25 มิถุนายน 2554 21:12 น.
แทนคุณแทนไท
ขณะหนึ่ง ขณะนี้
๑๗.๑๙ นาฬิกา
ด้วยความเคารพ
และขออภัยที่ผมใช้ข้อความจารจดความรู้สึกผ่านตัวอักษร แทนที่จะทายทักผ่านโทรศัพท์
อาจารย์ครับ อาจารย์คือพ่อผู้ให้ชีวิตการศึกษาแก่ผม นับแต่อายุสิบแปดปีที่ไม่ได้พบอาจารย์อีก ผมใช้ชีวิตและพยามเตือนสติตัวตามแบบอย่างที่อาจารย์เคยสะกิดไว้เสมอ
"จงพิจารณาสิ่งที่ทำ อย่างยุติธรรม ถ้าได้ยุติธรรมแล้ว จงภูมิใจในสิ่งที่จะทำ"
บัดนี้ ล่วงเวลามาจะยี่สิบปีแล้ว ทุกครั้งที่พบผ่านความรู้สึกขัดแย้ง ถดถอย และกำลังจะสิโรราบ ผมได้ถ้อยคำอาจารย์ ปลุกให้ลุกขึ้นเสมอ
อาจารย์ครับ วันก่อนผมโทรไปหาอาจารย์ด้วยความหวังเต็มเปี่ยมว่าจะได้ยินเสียงในรอบยี่สิบปี แต่พลาดหวังครับ เพราะอาจารย์แม่รับสาย และอธิบายว่าอาจารย์มาทำกิจกิจกรรมเยาวชนอยู่ที่กรุงเทพมหานคร
ขณะฟังครั้งแรก ผมดีใจยิ่งนักที่อาจารย์มาอยู่ใกล้ผมเช่นนี้ คิดจะได้ไปกราบเท้าและบอกเล่าวันเวลาที่ผ่าน และไถ่ถามสารทุกข์ให้หายระลึกถึง
แต่แล้ว ความผิดหวังก็มาสวัสดีโดยไว เพราะอาจารย์แม่แจ้งให้ทราบว่า อาจารย์ไม่ใช้มือถือครับ อีกทั้งจะติดต่ออาจารย์ได้ก็ต่อเมื่ออาจารย์ติดต่อมาเท่านั้น
อาจารย์ครับ สุขภาพอาจารย์เป็นยังไงบ้าง ผมอยากให้อาจารย์แข็งแรง และอยู่เป็นแรงบันดาลใจดีดีให้คนรุ่นหลังนานๆ
ผมเป็นศิษย์ที่ใช้ไม่ได้จริงๆ นอกจากขาดการติดต่ออาจารย์แล้ว ยังไม่ได้ปรนนิบัติรับใช้ตามสมควรที่บุคคลผู้เป็นศิษย์ควรทำ
นับแต่วันที่ผมจากอาจารย์มา จนถึงวันนี้ ประมาณกาลแล้วอาจารย์คงอายุแปดสิบแล้ว
อาจารย์ครับ ผมพบข่าวสารของอาจารย์เสมอ ในเชิงกล่าวว่า ชายอายุแปดสิบ ยังเป็นผู้มีแรงช่วยเหลือสังคมอยู่เป็นอาจินต์ ผมแอบภูมิใจที่ชาตินี้ได้เกิดเป็นศิษย์อาจารย์ครับ
ชีวิตผม จากเด็กวัด เด็กชายขอบ ได้เข้ามาศึกษาเล่าเรียน มีความรู้ประดับสมอง มีสังคมที่กว้างกว่า มีทัศนะที่ถ้วนทั่ว และปัจจุบันมีการงานและวิถีที่ภาคภูมิ ทั้งหมดนี้ผมกราบอาจารย์แทบเท้าครับ สำหรับโอกาสทั้งมวลในส่วนที่ทำให้ผมมีให้ผมเป็น
นอกจากบิดารมารดาผู้ให้กำเนิดแล้ว ผมมีอาจารย์เป็นพระในใจผมเสมอในจิตระลึกถึง
อาจารย์ครับ อาจารย์จำได้ไหมครับ วันหนึ่งที่ชายขอบของจังหวัด ชายคนหนึ่งรถมอเตอร์ไซเสียอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่ง นั่นหละครับวาสนาดี เป็นบุญคุณจากฟากฟ้าที่ทำให้ผมได้พบอาจารย์ผู้มีจิตโอบเอื้อ
ผมจำได้ครับวันนั้น อาจารย์แวะดื่มน้ำที่บ้านผม ตอนนั้นผมคงจะสิบขวบแล้วกระมัง อาจารย์พาเด็กนักเรียนประจำจังหวัดมาเข้าค่ายบริเวณหน้าทะเลบ้านผม แล้วรถมาเสียอยู่ตรงที่ได้พบอาจารย์พอดี
ผมจำได้ อาจารย์มองไก่แจ้ที่ผมเลี้ยงไว้ด้วยความชื่นชม และอาจารย์เล่าว่า ที่บ้านในเมือง อาจารย์ปลูกไม้หลากพันธ์ ทั้งไม้ยืนต้น ไม้ดอก ไม้ผล อีกทั้งชอบไก่แจ้มาก ชอบเวลาเห็นไก่เขี่ยใบไม้ตามโคนต้นมังคุด อาจารย์ว่า นั่นคือความสบายใจที่ได้อยู่กับธรรมชาติเช่นนั้น
วันนั้น ผมมองอาจารย์ และนึกอบอุ่นในรู้สึกนึกคิดและคำพูดอีกหลายอย่างที่อาจารย์ถามไถ่ ผมได้แต่เล่าให้อาจารย์ฟังว่า อีกไม่นานผมจะจบ ป ๖ แล้ว และที่นี้ผมโม้ไปว่าผมเรียนเก่งที่สุดในตำบล โม้จนแม่ปรามว่า พูดยกตัวเองมากเกินไป แต่ยังไงหละครับ คนสอบได้ที่หนึ่งก็ต้องเก่งที่สุดในตำบลซินะ ผมได้เถียงค้านแบบเด็กๆในใจ
ก่อนอาจารย์กลับ ผมบอกอาจารย์ว่า ไก่แจ้ผมมีหลายตัว ผมจะให้อาจารย์ไปตัวนึงนะครับ แล้วผมก็โปรยข้าวเปลือก เอาซุ่มจับไก่แจ้ให้อาจารย์ได้ตัวนึง ผมจำได้ครับอาจารย์ ไก่แจ้หนุ่มตัวนั้น สร้อยขนสวยมากๆ แถมเดือยก็กำลังยาวพอดี สีน้ำเงินแดง หางจะเป็นดำเหลือบน้ำเงิน
ผมจับได้ ยังนึกเสียดายเลย ว่าตัวนี้สวยจริงน่าจะให้ตัวอื่น แต่ไม่รู้เป็นไงผมไม่ยักเปลี่ยนใจ มอบให้อาจารย์ไปโดยแค่นึกเสียดายเหมือนเด็กหวงของเล่นนิดๆก็เพียงนั้น
อาจารย์ครับ ก่อนกลับผมถามอาจารย์ว่า "อาจารย์ครับ พวกพี่ที่มาเข้าค่ายมาจากโรงเรียนอะไรครับ"
"เบญจมราชูทิศ นครศรีธรรมราช" คือคำตอบที่อาจารย์บอกผม แล้วบอกผมว่าถ้าไปในเมืองก็แวะไปหาได้นะ
อาจารย์ครับ ผมยอมรับครับว่านั่นเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมได้ยินชื่อโรงเรียนที่ไพเราะเช่นนี้ และเป็นโรงเรียนที่ผมใช้ตอบคำถามครูว่าจบปอหกแล้วจะเรียนที่ไหน
อันที่จริงผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโรงเรียนนี้หรอกครับ ผมเพียงอยากโรงเรียนเพราะจะได้ไปดูไก่แจ้ ดูสวนที่อาจารย์ว่า และได้พูดคุยกับอาจารย์
ครูประถมผมยังเอ่ยเลยครับ เวลาผมบอกว่า จะไปเรียนที่นั่น ท่านว่าน่าลองนะ แต่อย่าหวังมาก เพราะสอบเข้ายาก ซึ่งผมยังนึกสงสัยเลยว่าทำไมต้องสอบ ผมสอบปอหกได้ที่หนึ่ง ก็น่าจะขึ้นมอหนึ่งได้เลยซินะ ทำไมไม่เหมือนสอบปอห้าได้ขึ้นปอหก ผมนี่มันเพี้ยนจริงๆครับอาจารย์
พอผมจบปอหก ผมต้องรอหนึ่งปีเชียวครับอาจารย์กว่าที่จะไปโรงเรียนเบญจมฯที่ว่า เนื่องด้วยเด็กชายขอบอย่างผมได้เรียนมัธยมหนึ่งที่โรงเรียนประจำตำบลแบบงงๆไปแล้ว
ผมจำได้ครับ วันหนึ่ง หลังจากสอบมอหนึ่งเสร็จ ผมก็บอกแม่ว่า แม่ครับผมอยากไปเรียนโรงเรียนที่อาจารย์สอน และแม่ผมก็ดีแสนดีครับ ไม่ขัด และพาผมเดินทางนับร้อยกิโลเมตรผ่านเส้นทางที่ทุรกันดารเหลือเกินในยามนั้นไปสมัครสอบ
เมื่อผมไปถึงที่แห่งนั้น ผมตกตะลึงกับความใหญ่โตของสถานที่ และปรีเปรมขึ้นมาทันทีเมื่อได้พบอาจารย์ดังวาดหวัง
ผมจำได้ วันนั้นอาจารย์บอกผมว่า ถ้าจะเรียนที่นี่จะต้องสอบแข่งขันนะ และต้องตั้งใจเรียนถ้าสอบได้ เพราะแม่เดินทางมาไกลยากลำบากกว่าจะนำผมมาส่งถึงที่ได้
อาจารย์ครับ สำหรับผมในตอนนั้นไม่นึกเกรงกลัวต่อการสอบแข่งขันเลย เพราะผมจบปอหกได้ที่หนึ่ง และจบมอหนึ่งจากตำบลห่างไกลได้ ๔.๐๐ ครับ แต่ผมไม่ได้โม้อะไรหรือบอกอะไรอาจารย์มากกว่าคิดเบาๆตามประสาเด็กตำบลห่างไกล
อาจารย์ครับ จนแล้วจนได้ผมก็ได้เรียนโรงเรียนที่อาจารย์สอนสมความตั้งใจ และเป็นครั้งแรกที่ประสบการณ์ทำให้ผมพบว่า ผมยังเป็นเด็กตำบลห่างไกลที่ยังเบาปัญญาและวิชาการนัก
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อได้เล่าเรียนแล้ว ผมคิดและทำหลายประการที่อาจทำให้อาจารย์ผิดหวัง ทั้งที่ผมคอยเตือนตัวเองเสมอว่า ยุติธรรมรึยัง จนเมื่อผมโตขึ้น ผมถึงได้เข้าใจคำอาจารย์อย่างถ่องแท้ การประพฤติและปฏิบัติที่ยุติธรรมแล้วนั้น ต้องต่อตนเอง ผู้อื่น สังคม และคนที่รักเราและเรารักด้วยโดยเสมอหน้า
อาจารย์ครับ ถึงอาย่างไรก็ตาม หกปีที่อาจารย์อบรมผม ยามผมเดินนอกทางมากเกินไป ทำให้เป็นหกปีแห่งการเรียนรู้ที่ไพศาลและสถาพรมาถึงปัจจุบันนี้ครับ
อาจารย์ครับ ผมคิดถึงอาจารย์จัง โดยเฉพาะยามที่ผมถดถอย และเกือบยอมสิโรราบต่ออยุติธรรมทั้งหลาย ถ้าไม่ได้คำสอนของอาจารย์ก้องอยู่ในสามัญรู้สึก ผมอาจพ่ายแพ้ไปนานแล้วก็เป็นได้
หลายปีที่ผ่านมา ผมได้แต่ส่งความปรารถนาและระลึกถึงผ่านโอกาสและประเพณีต่างๆ ถ้าผมได้เจออาจารย์ผมอยากให้อาจารย์ทราบครับ
บัดนี้ เด็กชายขอบ ตำบลห่างไกล กำลังสืบทอดเจตนารมณ์ของอาจารย์ ด้วยคำนึงถึง ความเป็นธรรม ยุติธรรม มโนธรรม และเที่ยงธรรม ตามภาระและหน้าที่ซึ่งผมมีได้เพราะโอกาสที่พบอาจารย์เมื่อสามสิบปีก่อนนั้น
อาจารย์ครับ เมื่อผมคิดจะพ่ายแพ้ และถอยกลับ ผมจะถามตัวเองว่าได้ต่อสู้และยืนหยัดในอุดมคติที่ดีงามเหมือนชายอายุแปดสิบที่เพียรทำและส่งต่อแบบอย่างนั้นหรือยัง
วันนี้ ผมเหนื่อย และขอลุกขึ้นอีกครั้ง และอีกครั้งเมื่อเขียนจดหมายฉบับนี้ถึงอาจารย์
ขอบพระคุณทุกวันคืนที่มีอาจารย์คอยย้ำสติเตือน
เขียนมากราบเท้าอาจารย์ด้วยความเคารพครับ / เด็กชายตำบลห่างไกล