1 สิงหาคม 2551 15:25 น.

เมื่อได้รู้

แมงกุ๊ดจี่

......................1210060031.jpg........................




ศจี...กับฉันเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมต้น...
เราสนิทกันมาก   เราเรียนด้วยกันจนจบอนุปริญญา   
แต่ต้องมาแยกกันไปต่อระดับปริญญาตรีในมหา'ลัยคนละที่
เราติดต่อกันเสมอ ๆ  แม้จะเรียนอยู่ต่างสถาบัน...
เมื่อเรียนจบปริญญา  เราต่างไปร่วมงานรับปริญญาของกันและกัน
คนเราต่างต้องใช้ชีวิตตามทางของตน เดินในครรลองของแต่ละคน...



ศจีสอบบรรจุเป็นข้าราชการได้   ส่วนฉันทำงานบริษัทที่มั่นคง
เมื่อแยกย้ายกันไป  อยู่คนละที่ทำให้เราขาดการติดต่อกัน
นับเวลาได้จนถึงวันนี้รวมแล้ว  12  ปีไม่ขาดไม่เกิน   ครบพอดี...




ศจี   เป็นเพื่อนที่ดี 
กิริยาเรียบร้อย  ไม่กระโหลกกระลาอย่างบางคน
เรียนดี  มีมุมมองชีวิตที่สดใส  มองโลกในแง่ดีเสมอ ๆ
ทำให้ใคร ๆ  ต่างชื่นชอบศจี...


ศจี  เดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อไปอบรมจึงทำให้ได้พบกับ อรรณพ
ผู้ชายที่อยู่ในสายอาชีพเดียวกับเธอ   แต่อยู่กันคนละจังหวัด ระยะเวลา
การอบรมเพียงแค่ 3  วันทำให้ศจี  รู้สึกถูกชะตากับ  อรรณพ   และ
อรรณพเองก็เหมือนมีความรู้สึกเช่นเดียวกัน...



เมื่อถึงวันสุดท้าย...
ของการเข้ารับการอบรมในรุ่น...   ทั้งคู่ได้แลกเปลี่ยนแนวคิด
ได้พูดคุยทำความรู้จักกัน  ยิ่งทำให้ศจี  รู้สึกเหมือนรู้จักอรรณพมานาน
ยิ่งพูดคุยอรรณพเองก็ถูกใจศจี   จึงได้ขอแลกเบอร์โทรศัพท์กันและกัน



ความสัมพันธ์ของศจีกับอรรณพดำเนินมาเรื่อย...นานนับปี
ศจีเองเริ่มมั่นใจว่าเป็นคนที่ใช่สำหรับศจี   หมายมั่นว่าอรรณพจะเป็นคู่ชีวิต
อรรณพรับราชการอยู่คนละจังหวัดกับศจี   จึงเทียวไปมาหาเสมอ ๆ
จนเมื่อปีใหม่ได้มีโอกาสได้พบกับครอบครัวของศจี   ทุกคนต่างยอมรับ
และรู้ว่าอรรณพคือชายหนุ่มที่ศจีหมายปอง   พ่อ-แม่และญาติๆ ต่างเห็นดีด้วย
เพราะอรรณพเองก็มีหน้าที่การงานที่มั่นคง  ทำให้ทั้งคู่ดูเหมาะสมกัน  



ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เปลี่ยนแปรไปมีความลึกซึ้งมากขึ้น...
ในวันที่อรรณพมาอย่างเช่นเคย  แต่วันนี้อรรณพ  เมาเหล้า...
ทุกอย่างอยู่เหนือ  การควบคุมของศจี  ทำให้ศจีตกเป็นของอรรณพ
ทั้งร่างกายและหัวใจ   แม้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่เต็มใจ  แต่ศจีก็ยอมรับ
ว่าทุกอย่างกลับหลังไม่ได้แล้ว....



ศจีพูดกับอรรณพ  เรื่องมาสู่ขอและจัดพิธีการให้ถูกต้องตามประเพณี 
อรรณพเองก็รับปากกับศจี   เขาขอเวลาเป็นปีหน้าโดยอ้างว่าขอทำเรื่อง
ย้ายมาอยู่จังหวัดเดียวกันกับศจีเสียก่อน   จึงจะจัดการพิธีแต่งงงาน
ศจีรอเวลาและเชื่อในสิ่งที่อรรณพบอก   เขาเองก็ยังไปมาสม่ำเสมอ...
ไม่มีสัญญาณบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปรไป  เพราะศจีเองก็ไม่เคยเซ้าซี้ถาม
ในเรื่องที่เขารับปาก   เพราะถือเป็นสัญญา   ของคนรักยอมรับและรอคอยมัน



จนเมื่อศจี   เดินทางเข้ากรุงเทพฯ  เพื่อเข้ารับอบรมของหน่วยงาน
ทำให้ศจีได้พบกัน   "จามร"   จามรเป็นเพื่อนร่วมชั้นของศจีตั้งแต่มัธยมต้น
แต่เขาต้องย้ายตามพ่อที่รับราชการ  ไปในช่วงที่เรียนจบมัธยมตอนต้นพอดี
จามรเองก็รับราชการเช่นเดียวกับศจี    ต่างคนต่างดีใจเมื่อได้พบเพื่อนเก่า
จึงได้พูดคุยถามถึงความเป็นมาเป็นไปของกันและกัน  จามรมีครอบครัวแล้ว
ศจีเองก็บอกว่าเธอกำลังจะแต่งงานกับคนรักเช่นกันปีหน้า....
   


จามร  เดินทางมางานศพญาติ  เขาจึงแวะมาหาศจีที่บ้านพัก
และพูดแซวศจีว่าแจกการ์ดแล้วอย่าลืมเชิญเขาด้วย   พร้อมกับ
ถามถึงว่าที่เจ้าบ่าว   ศจีบอกจามรว่าอรรณพจะมาเย็นวันศุกร์นี้
จามรคงกลับพอดี  ไว้วันแต่งจามรค่อยรู้จักก็แล้วกัน  ศจีกล่าวกับจามร
และเล่าต่อว่าอรรณพก็อยู่จังหวัดเดียวกันกับจามร  แต่คงทำงานคนละที่



อรรณพสวนทางกับจามรพอดี   แต่จามรมองอรรณพไม่ถนัด
อรรณพเองก็ไม่ได้สนใจว่าใครมาและไม่ได้เอ่ยถามศจีถึงจามร
ศจีจึงเป็นฝ่ายถามอรรณพ  ว่าทำไม?  วันนี้มาถึงเร็วกว่าที่เคย
อรรณพตอบกลับมาว่า  เขาไปงานศพของอาเพื่อน  ที่เคยอยู่ที่นี่มาก่อน
ศจีก็ไม่ได้เอะใจอะไรกับการเล่าเรื่องของอรรณพ...



บ่ายวันอาทิตย์  จามร  มาหาศจีก่อนที่เขาจะกลับ  
เมื่องานศพญาติเสร็จเรียบร้อยแล้ว    ทำให้จามร   ได้พบกับอรรณพ
อรรณพและจามร   ต่างตกตะลึงเมื่อพบหน้ากัน   ต่างคนไม่พูดอะไร
ศจีแนะนำอรรณพให้รู้จักกับจามร   ศจีปล่อยให้ทั้งสองได้ทำความรุ้จักกัน
แล้วเดินไปหาน้ำมาต้อนรับผู้มาเยือน  โดยลืมสังเกตปฏิกิริยาของคนทั้งคู่...



จามรบอกกับศจีว่าบ่ายนี้เขาจะกลับแล้วพร้อมครอบครัวเขา
ศจีเอ่ยกับอรรณพว่าทำไมไม่กลับพร้อมจามร  จามรก็กลับจังหวัดเดียวกัน
กับอรรณพ   อรรณพไม่ทันตอบ   จามรก็เอ่ยชวนให้อรรณพกับพร้อมตน
อรรณพพยักหน้ารับ...


จามรและอรรณพ   ออกจากบ้านพักของศจี
ทั้งคู่ไม่ได้พูดคุยอะไรกันระหว่างทางที่กลับไปรับภรรยาของจามร
จามรรู้สึกจุกแน่นในอก  "บัดซบ"  เป็นคำเดียวที่เขาสบถออกมา
หลังจากที่ขับรถออกมา  ส่วนอรรณพ  ไม่พูดอะไรเขานั่งเงียบมาในรถ
โดยไม่ยอมสบตาจามร....



ยิ่งทำให้จามร  รู้สึกสมเพชเวทนาเพื่อนเก่า 
ที่แม้แต่ตนเองก็ยังเคยชื่นชอบ  ศจี  คือเพื่อนที่ดีน่ารัก  เรียบร้อย  
สาวรุ่นที่เขาเคยรู้จัก   ไม่น่าจะต้องมาตกที่นั่งแบบนี้  
ไม่น่ามารับกรรมแบบนี้   ที่ทารุณจิตใจอย่างนี้ "ศจี"  เขาเอ่ยอย่างเบาแผ่ว



เขาหันมามองคนที่นั่งข้าง ๆ  
ขณะขับรถแล้วเอ่ยขึ้น  "พี่ไม่พูดอะไรบ้างเหรอ?"
จามรไม่ได้คำตอบ   เขาได้รับรู้เพียงแว๊ปเดียวที่หันมองคนตรงข้าง
คืออาการส่ายหน้าของอรรณพ   



อรรณพเป็นพี่เขยของจามร   
อรรณพแต่งงานกับพี่สาวของจามร   และมีลูกสาววัย  2  ขวบ
และจามรก็ทำงานในที่ทำงานเดียวกันกับอรรณพ    
"ศจีรู้เรื่องพี่แค่ไหน?"   จามรหันกลับไปถามอรรณพ
ไม่มีคำตอบจากอรรณพ   "นี่พี่หลอกเขามาตลอดเลยเหรอ?"  
จามรถามต่อ  เขาพูดคนเดียวโวยวายคนเดียวในรถอย่างบ้าคลั่ง...



ผ่านไป   2    สัปดาห์ หลังจากที่จามรกลับไป
ศจีได้รับโทรศัพท์จากจามร  ศจีรับโทรศัพท์ด้วยความแปลกใจ
ว่าจามรนึกอย่างไรจึงโทร.หาเธอ   ศจีรับโทรศัพท์ทั้งที่ยังสงสัย...
จามรโทร.มาแจ้งข่าวดี   ภรรยาของเขาคลอดลูกชายที่น่ารัก...
เขาจึงอยากชวนศจีมาเที่ยวบ้าน  และมาร่วมฉลองเรื่องน่ายินดีนี้
บ้านของเขาเป็นสวนผลไม้   น่าเที่ยวมาก  นั่นเป็นคำเชิญชวนของจามร


ศจีบอกจามรไปว่าเธอขอรออรรณพมาก่อนได้มั้ย?  
ตอนนี้เขาไปอบรมที่กรุงเทพฯ อยากไปในช่วงที่เขาอยู่จะได้เจอเขาด้วย
แต่จามรกลับเซ้าซี้ศจี   ไม่ต้องรอมาคนเดียวก็ได้   
จะได้ตรงกับวันที่จัดงานให้กับลูกชายของเขา   ศจีรับปากจามรว่าไป


จามรไปรับศจี   ที่บขส. 
ศจีตื่นเต้นที่จะได้เห็นลูกชายตัวน้อยของจามร  
และรู้จักกับภรรยาของจามร   เป็นครั้งแรกที่ศจีมีโอกาสได้มาเที่ยว
ทั้งที่อรรณพก็ทำงานรับราชการอยู่ที่นี่....  
ศจีหน้าตาสดใสชวนจามรคุยตลอดทาง    เมื่อรถเลี้ยวเข้าจอดหน้าบ้าน
ของพี่สาวจามร  "ไม่เห็นเป็นสวนอย่างที่บอกเลย"   ศจีเอ่ยถามจามร
พร้อมกับเหลียวมองไปรอบ ๆ    


จามรมองหน้าศจีแล้วบอกมาแวะบ้านพี่สาวเขาก่อน และคุยต่อไป
ว่าศจีจำพี่รินได้มั้ย?   ศจีรู้สึกเลือนลางเหมือนคล้าย ๆ  เคยรู้จัก
จามรชวนศจีเขาไปในบ้าน  ศจีว่าง่ายตามจามรเข้าไปแล้วปล่อยให้ศจี
นั่งรออยู่ในห้องรับแขกคนเดียว....


ระหว่างที่รอจามร  ศจีมองไปรอบๆ  ห้องจนไปรูป
อยู่ในกรอบบาใหญ่   เป็นรูปแต่งงานเจ้าสาวสวย  เจ้าบ่าวหน้าตา
ที่คุ้นเคย  และชัดเจน  ศจีสงสัยว่าหน้าเหมือนกันจังจนเมื่อได้อ่านตัวหนังสือ
"รสริน  &  อรรณพ"  เหมือนโลกทั้งใบแตกดับ  และหยุดหมุน...



เสียงจามรดังมาจากข้างหลัง
พี่ณพ  ไม่อยู่หรอก  พี่รินก็ไม่อยู่   เขาพาลูกไปเที่ยวทะเล   
จามรพูดต่อ  เราขอโทษจีนะ   ที่ทำแบบนี้   เราสงสารพี่รินและน้องกิ๊ฟ
ไม่มีเสียงตอบจากคนตรงหน้าของจามร   มีแต่ความเงียบ...



"ไปส่งเราที"   เป็นประโยคแรกที่ศจีพูดกันจามร
จามรขันอาสาขับรถมาส่งถึงบ้านพัก   ระหว่างทางที่ขับรถมีแต่ความเงียบ
ศจีไม่พูด  ไม่ช่างคุยเหมือนตอนที่มา  มีแต่เหม่อลอยตอนการเดินทาง
จามรเองก็อึดอัด   แต่ก็ทำอะไรไม่ได้    ปล่อยให้เหตุการณ์เป็นไปอย่างนั้น



รถจอดหน้าบ้านพักของศจี   จามรเดินลงไปเปิดประตูให้
ศจีมองหน้าจามร   "ขอบคุณนะ"   แล้วก็เดินเข้าบ้านไปโดยไม่หันหลังมา...
จามรหันหลังจากศจี   เขาทำร้ายศจี   จากการปกป้องพี่สาวและหลาน
แต่มันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง   เขาทำถูกแล้ว   นั่นคือสิ่งที่เขาบอกกับตัวเอง
ก่อนบิดกุญแจรถสตาร์ทรถ   แล้วขับออกไป   ทิ้งศจีไว้กับความเจ็บปวด...

october.GIF

ศจีจะดำเนินชีวิตต่อไปอย่างไร ?
ถ้าเรื่องราวของศจี   เกิดกับคุณ    คุณจะทำอย่างไร?

+ + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + 


เปิดประตูสู่ห้องแห่งความลับ....



ผู้ชายมีความเห็นแก่ตัวทุกคน   ขึ้นอยู่ว่าจะมากจะน้อยแตกต่างกันไป
เขาจะสำนึกบ้างไหม?    ว่าทำลายชีวิตของหญิงสาวคนหนึ่งไปแล้ว  และ
ไม่มีทางนำกลับคืนมาได้อย่างเดิมอีกต่อไป....


สังคมปัจจุบัน  
เรื่องเหล่านี้กลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว
จิตใจคนไร้ซึ่ง   คุณธรรม  จริยธรรม  ไม่มีคำว่าผิดชอบชั่วดีอีกแล้ว...


ฉันไม่อยากคาดหวัง   
หรือวาดหวังอะไรต่อไปแล้วในชีวิตนี้
คงจะต้องใช้ชีวิตอย่างนี้ต่อไป    "โสดอย่างอิสระ"   เพราะอะไรหรือ?
เป็นตัวการในการตัดสินใจ   ก็ข้อมูลที่รับมาประมวลผล   มันสลดใจจริง


ฉันกลัว   กลัวการพลาดพลั้ง
เพราะหัวใจฉันไม่ได้หนักแน่นมากพอที่จะประคองได้
หากเกิดเรื่องราวเลวร้ายขึ้นกับตัวเอง    ฉันจึงเลือกที่จะไม่พบกับมัน...				
16 มิถุนายน 2551 18:14 น.

คำปลอบขวัญ

แมงกุ๊ดจี่

1170154161.jpgฟ้าครึ้ม ๆ  วันนี้   
อากาศหม่น-หม่นเห็นเมฆตั้งเค้าดำมองเห็นแต่ไกล
ฉันเดินเท้าเปล่าตามหลังชายชรา เลยวัยเกษียณหลายปี  
แต่แข็งแรงเหมือนหนุ่ม-หนุ่มเชียว   ปากเขาก็บ่นไป
มือก็คว้านปุ๋ยในถังใบขนาดย่อม  แล้วหว่านออกไปสุดแรง
จากลำตัว  แล้วเม็ดปุ๋ยก็ปลิวกระจายลงไปยังต้นกล้าที่กำลังโต...


เขาสวมเสื้อเชื้ตแขนยาวสีหม่นเดิมเป็นสีน้ำเงินแต่ว่าเก่าแล้ว
ทำให้ดูหมอง-หมอง  แล้วสวมทับอีกชั้นด้วยเสื้อแจ็คเก็ต
ที่เคยซื้อให้เมื่อนานแล้ว  เสื้อดูเก่าแล้ว  แต่แลดูสะอาดตา
และใส่กางเกงขายาวกอมเท้า  รองเท้าไม่ใส่เดินเท้าเปล่า
สัมผัสยอดหญ้าเขียวอ่อน  ที่แตกยอดใหม่หลังจากได้รับน้ำฝน
บนคันนายาว  ฉันค่อย-ค่อยเดินตามไปเรื่อย-เรื่อย  หูก็คอยฟัง
ว่าจะพูดอะไรบ้าง  แต่ตาก็เหม่อไปก็สายฝน  ที่ปร่อย-ปร่อย
เป็นสายบางเบาลงมา  หัวเริ่มฉุ่มไปด้วยน้ำฝนแร่ะ  แต่ก็ยัง...
เดินตามไปเรื่อย-เรื่อย  หูก็ฟัง  ตาก็สบกับตาดุ-ดุที่คอยชำเลือง
อยู่ใต้ปีกหมวกใบตาล  ที่คอยลอบมองมาเป็นพัก-พัก... 


"ต้นกล้ากำลังโตเลย  หว่านปุ๋ยลงไปเดี๋ยวก็โตต้นแข็งแรง"
พูดจบก็ชำเลืองมามองคนเดินตามข้างหลัง...ที่เหม่อออกไปไกล
กับทุ่งนาที่มีน้ำเจิ่งนองเต็มแปลงนาที่ยาวสุดลูกหูลูกตา...


"ถ้าไม่มีปุ๋ย   ต้นกล้าก็คงไม่โตกว่านี้  มันก็จะแกน"
ฉันฟังทุกประโยคที่ออกมาจากปากชายชราที่เคารพคนนี้
รับฟังเงียบ ๆ  แล้วเดินตามไปเรื่อย-เรื่อย 


"อยากเป็นอะไร ให้ทำอย่างนั้น
อยากเป็นคนดีก็ทำ  อยากเป็นคนเลวก็ทำ"
ประโยคนี้ลูกทุกคนคุ้นชิน  ชายชราผู้นี้ไม่เคยสอนอะไรมาก
ออกจะให้อิสระทางความคิด  และการตัดสินใจเองซะมากกว่า
เพราะการแสดงออกของเขาไม่เหมือนคนอื่นแม้จะรักและเป็นห่วง
ในความที่เป็นคนทิฐิและไม่กล้าแสดงออก  เพราะทำให้รู้สึกเขิลอาย...


"ทำงานเป็นไงบ้าง  เสาร์ หน้าจะกลับมาบ้านอีกมั้ย?"
พูดจบก็หยุดยืนแล้วเอี้ยวตัวกลับมาทำเอาเกือบเดินชน
แววตาจ้องเขม็งเห็นชัดจังหวะที่หันมาไปเปิดปีกหมวกไว้แล้ว
ทำให้ต้องหยุดเป็นอาการชะงักกึกแล้วมองหน้า อาการต่อไปก็ส่ายหน้า

"หมายความว่าไง?  ที่ทำหน่ะ"
แววตายังคงจ้องเขม็งเหมือนเดิม  ยังคงต้องการคำตอบ

"งานก็...ยุ่ง  สิ้นเดือนก็ไปกรุงเทพฯ  ฝากอะไรถึงพี่โยมั้ย?"
แววตายังจ้องไม่กระพริบ  แต่ไม่ได้มีประกายว่าจะทำร้าย

"อาทิตย์หน้ายังไม่รู้   ต้องดูก่อน"
พูดจบชายชราที่อยู่ตรงหน้าก็หันหลังให้  แล้วออกเท้าเดินต่อไป
กิริยาเป็นอย่างเคย  มือคว้านเม็ดปุ๋ยหว่านให้ต้นกล้าในแปลงนา


"ต้นกล้ามันยังต้องให้ปุ๋ยเลย  แล้วคนเราต้องให้อะไร"
"อาทิตย์หน้ายุ่งแค่ไหน?   ก็ให้ออกมาได้ยินมั้ย?"
"ลองมาทำนาดู  ออกมาสูดอากาศท้องทุ่งดูน่าจะดีนะ"
พูดไปแต่ก็ไม่ได้หันหน้ามายังคงหว่านเม็ดปุ๋ยอย่างนั้น


เสียงที่ได้ยินเหมือนเป็นคำขาด  ว่าต้องกลับมาบ้าน
ไม่กลับคงต้องได้ขาดกัน ชายชราผู้นี้ลูกทุกคนรู้ว่าเขา
*เด็ดขาด  และแน่วแน่  กับคำพูด  การกระทำ*  ตัวเองแค่ไหน?
ได้ยินแล้ว  ได้แต่เงียบ  ความเงียบคือคำตอบที่เรารู้กันดี
เพราะถ้าไม่ยอมรับหรือคัดค้าน  กิริยาจะรุนแรงต้องมีข้อโต้แย้ง


ผ่านเรื่องร้ายมาแล้ว  2  สัปดาห์
พ่อก็ยังจับได้ว่าลูกสาวมีเรื่องไม่สบายใจ  สีหน้าคงบ่งบอกชัด
โทรมขนาดนี้ไม่รู้ก็บ้าแล้ว  ดูซูบ  ซีด  ดูเพลีย-เพลียเพราะไม่ได้นอน

ไม่มีแม่อยู่แล้ว  แต่ฉันก็ยังมีกำลังใจอยู่...
ฉันไม่ได้อยู่คนเดียว  พ่อยังอยู่ข้างฉันอีกคน  และพ่อ
คือคนที่สำคัญที่สุด  ที่ฉันมีตอนนี้... ฉันโหยหาความอบอุ่น
ความอบอุ่นของความรู้สึก  อย่างน้อยฉันก็ไม่ได้โดดเดี่ยว.....				
6 มิถุนายน 2551 14:33 น.

ฉันเหมือนเธอคนนั้นในวันนี้...

แมงกุ๊ดจี่

1054010034nr1.jpg 

ฉันนั่งไล้สายตาไปกับอักษร...
ในทุก-ทุกตัวอักษร  ในทุก-ทุกประโยคบอกเล่า
เพราะคนเขียนพยายามบอกเล่าอย่างเห็นภาพ  ซึ่งงานของเขานั้น
เขาบอกว่าเป็นการเขียนแบบพรรณาโวหาร  

ฉันไล้สายตาไปในทุก-ทุกบรรทัด 
พร้อมกับน้ำตาที่ไหลมาเปอะเปื้อนสองแก้ม   
ฉันรู้สึกชังคนที่เขียนเรื่องสั้นใน  Blog  นี่  โดยที่เขาเองก็คงไม่รู้ตัว

ฉันกล่าวโทษว่าเหตุใด
จึงเอาเรื่องราวของฉันมาบอกเล่าให้คนทั่วโลกได้รับรู้
ถึงความเจ็บปวดที่ฉันรู้สึกในตอนนี้  เขาจะรู้บ้างไหม? หนอ
ว่าฉันรู้สึกอย่างไรบ้าง... (คงไม่รู้หรอก ไม่มีทางรู้เลย)

ฉันเคยไปอ่านเรื่องสั้น   เรื่องนี้มาแล้วเมื่อต้นปี 2550
ตอนนั้นคิดเล่น ๆ  ว่ามันคงไม่เกิดกับฉันหรอก  มันเป็นเพียงนิยาย
ซึ่งมันเป็นเรื่องราวที่เขียนมาจากเคล้าโคลงเรื่องจริงชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่ง
ซึ่งในใจเมื่ออ่านเรื่องราวจบ   มันคงไม่เกิดกับฉันหรอก
และภาวนาอย่าให้มันเกิดกับฉันเลยนะ

  
แต่ดูเหมือนคำภาวนานั้นจะไม่เป็นจริง  ในวันนี้ฉันพบเจอเรื่องราวเหมือน
"เธอคนนั้นในวันนี้"   ซึ่งไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นด้วย...


เพราะหลังจากอ่านเรื่องสั้นนี้ได้ไม่นาน
ฉันก็ได้พบกับผู้ชายคนหนึ่ง   และผู้ชายคนนั้นเป็นตัวดำเนินเรื่อง
ทำให้เหตุการณ์ต่าง ๆ  เป็นเหมือนในเรื่องสั้น  เรื่องที่ฉันเคยอ่านพบมา

ความรู้สึกร้าวราน  
ณ  เวลานั้นอยากฆ่าผู้ชายคนนั้น  ให้ตกตายไป
ณ  เวลานั้นอยากฆ่าตัวเองหนีความอับอาย   หนีความทุกข์ที่รุมเข้ามา
ณ  เวลานั้นมันทุกข์จริง ๆ   สับสน  เจ็บปวด   น้ำตาที่ไม่เคยไหลนานแล้ว
กับไหลมาทุกคืนนอนร้องไห้   กับเรื่องราวที่เกิดขึ้น

คนที่เคยเข้มแข็ง  แข็งแรง  กล้าหาญ  มันไม่เหลือเลย 
ความรู้สึกคนเรามันห้ามกันไม่ได้จริง ๆ
หลงเหลือเพียงความอ่อนแอ   ความแพ้พ่ายจนไม่สามารถทำงานได้
จนต้องพักงาน  ลาป่วย ไปหลายวัน จนใคร ๆ  สงสัยว่าทำไม?

จะมีสักกี่คนที่จะเข้าใจความรู้สึก
จะมีสักกี่คนที่จะรู้ซึ้งถึงความเจ็บปวด  หากไม่โดนทำร้ายเสียเอง
เรื่องบางเรื่องใครไม่เจอก็ไม่ซึ้งกับความรู้สึกเจ็บปวด  
บางที่มันอาจทำร้ายจนสามารถเปลี่ยนชีวิตคน คนหนึ่งได้

				
2 มิถุนายน 2551 18:35 น.

จดหมายถึงดวงดาว...

แมงกุ๊ดจี่

always_raining_in_my_heart_by_chix0r.jpg      1  มิถุนายน 2551


สวัสดีค่ะ
แม่ค่ะลูกคิดถึงแม่จังค่ะ   
ตอนนี้ลูกอยากอยู่ใกล้ ๆ   แม่อยากสัมผัสอ้อมกอดของแม่เหลือเกิน   
ลูกอยากซบหน้ากับตักแล้วร้องไห้ออกไปให้มันหายอัดอั้นนี้
เพื่อไล่ความปวดร้าว  ความขมขื่นที่มีอยู่


ตอนนี้อยากร้องไห้  แต่ว่า...
หนูร้องไม่ออกเลยค่ะ 
แม่จ๋าหากได้อยู่ในอ้อมกอดของแม่
ลูกคงสิ้นความระแวงสิ้นความอับอาย  
กล้าเผยความอ่อนแอ  กล้าให้แม่เห็นน้ำตา เ
พราะลูกรู้ว่าแม่เข้าใจลูกเป็นที่สุด  


ลูกเจ็บปวดเหลือเกินค่ะ  เจ็บปวด จนอยากทำอะไรที่มันโง่เขลา   
เจ็บปวดจนอยากจะทำสิ่งที่ใคร ๆ  ไม่คาดคิดลงไปทีเดียว


แม่จ๋าทุกย่างก้าวของลูก  ทำไม? 
จึงได้ทุกข์ทรมานอย่างนี้ล่ะค่ะแม่ 
เรื่องราวต่าง ๆ  มันโหดร้ายเหลือเกินค่ะแม่  


ลูกไม่รู้ว่าได้ทำกรรมใดไว้
จึงทำให้ชีวิตย่ำแย่ พบแต่ผู้ชายเลว ๆ  เหล่านั้น  
ลูกให้ความเป็นมิตรแต่เขาคิดว่าลูกเป็นเด็กโง่  
ที่จะหลอกได้ ปลอกลอกได้    ลูกให้ความจริงใจ 
แต่สิ่งที่กลับมาเปล่าเลย  มันทำร้ายลูกจนเจ็บแสนสาหัส 


โชคชะตาใจร้ายจังค่ะแม่   
ทำไม?  ทำโทษหนูแบบนี้ล่ะค่ะ  แต่ก็ยังดีที่ไม่ใจร้ายอย่างที่สุด 
อย่างน้อยลูกก็ยังสง่างามอย่างที่แม่คาดหวังไว้  
ถือว่าเป็นบุญของลูกที่ไม่ถูกทำโทษหนัก 
ขนาดที่สูญเสียจนไม่เหลือสิ่งใดให้รักษา    


แม่จ๋าอย่าห่วงลูกเลย  
ไม่นานหรอกค่ะ  ไม่นานลูกจะกลับมาแกร่ง และเข้มแข็งกว่าเดิมค่ะ   
และสดใสดังเดิมค่ะ ลูกรู้แล้วว่าไม่ควรไปเสียน้ำตาให้กับมันไป   
คนสารเลวนั่น  จะไม่มีวันทำให้ลูกเสียน้ำตาหรอก ลูกรับปากกับแม่ค่ะ 
น้ำตาของหนูมีค่า  สำหรับคนที่ดีที่สุดในชีวิตของลูกเท่านั้น   


ลูกสัญญาค่ะว่าจะเข้มแข็ง ลุกขึ้นยืนให้เร็ววัน 
จะยิ้มสู้  ยิ้มรับความเจ็บปวดนั้นให้จงได้เมื่อผ่านพ้นมันไปแล้ว
เราจะเข้มแข็งและแข็งแรงไม่มีใครจะช่วยลูกได้นอกจากลูกเอง   
แม่เป็นกำลังใจให้ลูกด้วยนะค่ะ  


ทุกครั้งที่อ่อนแอ  
ลูกแค่คิดถึงแม่ก็ทำให้ลูกเข้มแข็งแล้ว   
และสามารถผ่านมันไปได้อย่างสง่างามเสมอมาค่ะ


ลูกรักแม่ค่ะ  
และลูกก็รู้ว่าแม่รักลูกมากแค่ไหน?  
แม่อย่าเป็นกังวล เลยนะคะ   ลูกของแม่เข้มแข็งค่ะ  
พายุสงบลงลูกก็ลุกได้ค่ะแม่  ลูกอาจเป็นคนใจอ่อนไป  
และขี้สงสารเกินไป  จนทำให้ตัวเองกลายเป็นเหยื่อ   
จนภัยมาถึงตัวโดยที่ไม่เคยรู้มาก่อน  


นับจากนี้ลูกคงกลายเป็นผู้หญิงร้ายกาจบ้างแล้ว  
หรือโหด ๆ  ไปเลย  ใครเขาได้ได้ไม่มา  คอยรังแก  
และมาแสดงความเห็นแก่ตัว  ข่มเหงลูกอีก   ความสงสาร  
ความใจอ่อนมันให้  บทเรียนลูกมากแล้ว  


ลูกเจอเรื่องราวครั้งนี้มันทำให้ลูกรู้สึกเจ็บและจำมันฝังใจ ว่าจงจำไว้
อย่าไปอ่อนแอ  และใจอ่อน  และสงสารใครอีก

ลูกคิดถึงแม่ค่ะ  และลูกรักแม่ค่ะ				
13 พฤษภาคม 2551 12:43 น.

ผูก(มัด)พัน

แมงกุ๊ดจี่

9744.jpg
ฉันคู้เข่าก้มหน้า...
อยู่ในความมืดมิด ของห้องเงียบ...
ในค่อนคืนดึกดื่นแล้ว  แต่นอนไม่หลับ
ภาพเรื่องราวที่ผ่านมาผุดเข้ามาม่านความคิด...
  

นี่สินะที่เขาเรียกว่าน้ำตาเช็ดหัวเข่า...  
ความรักทำให้คนปวดร้าว    ใช่ปวดร้าวและเป็นทุกข์
เพราะไม่เข้าใจในทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้น....
ความไม่เข้าใจระหว่างคนสองคน  ทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ  


อยากย้อนเวลากลับไปเพื่อแก้ไข....
แต่เป็นไปไม่ได้   ฉันพยายามที่จะทำให้ทุกวันที่เป็นดี
ทุกอย่างเหมือนจะดี   แต่เปล่าเลย   ไม่เคยดีขึ้นมา...


ฉันไม่เคยคิดว่าเรื่องราวที่เกิดเป็นความรัก....
มันคือชะตากรรมมากกว่า   เหมือนเป็นกรรมที่ต้องรับ
แม้ว่าไม่อยากยอมรับก็ตาม   มันไม่ใช่ความรักที่รักด้วยสมัครใจ   
เขาอาจรัก  รักประเภทไหน?  ก็ไม่เข้าใจจึงทำให้เป็นแบบนี้....


ความทุกข์   ที่เกิดจากความรักของเขาฝ่ายเดียว
ทำให้หัวใจฉันเจ็บปวด   ทรมานอยู่ไม่รู้จบ   และมีแต่ความทุกข์
พยายามแล้วที่จะรักให้จงได้แต่ก็เปล่าประโยชน์   เหมือนยิ่งทวีความเจ็บปวด
ทั้งเขา   และตัวฉันเอง...


ทำไม?  ฉันถามตัววนเวียนซ้ำ-ซ้ำ  ว่าทำไม?
ต้องมาเจ็บเพราะความรักของผู้ชายคนหนึ่งด้วย....
ฉันไม่ได้รักเขาเลย   ไม่เลยไม่เคยรัก....
อยากหยุดความทรมานนี้ไป  ณ  เวลานี้ตอนนี้   
เหนื่อยที่ต้องร้องไห้หนีเรื่องราวรักของเขา   ฉันทำอะไรได้
มันหาทางออกให้ตัวเองไม่ได้เลย...  ไม่เคยได้เลย....
ไม่ได้จริง ๆ ฉันพยายามหลายรอบแล้ว				
Calendar
Calendar
Lovers  1 คน เลิฟแมงกุ๊ดจี่
Lovings  แมงกุ๊ดจี่ เลิฟ 2 คน
Calendar
Lovings  แมงกุ๊ดจี่ เลิฟ 2 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงแมงกุ๊ดจี่