17 สิงหาคม 2556 10:38 น.
แมงกุ๊ดจี่
ช่วงนี้พอมีเวลาว่างบ้างก็หาหนังสือมาอ่านและศึกษาประวัติศาสตร์
วรรณกรรม วรรณคดี ช่วงนี้หมกหมุ่นกับวรรณคดีเป็นพิเศษ
ใช้เวลาเป็นสัปดาห์อยู่กับบทละครเรื่องอิเหนา
ซึ่งเป็นบทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เมื่ออ่านบทละครเรื่องอิเหนาจบ....
ทำให้คิดสะท้อนมองสังคมปัจจุบัน วรรณคดีในแต่ละเรื่องสะท้อนสังคมในยุคนั้นๆ อิเหนาเป็นวรรณคดีเก่าแก่เรื่องหนึ่งของไทย ที่รู้จักกันมานานซึ่งได้แฝงเร้นข้อคิดอะไรไว้มากมาย จริงๆ ไม่ได้ถอดคำประพันธ์ออกมาเป็นเรื่องเป็นราวหรอก และไม่ใช่การวิจารณ์ (ขอออกตัวไว้ก่อนนะคะ) มันเป็นการอ่านแล้วเข้าใจตามที่ตนเองคิด และเขียนไปตามความรู้สึกเกี่ยวกับตัวละคนในเนื้อเรื่อง หากผิดพลาดประการใดก็ชี้แนะด้วยนะคะ ^__^
ประเด็นที่ทำให้อยากเขียนคือ "เมื่ออ่านอิเหนาจบ" ทำให้คิดถึงคำของพี่ชายคนหนึ่ง เขาปรามาสน้องแมงกรายๆ ว่าเหมือนบุษบา (ตอนบุษบาเสี่ยงเทียน) มีจิตใจไม่มั่นคง พบหนุ่มรูปงามก็ไหวหวั่น หึหึ...ตอนที่บุษบาอธิษฐานก็ว่าไปตามคุณแม่นะคะ ทั้งที่รู้สึกละอายใจจำต้องกล่าวคำตามมารดา
เมื่ออ่านอิเหนาจบ มันทำให้น้องแมงรู้สึกเกลียดระเด่นอิเหนาเข้าไส้เลยล่ะ (อันนี้ว่าไปตามความรู้สึกนะ แบบว่าอินจัด) อิเหนาหรือระเด่นมนตรี และบุษบาหรือระเด่นบุษบาหนึ่งหรัด ซึ่งเป็นคู่ตุนาหงัน และเป็นตัวเอกของบทละคร เรื่องราววุ่นวายและปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งหมดเกิดเพราะอิเหนา หากไม่ดื้อรั้น ยอมฟังคำบิดามารดา ก็จะไม่เกิดเรื่องวุ่นวาย (แต่มันก็ต้องเกิดเพื่อจะได้เดินเรื่องได้ อิอิ)
เพราะยังไงแล้วกษัตริย์วงศ์เทวานั้น มีมเหสีได้ 5 องค์ ตามประเพณีหากอิเหนาไม่ไปหลงรูปของระตูจินตะหรา จนไม่ฟังคำใคร ทำให้เกิดเรื่องตามมาสารพัด (แล้วแบบนี้มาโทษบุษบาได้ไงโน๊ะ บุษบาน่าสงสารนะ) อิเหนานี่มีแต่ความเห็นแกตัว - -"
ซึ่งต่างจากบุษบาถูกบังคับโดยกฏธรรมชาติในความเป็นหญิงทำให้ต้องเชื่อฟังคำบิดา-มารดา ก้มหน้ารับกรรมไปเพราะความโกรธของบิดา หุหุ (ซวยแล้วมั้ยละ) และด้วยความเป็นหญิงก็ถูกระเด่นอิเหนารังแกสารพัด (เจ้าเล่ห์มารยา สารพัด) แสดงความเป็นบุรุษเพศอย่างแท้จริง 555
ในเมื่อระเด่นอิเหนานั้นตนเองแท้ๆ ที่เป็นคนบอกปัดการอภิเษกกับระเด่นบุษบา
แล้วมาทำเสียดายที่หลังเมื่อได้ยลโฉมของบุษบา (แอนตี้ระเด่นอิเหนาอย่างแรง 555) จนทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายตามมาอีกสารพัดหลังจากจบการทำศึกไปแล้วนะ
ระเด่นอิเหนาเจ้าชู้ขั้นเทพ
อิเหนาไปหลงรักจินตะหรา ทั้งที่มีคู่หมั้นอยู่แล้วซึ่งก็คือบุษบา
ทำให้ปัญหาต่างๆ ตามมาอีกเพียบ
และอิเหนามีเมียถึง 10 คน ยังไม่รวมเล็กๆ น้อยๆ นั่นอีก (ข้อยปวดขมับเด้)
ในสมัยโบราณกาลมาแล้วที่ชายนั้นมีเมียได้หลายคน (แต่ต้องเลี้ยงดูได้นะ อิอิ)
ความรักในเรื่องนี้ทำให้ก่อทุกข์
ความหลงทำให้สามารถเป็นแรงผลักทำได้ทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ครองหญิงที่ตนพึงใจ (รัก หรือเปล่า ?) กว่าทุกอย่างจะจบลงได้ ก็ต้องตามแก้ปัญหา กับเรื่องราววุ่นวายมากมาย
แต่ก็ทำให้มองเห็นความรักระหว่างอิเหนาและบุษบาหลังจากที่เข้าใจกันดีแล้ว
เมื่ออิเหนาถูกลงโทษ ทำให้เกิดการพลัดพรากตามหาจนได้มาอภิเษกครองคู่
เพราะด้วยความเป็นเนื้อคู่ เป็นคู่ครองแล้วย่อมไม่แคล้วคลาดกันไปได้...อิอิ
แต่ถ้าน้องแมงเป็นบุษบา อาจจะ (แค่อาจจะนะ) บวชแล้วไม่ยอมศึกก็ได้ ฮ่าๆๆๆ
"ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง" คริคริ.
รูปที่สอง
27 มีนาคม 2555 23:07 น.
แมงกุ๊ดจี่
ภาพหญิงสาวผมยาวเลยช่วงเอว หล่อนสวมเสื้อขาวแลผ่องใส ยิ่งเมื่อต้องแสงแดดที่ลอดเงาไม้ลงมากระทบดูเหมือนเพิ่มออร่ากระจ่างจ้า
เธอนั่งประณตมือ นบนอบ อ่อนน้อมเคียงข้างชายหนุ่มหน้าใสสวมแว่นสายตาเขานุ่งห่มด้วยเสื้อสีขาวผ้าเนื้อดี กางเกงยีนส์แบรนด์ทันสมัย ผนวชกับผิวขาวซีดแบบคนจีนทำให้เมื่อมองเห็นดูดีดูภูมิฐานมองแล้วจำเริญใจ
คนทั้งคู่นั่งอยู่ด้านล่างบริเวณลานหินโค้ง เสียงพระเทศน์กังวาลก้องโสตฯ ทั้งสองนิ่งเงียบดูงดงามยิ่ง ในสัญญาณของดวงจิตของคนทั้งสอง หวังเกื้อกูลน้อมนำกุศลมาสู่กัน มอบความปรารถนาดีต่อกันซึ่งเป็นสัจจะมอบไว้ ไม่ว่าอนาคตไกลจะยุติ หรือดำเนินไปในครรลอง เขาทั้งสองจะไม่เกลียด ไม่เครียดแค้นซึ่งกันถือเป็นวาจาสัจจะ มิตระบัดสัตย์ต่อกันไม่ว่าความสัมพันธ์จะสั้นหรือยาว
แสงไฟสลัวนวลตาหญิงสาวจ้องมองหน้าชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงข้ามอย่างพินิจพิเคาะห์เขามีเชื้อสายคนจีน ใบหน้าเรียว คิ้วหนา ดวงตาตี่ จมูกรูปชมพู่ ผิวขาวเกือบซีด แต่เมื่อต้องไฟในร้านอาหารจีนกลับขลับสีผิวให้นวลขาวผ่อง ดูอมชมพู รูปร่างสูงสง่า แม้นั่งในท่วงท่าอริยาบทแบบสบายสบายก็ยังดูมีราศี ดูผ่าเผยยิ่งนัก
สายตาของคนถูกมองนั้นมิได้หวั่นไหวเลย ที่ถูกจ้องมองอย่างไม่ว่างตา ดวงตากลับยิ่งมาดมั่นกว่าปกติหลายเท่า "จับผิดอะไร ยายเด็กบ้านนอก" เสียงนั้นทักมา ทำให้หญิงสาวตื่นจากภวังค์ทันใด ได้แต่ยิ้มกลบเกลื่อนไม่ให้จับได้ว่าฝันกลางวันไปไกล คริคริ.
วันนี้แสนพิเศษ เป็นวันดีดี ที่เขาบอกว่าอยากทำสิ่งดีดีให้ เขาทำสิ่งดีให้แต่หล่อนกลับเฉยๆ จนเขาต้องทักท้วงว่า "ทำหน้าตาให้ดีใจหน่อยซิ ไม่ใช่เฉยชาแบบนี้" หญิงสาวได้แต่ยิ้มหวานส่งกลับไปพร้อมกับไหว้งามๆ แล้วเอ่ยไปว่า "ขอบคุณมากค่ะ" แค่นี้เขาก็ยิ้มแต้ดีใจแล้ว
ทั้งสองเดินคุยกันมาจนถึงลานจอดรถของห้างใหญ่
เขาเดินเวียนขวาไปเปิดประตูเกวียน (หนุ่มตี๋พาเรียกเกวียนสามซี่อ่ะ) 555
ทำเอาหญิงสาวแววตาเป็นประกายหวาบหวามรู้สึกเหมือนเป็นเจ้าหญิงสวยสง่า
ที่กำลังจะก้าวขาขึ้นเกวียนหรูอย่างทรงเกียรติ อิอิ
ระหว่างทางมือใหญ่กุมมือน้อยแต่ไม่นิ่ม อิอิ อย่างแผ่วเบาอ่อนโยน
"A Tu Carazon" สิ้นเสียงที่ก้องชัดโสตฯ
ทำเอาหญิงสาวหันมองสบดวงตาหยีลอดแว่นใสเข้าไป ชั่วแว๊ปนึง...
ก่อนจะเบือนหน้าไปมองวิวภายนอกรถที่กำลังแล่นบนท้องถนน
"A Tu Carazon" โรส ศิรินทิพย์
ถึงแม้ว่ามันจะไกลสุดไกลแสนไกล
และฉันก็คงจะไปได้เพียงแค่ครึ่งทาง
ในวันที่ฉันได้จับมือของเธอคราวนั้น
ฉันเหมือนได้เห็นทางเดินสู่หัวใจ
แต่จากตรงนี้ จะอีกไกลไหม
จากมือเธอนั้นไปสู่ใจ
ฉันไม่รู้ว่ามันจะนานเท่าไร
เพราะมันดูแสนจะยาวไกล ไกลสักเพียงไหน
ฉันไม่รู้ว่ามันจะนานเท่าไร
ฉันเองก็พร้อมจะก้าวไป จะไปสู่กลางใจเธอ
No Me Importa Si Todos Te Miran
No Me Importa Lo Que Digan De Ti
No Me Importa Como Pasa El Tiempo
Sabiendo Yo Que Tu Me Quieres
แต่จากตรงนี้ จะอีกไกลไหม
จากมือเธอนั้น ไปสู่ใจ
ฉันไม่รู้ว่ามันจะนานเท่าไร
เพราะมันดูแสนจะยาวไกล No Lo Se
ฉันไม่รู้ว่ามันจะนานเท่าไร
ฉันเองก็พร้อมจะก้าวไป A Tu Corazon
แต่จากตรงนี้ จะอีกไกลไหม
จากมือเธอนั้น ไปสู่ใจ
ฉันไม่รู้ว่ามันจะนานเท่าไร
เพราะมันดูแสนจะยาวไกล ไกลสุดเพียงไหน
ฉันไม่รู้ว่ามันจะนานเท่าไร ฉันเองก็พร้อมจะก้าวไป
จะไปสู่กลางใจของเธอ A Tu Corazon
สัญญาณเหมือนเตือนในใต้จิตสำนึกของหล่อนว่าต้องรอ
แต่ก็ไม่มีคำตอบว่ารอใคร กาลเวลาที่ผ่านนำพาใครหลายคนผ่านมาแล้วผ่านไป แต่ก็ยังไม่ใช่ที่รอ...อาจเป็นเขาก็ได้ที่รอ...หล่อนรอมานานแสนนามมากแล้ว (จะสามสิบห้าอยู่แล้ว อิอิ)
เพราะเขาคือคนที่อยู่ตรงหน้าและดีที่สุด
ดูเหมือนจะดีจนเกินไปสำหรับผู้หญิงติดดินอย่างหล่อน
และดีจนใครหลายคนอาจบอกว่าไม่เหมาะกับผู้หญิงอย่างหล่อน
เขาสมบูรณ์แบบจนใครหลายคนอิจฉา...แต่หล่อนกลับไม่รู้สึกยินดี
แต่นับจากนี้
หล่อนเปลี่ยนวิธีคิด เปลี่ยนมุมมอง
การที่จะลองเปิดใจรับหนุ่มหน้าตี๋ที่อยู่ตรงหน้านี้...
หล่อนก็ควรปล่อยให้คนในฝันเลือนหายไปกับสายธารเวลา
โดยที่คุณคนที่อยู่ในฝันเขาจะไม่มีวันได้มันตลอดไป
คงถึงเวลาที่จะหันหลังแล้วออกมาจากฝันนั้นแล้วสินะ
ขอให้คุณคนในฝัน...
"มีความสุข รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นด้วยเถิด" สาธุ
5 มกราคม 2555 10:59 น.
แมงกุ๊ดจี่
ปล่อยสายตาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นแต่ลมพัดพลิ้ว ยอดดอกหญ้าไหวลู่ลิ้วตามแรงลม ฉันพยายามดึงตัวเองกลับมาไม่อยากให้ตัวเองเหม่อแบบไร้จุดหมาย
"คนแบบฉันหัวใจไม่เคยหนักแน่นเอาซะเลย อ่อนไหวเกิ๊น" ฉันบ่นกับตัวเอง
แม้ว่าจะดูเหมือนอ่อนไหวในบางช่วง แต่ฉันก็เข้มแข็งชอบอยู่คนเดียว แต่ขี้เหงา (ทำไมเป็นแบบนี้นะ ">;< )
ฉันกลับมาสนใจโทรศัพท์ที่อยู่ในมือแล้วเลื่อนดูเบอร์ใน Contact list ที่มีอยู่ประมาณ 100 หมายเลข ความรู้สึกตอนนี้อยากโทรหาใครสักคน ใครก็ได้ แต่ไล่ดูแล้วไม่รู้จะโทรหาใคร โทรไปทำไม? เฮ้อ..!!!!
"เฮ้อ...ไม่รู้จะโทรหาใคร" ฉันบ่นพรึมพรำกับตัวเอง
"เริ่มต้นวันแห่งความช้ำ หายใจก็เริ่มลำบาก..
เหมือนหัวใจเธอวันนี้ อยู่ห่างออกไปแสนไกล.."
ลมหนาวพัดพลิ้วปลิวผ่านจากระเบียง ฉันปล่อยความรู้สึกล่องไป
ฉันได้ยินเสียงเพลงเปิดคลอล่องมาตามสายลมหนาวเบาเบา
เสียงเพลงที่แว่วมาทำให้ฉันเปลี่ยนความสนใจหันไปที่วอลลุ่มลำโพง
แล้วหมุนมันเพิ่มระดับของเสียงเพลงให้ดังกระหึ่ม!!!!!!
"เริ่มต้นวันแห่งความเหงา จุดจบคงรอไม่ไกล...
เหลือเวลาอยู่อีกไม่นานแล้วใช่ไหม
เหลือเวลาอยู่เคียงข้างกันสั้นลงทุกที
เฝ้าดูความรักเริ่มจางหาย สุดมือจะคว้าคืนมาอย่างเดิม
ไม่เห็นจะมีทางไหนจะได้หวัง... เหลือเพียงไม่นาน.. "
"ฉันนอยด์อะไรหนักหนา ทำไมอ่อนไหวแบบนี้
ความรู้สึกตอนนี้ตรูอกหักหรอ ไม่นี่.....
เขาโน้นอกหักไม่ใช่ตรู จะซึมเศร้าไปทำไม?"
ฉันบ่นพร้อมกับเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง
"แค่เพียงได้รู้ ว่าคิดถึงกัน
แค่เพียงเท่านั้น ที่ฉันต้องการ
แค่เพียงได้รู้ ว่าคืนและวันที่ฉันนั้นต้องพ้นผ่าน
ยังมีหนึ่งคนที่รอฉันอยู่ "
เสียงโทรศัพท์ดังแว่วปนกับเสียงเพลงฉันมองโทรศัพท์ที่ถืออยู่ในมือ
หน้าจอแสดงภาพถ่ายของหนุ่มหน้าตี๋ พร้อมชื่อและหมายเลขของคนโทรเข้ามา "พี่อรรจน์" ฉันมองผ่านเลยไปสู่ลานกว้างของทุ่งหญ้าที่ลมหนาวโลมปลิวพลิ้วสะบัด มันคงทำให้ฉันรู้สึกโปร่งโล่งสบายกว่าการที่มองรูปหนุ่มหน้าตี๋ที่โชว์ในหน้าจอโทรศัพท์ ที่ทำให้ฉันมีแต่ความอึดอัดคับข้องเกินจะบรรยายได้ ฉันปล่อยให้โทรศัพท์ดังและสั่นอยู่ในมืออย่างนั้นหลายรอบ แล้วก็เงียบไปในที่สุด
ฉันไม่มีเหตุผลที่จะรับสายเขาอีก "เราคบกันโดยที่เรารู้ว่ามีวันยุติ" นี่คือสิ่งที่เขาบอก การยุติมันคงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคนเห็นแก่ตัวอย่างฉัน เพราะในเมื่ออีกใจมีเงื่อนไข เพื่อทำร้ายหรือเอาเปรียบอีกใจก็ไม่มีเหตุผลอะไร ที่จะต้องดำเนินต่อไปเพื่อทำร้ายจิตใจกันและกัน ฉันปล่อยให้เวลามันดำเนินมานานมากเกินไปแล้วหนทางที่ควรทำคือ "ยุติ" ทุกครั้งที่มีการ "ยุติ" เกิดขึ้นฉันมักเศร้า หดหู่ ที่มัวไปคิดแต่เรื่องของคนอื่น บางคนบอกกับฉันว่า "ความรักไม่มีผิดไม่มีถูก" "ไม่มีได้เปรียบเสียเปรียบ" "ความรักเหมือนผลประโยชน์ต่างตอบแทน" "หากอยากได้รักจงรักเขาตอบ" ฯลฯ และอีกมากมาย
สำหรับฉันความสัมพันธ์ไม่ใช่ความรัก จุดเริ่มต้นของการเรียนรู้ระหว่างกันถ้าใช่ก็คบต่อไปแบบรู้ว่าต้องมีวันยุติ แต่ถ้าไม่ใช่ก็ทางใครทางมัน ฉันเคยอ่านเจอในบทความของใครคนหนึ่ง เขาบอกว่า "ความดึงดูดระหว่างชาย-หญิงมีวันหมดอายุ" ซึ่งเป็นผลที่มาจากกามคุณ "รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส" ตลอดระยะเวลาที่ผ่านฉันรู้สึกเฉย ไม่อยากครอบครอง ไม่อยากเจอ ไม่อยากได้ยินเสียง ไม่อยากใกล้ ทุกครั้งที่มองใบหน้าขาวแบบคนจีนก็ทำให้นิ่งในรู้สึก ฉันไม่น่าไปดูดวงมาเล้ยยยยให้.......ตายเถอะ ไม่งั้นคงไม่เกิดจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่เฉยๆ แบบนี้
เขาบอกกับฉันว่า "พี่ก็เคยคบคนอื่นนะ แต่ที่ผ่านมาทุกคนไม่เหมือนหนู" ฉันควรขอบคุณเขาหรือเปล่านะที่ได้ยินแบบนี้ ฉันพบเขาแบบไม่ทันตั้งตัวอยู่ในช่วงจังหวะที่หมอดูทักไว้ จึงลองปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินมานานเกินไปแล้ว ความรักควรจะก่อตัวขึ้นกลางใจแต่กลับกลายเป็นถูกกรีดซ้ำแผลเป็นที่เคยมีทำให้ต้องกั้นระยะห่างไว้ ฉันบอกเคยเขาว่า "น้องจะโทร.หาเมื่อคิดถึง แต่ถ้าพี่อรรจน์คิดถึงน้องก็โทร.ได้ตลอดเวลา" แต่ที่ผ่านมาฉันไม่เคยโทรหาเขาเลย แต่เขาก็ยังโทร.มาสม่ำเสมอในช่วงแรก แต่หลังๆ คงเบื่อที่จะคุยอยู่คนเดียว เบื่อที่จะหาเรื่องมาเล่าให้ฉันหัวเราะ ตลกฝืดๆ ของเขา มันคือความไม่สมดุลสินะจนเขาค่อนขอดมา "ถ้าเกิดพี่ตาย เพราะอุบัติเหตุ หรืออะไรก็แล้วแต่คงไม่ได้มาเผากันหรอกมั่ง" เป็นผู้ชายมาดขรึมแต่เวลาเหน็บก็เจ็บเลือดไหลซิบคือผู้ชายคนนี้
คงเป็นเพราะฉันรักตัวเอง คิดถึงแต่ตัวเอง มันกลายเป็นความกลัว กลัวว่าเมื่อมีใครที่เดินเข้ามาแล้วเขาจะมาเอาเวลาที่มีไป
ฉันยังอยาก "ไปเที่ยวกับเพื่อนๆ"
"นอนอ่านหนังสือทั้งวันแบบไม่ต้องลุกไปไหน"
"เพ้อฝันคิดพล็อตเรื่องสั้น-นิยาย ได้แบบหวานๆ"
"อยากไปไหนตอนไหนก็ไม่ต้องกังวล"
และที่สำคัญฉันอยากตั้งจิตอธิษฐานสัจจะไว้กับบางอย่างซึ่งกำลังใจต้องเต็ม...
แต่ตอนนี้ฉันรู้ว่ายังไม่ถึงเวลาเมื่อช่วงจังหวะมาถึงฉันจะตั้งสัจจะนั้น
ถ้าหากว่า...
มันอึดอัดก็ควรหยุดมันซะ อย่าให้มันอึดอัด อย่าให้มันต้องเหนื่อยล้าต่อไป
ระยะเวลาที่ผ่านมาแม้ว่าคบกันแบบเฉยๆ ฉันอยู่ได้คนเดียว ทำอะไรคนเดียว ฉันเข้มแข็งมากเกินไปที่จะมีใครมาดูแล พี่อรรจน์คนไม่มีเวลาเคยบอกว่า "ดีแล้วที่หนูเข้มแข็งดูแลตัวเองได้ พี่จะได้ไม่ห่วง" ความเป็นจริงฉันอยากได้อิสระสำหรับทำทุกเรื่องต่างหาก ไม่ต้องมาดูแลห่วงใยใส่ใจฉันเพราะมันจะทำให้ฉันอึดอัด แต่ทุกครั้งที่เขาทวงถามความห่วงใยจากฉัน ฉันมักบอกได้ไม่เต็มปาก "ห่วงสิคะ" เพราะเขามีคนคอยห่วงใยมากมาย แต่ฉันกลับไม่มีใครเลยในวันที่อ่อนแอ (ความจริงก็มีนะถ้าคนเหล่านั้นรู้ แต่ใครละอยากให้คนรอบข้างไม่สบายใจ)
จนฉันถูกตั้งคำถามจากผู้ใหญ่
"การที่เขาโทร.หาก็แสดงว่าห่วงใย แล้วทำไม? เราไม่โทร.หาเขาบ้างล่ะ"
จริงหรอ? "ห่วงใย" แต่ฉันคิดมุมกลับว่าเขาเองก็แค่ "เหงา" อยากคุยกับใครสักคน เพราะทุกครั้งที่โทร.มาเขาเหมือนห่วงใยก็จริงแต่แฝงไว้ด้วยผลประโยชน์ ต้องมีสักอย่างสิหน่าในแต่ละครั้ง
ฉันตั้งใจจะให้ของขวัญตัวเองอีกครั้งในปีนี้
ด้วยการเอาอิสระที่มีทั้งหมดคืน (ซึ่งความเป็นจริงไม่เคยมีใครแย่งมันไปจากฉันได้โฮ๊ะ โฮ๊ะ....)
ฉันจะขอ "ยุติ" และให้อิสระแก่เขา ให้ความสัมพันธ์ที่เหลือเป็นเพียงคนรู้จัก ไม่ต้องไปทานข้าวตามเวลานัด ไม่ต้องโทร.หาตามหน้าที่
เขาไม่ต้องฝืนทำหน้าตาตี่ ยิ้มร่าว่าห่วงใย เขาเป็นผู้ชายที่ผู้หญิงหลายคนอยากครองไม่ใช่พูดเว่อร์เกินไป เชื่อเถอะว่าจริง ด้วย option ที่เขามี รูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ รับประกันด้วยภาพลักษณ์ที่โก้หรู ขับเบนซ์กินลม ชมหูฉลาม 555 ??? ทัวร์ทานอาหารจีน 555 ไม่เว่อร์เชื่อเถอะ!!!!!!
แต่สำหรับฉันนั้นไม่ใช่เป้าหมายสูงสุด และไม่ใช่คำตอบทั้งหมดในชีวิตเพราะทุกคนมีเป้าหมายแตกต่างกันไปกาไม่ควรอยู่เคียงคู่หงส์ เป็นกาดงควรอยู่ในป่าพนาสัณฑ์ วิเวกอย่างอิสระ เรียบง่าย สงบสุข
นอยมาจากคำว่า Paranoia ( แพ - ระ - นอย - อะ ) เป็นโรคหรือภาระทางจิตชนิดหนึ่ง
คือ ผู้ป่วยจะมีอาการหวาดระแวงหลงผิดว่าคนอื่นจะมาทำร้ายเขา
บางคนไม่กล้าไปไหนเพราะเชื่อว่ามีคนมาล่าเขาทั้ง ๆ ที่ไม่เป็นความจริง
ผู้ที่รู้สึกอย่างนี้เรียกว่า paranoid ( เช่น He is paranoid, I am paranoid เป็นต้น )
แต่คำนี้กลายเป็นสำนวนแล้ว จะใช้อธิบายเมื่อใคร ๆ คิดมาก กังวลมากเกินไป กลัวคนหรือสถานการณ์ที่ไม่น่าเกิดขึ้น
23 ธันวาคม 2554 07:41 น.
แมงกุ๊ดจี่
ผมนั่งกดดูเบอร์โทร.ใน contact list ที่มีอยู่ในโทรศัพท์รุ่นล่าสุดที่นำสมัย
วันหยุดที่เงียบเหงาผมนั่งแง่วอยู่มุมทำงานภายในบ้าน
เพ่งอยู่กับหน้าจอคอมพ์ กับเวปบราวเซอร์ เช่น Facebook Thaipoem
kapook sanook pantip ฯลฯ ไม่มีอะไรน่าสนใจในเวลานี้
(มีไทยโพเอมด้วยนะ ฮ่าๆ)
ตอนนี้ผม...รู้สึก
อยากโทร.หาใครสักคน แต่ผมไม่รู้จะโทรไปหาใคร และไม่รู้ว่าตอนนี้ผมเป็นอะไร
อารมณ์เหงางั่นหรอ? ผมไม่เคยเป็นแบบนี้
ผมไล่ดูเบอร์ น้องส้ม น้องกิ๊ฟ น้องเตย น้องจิ๋ว น้องดิว น้องก้อย น้องฟ้า น้องเชอรี่....ฯลฯ
ไม่มีน้องคนไหน? ที่ผมอยากโทร.หาเลย
ผมอยากโทร.หาเธอคนหนึ่ง
แต่ผมไม่มีเบอร์ของเธอ อารมณ์แบบนี้ถ้าได้คุยกับเธอ
คงทำให้ชีวิตของผมตื่นเต้นไม่น้อย แต่มันจนด้วยเกล้าครับผมไม่มีเบอร์ของเธอ...
ในยุคของโซเชียลเน็ตเวิร์คแบบนี้
ก็ยังทำให้ผมเหงายิ่งกว่าเดิมอีก เพราะมันทำให้ผมห่างเพื่อนออกไปทุกที
พอวันนี้ ผมต้องการเพื่อนสักคนกลายเป็นว่าไม่มีใครว่างสำหรับผมเลย
ผมคงอยู่ในโลกเสมือนนั้นมากเกินไป
ผมอยากรักผู้หญิงสักคน...
แต่นั่นมันเหมือนเป็นโจทย์ที่หาคำตอบไม่ได้นานมาแล้ว
เพราะผมไม่เคยคบใครได้นานสักคน
ผมรู้สึกเหมือนรอ...รอ...แล้วก็รอ...รอผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งจริงๆ
เธออาจจะมีอยู่ในนิยายเท่านั้น
ผมอยากถามคุณๆ ทั้งหลายว่า...
"คุณมีใคร ที่เก็บไว้ให้ฝันหวานบ้างไหม?"
"ความฝัน" ใช่ฝันหวาน ฝันเพ้อ ฝันกลางวัน ฝันละเมอ
อาจเป็นเพียงจิตนาการ แต่ไม่ใช่ฝันเพ้อ จนต้องกินไม่ได้นอนไม่หลับ
หรือเกินความเป็นจริงจนแยกไม่ออกว่าอะไรคืออะไร....
มันเป็นเพียงความรู้สึกหวานที่ติดอยู่ในใจทุกครั้งที่คิดถึงเขา...
ผมรู้ว่ามันเป็นแค่ความฝัน...
การเปลี่ยนแปลง "คนแปลกหน้า" ให้เป็นคนของใจ เป็นอะไรที่เป็นไปได้
แต่สำหรับผมและเธอ คงเป็นเรื่องยากที่จะเป็นไปได้...
เพราะผมไม่มีความกล้ามากพอที่จะเปลี่ยนแปลงให้มันเกิดขึ้น...
ความคิดที่ "ไม่กล้า"
มันทำให้ผมโยนโทรศัพท์รุ่นที่มีความเสถียรล้ำสมัยในยุคโซเซียล...
ดังปึกกกกกกกกกกก...ลงบนเบาะรถฝั่งตรงข้ามคนขับ
ผมทำไม? รู้สึกเหงาและอยากพบเธอ...
ความรุ่มร้อนในใจทำให้ผมต้องเอาธรรมะเข้าข่ม
"ถ้าหากผมกับเธอมีวาสนาต่อกัน บุพเพคงทำให้ผมและเธอได้ใช้เวลาร่วมกัน
เพื่อสร้างรอยกรรม ผูกพันกันในปางนี้" จริงๆ มันผิดวิสัยของสุภาพบุรุษแบบผม...
ที่จะคิดเหนี่ยวน้าวจิตใจเข้าหาพุทธวจนะ
ผมถอนหายใจเหือกยาว....
แล้วเคลื่อนรถหรูมุ่งไปข้างหน้าเพื่อให้ถึงจุดหมายคือคอนโดน้องจิว อิอิ...