต่เด็กความคิดเขาก็อิสระพอ ๆ  กับผู้ใหญ่
แต่เขาจะ   คิดและไตร่ตรองได้ดีเท่าผู้ใหญ่นั้น  คิดว่าคงไม่...

เพราะอะไรหรือ?
เพราะว่าเขาเหล่านั้นยังเป็นเด็กน้อยและด้อยประสบการณ์
ในการอยู่ร่วมในสังคม  และเล่ห์เหลี่ยมหลายอย่างที่มีในโลกนี้
แม้แต่บางครั้งผู้ใหญ่ที่คิดว่าบรรลุนิติภาวะแล้ว ยังพลาดพลั้ง
เพราะความคิด  และการตัดสินใจ   ที่ขาดการขบคิดรอบคอบ

บางช่วงของอารมณ์
ก็ยากอธิบายได้นะ   บ่อยๆ  ครั้งที่ตัวเองที่บอกว่า....
เป็น "ผู้ใหญ่"   บางครั้งก็ยังหลงเพ้อไป  ทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว...
บางความรู้สึกในส่วนลึกยากอธิบาย  เป็นเพียงสิ่งหลงเพ้อไปเท่านั้น...

ก็แค่เรื่อยเฉื่อย  ปลดปล่อยล่องลอย
ออกไปไกลกลางสายฝน  หล่นโปรยปราย....
พร้อมอารมณ์เยือกเย็น...ก่อนนั้นซึ่งแหลกสลาย...
สายฝนยังคงหล่นเรียงรายเป็นสายเส้นสวย...ความคิดถึงจังบังเกิด...

อดที่ยืมคำของลูกชายมาใช้ไม่ได้สิ  
"แอบรักใครบางคนที่คุยด้วยเกือบทุกวัน" 
และก็อดขำตัวเองไม่ได้...   ที่ต้องคอยห้ามความรู้สึกนึกคิด
สะกดเก็บไว้ข้างใน...ของก้นบึ้งหัวใจ...				
Calendar
Calendar
Lovers  1 คน เลิฟแมงกุ๊ดจี่
Lovings  แมงกุ๊ดจี่ เลิฟ 2 คน
Calendar
Lovings  แมงกุ๊ดจี่ เลิฟ 2 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงแมงกุ๊ดจี่