21 กรกฎาคม 2551 08:46 น.
แทนคุณแทนไท
สำหรับเธอ
ฉันอาจเป็นคนที่โฉดเขลาที่สุดเท่าที่เคยเห็น
ฉันตื่นเต้นในความธรรมดา
และเย็นชาในราคะทะยานอยากที่ควรมี
เพชรพลอยที่ประดับบนหน้าฉัน
จึงมีแต่กรวดทรายไร้ค่าและสิ้นราคา จะแลกหาความศิวิไลซ์ใดก็มิได้
++
ฉันโฉดเขลา
และจืดชืดจนหาความตื่นเต้นอันใดมิพบ
ความสุขของฉัน จึงเป็นความเปล่าว่างที่เธอมิเคยสัมผัสได้
เหมือนลมหายใจ ที่ไฉนเลยจะรู้สึกได้ดีกว่ารูปรสที่ได้ลิ้มชิม
++
เมื่ออาทิตย์ลับฟ้า
เสี้ยวเวลาก่อนพลบค่ำยังคงมีความหมายสำหรับฉัน
ความรู้สึกฉันยังยืนยง พิสูจน์ความสัตย์ซื่อที่มีต่อลมหายใจแห่งนั้นเสมอ
อาภรณ์ที่ระยับด้วยเก็จอัญมณีเลอค่า... ประดับงามบนร่างเธอ
เธอผู้หมางเมินวินาทีแห่งหวัง และนึกชังเสี้ยววินาทีที่ยืนยงของฉัน
++
ราตรีที่อึกทึก
กับความรู้สึกอันแจ่มจ้าของเธอ ทำลายความเป็น โคลัมบัส ของฉันจนสิ้น
ความโฉดเขลาของฉัน กัดกินศรัทธาแห่งวาสนาที่เคยมี...
พร้อมกับความรู้สึกไม่มีอะไรให้ค้นหา และสิ้นไร้นางฟ้าที่ฉันจะค้นพบ
++
ก่อนที่วินาทีแห่งความโศกดาย จะพัดฉันหายไป ณ มหาทะเลแห่งความเศร้า
อาภรณ์ที่เธอสวมทับ ระยับวาบด้วยมณีประดับอันเลอค่า
ใบหน้าอันสิ้นหวังของฉันสะท้อนสะทก ปรากฏฟ้องอยู่บนมรกตสีทอง
หยาดน้ำตาแห่งความอาลัย เผยความทุกข์เทวษแทนอัญมณีระยับ
++
เพียงครู่เดียวแห่งความคิด
เธอฉวยโอกาสนั้น สลัดดวงตาฉันทิ้งไปพร้อมกับความรักของเธอ
ฉันหลุดลอยลงสายน้ำแห่งความโศกดาย ... ดิ่งลึกไปพร้อมกับมรกตสีทองที่เธอสลัดทิ้ง
มิดมืดและเย็นยะเยือก จับขั้วหัวใจ
ก่อนที่จิตสัมผัสฉันจะเลือนหาย
วงหน้าเธอมีรอยยิ้มแรกที่ฉันเพิ่งเคยพบเห็น
ฉันคือความโฉดเขลาที่สุดเท่าที่เธอเคยเห็น
ฝันของเธอแย้มยิ้ม เผยสวยงามและแสนชื่นที่เคยมี
ความกำสรดช่วยสวมเพชรอลังการลงบนเครื่องแต่งกายเธอ
แต่งแต้มอยู่บนใบหน้าหมดจดและแสนซื่อ
++
ละครเศร้าปิดฉากลงแล้ว
เสียงปรบมือมีให้แก่ผู้ทุกข์เทวษบนเวทีนั้น
ทั้งผู้ซึ่งได้กล่าวคำอำลาสุดท้าย... และทั้งฉันผู้ซึ่งมิได้เอ่ยเอื้อนสิ่งใด
ทั้งหมด และทั้งฉันผู้ซานซม
++
ฉันคือความโฉดเขลาที่สุดเท่าที่เธอเคยมี
พระจันทร์ที่ ๒๑ กรกฎาค์ ๒๕๕๑ / แทนคุณแทนไท
15 กรกฎาคม 2551 15:21 น.
แทนคุณแทนไท
ฉันพบความรัก
บางทีอยู่ในความฝันของบางใคร
แต่บางที ก็ว้าวนอยู่ในความฝันของฉัน
เมื่อคืนฉันก็ฝัน
ฝันว่าเธอยื่นความรักส่งให้ฉัน
ไยน้ำตาฉันไหล
ฉันปิติใจ ฤๅ ฉันตระหนกในสิ่งใดกันแน่
นางฟ้าผู้แสนดี
ฉันพบว่าฉันต่ำต้อยเกินกว่าจะกอดเธอไว้ในอุ่นอกแต่เพียงผู้เดียว
เธองดงาม เป็นดั่งอัญมณีแห่งความรัก
ฉันพบเธอ
ขณะที่มิเอื้อมอาจจะยุดแย่งคว้าเธอมาครองดั่งเคยตั้งปรารถนาได้
เมื่อวาน
ความรักของฉัน เคยเป็นความฝันของบางใคร
แล้วไยวันนี้ ความรักของบางใคร เป็นความฝันของฉันบ้างไม่ได้หนอ
.....................
ฉันสบตาเธอ
แล้วกลั้นความรู้สึกหยิบหัวใจเธอคืนเธอ
เสียงเพลง...
"หากความรักเกิดในความฝัน เราจุมพิตโดยไม่รู้จักกัน"
....
"อยากให้เธอได้พบกับฉัน เราสมรสโดยไม่มองหน้ากัน จูบเพื่อร่ำลาในความสัมพันธ์"
......
"ก่อนที่ฉันจะปล่อยเธอหายไป โดยไม่รู้จักเธอ"
......
แว่วตามหลังฉันมา
มีความสุขกับวันวิวาห์นะ นางฟ้าของเขา
5 มิถุนายน 2551 14:26 น.
แทนคุณแทนไท
ณ สถานการณ์เช่นที่ว่านี้
ความแล้งร้อนของโลกว่าน่ากลัวแล้ว จิตใจที่ร้อนรุ่มกลับน่ากลัวกว่าเป็นเท่าทวี
สิ่งที่เราเป็น ความจริง ทุกคนย่อมตระหนักรู้อยู่แก่ใจตัว ทั่วทุกคน
วาทะกรรมต่างๆที่ทุกคนสร้างขึ้น บางวาทะก็เพียงอยากบอกว่าตัวเป็นคนเช่นไรเท่านั้น
แหละบางวาทะก็ไม่ต่างกัน เพียงอยากใช้กล่าวถึงเพื่อปรามาสหรือชื่นชม ว่าใครเป็นคนเช่นแบบไหน
จะเป็นข้าพเจ้า หรือว่าใครๆ เราต่างมีจริตและความเห็นที่ต่างเป็นไทในตัวเอง
"อิสระ และ ชอบธรรม"
การอันใดที่เราแสดงออก ต่างอาศัยเหตุปัจจัย2 สิ่ง นี้ทั้งสิ้น
แต่สิ่งหนึ่งที่เลี่ยงไม่ได้คือ บางจริตที่เลือกจะแสดงออก จะชอบธรรมในบริบทของสังคมบางสังคมที่มีจริตที่แตกต่างกับเราหรือไม่ อย่างไร ก็เพียงนั้น
อิสระ และ ความชอบธรรม จึงต้องเตรียมเหตุผลที่หนักแน่นเพียงพอที่จะตอบบางใครให้ได้เมื่อไปกระทบถึงความรู้สึกใครอันบริสุทธิใจที่ถามหาถึงความพอดี พองาม และพอควร
อย่างน้อยตอบสามัญสำนึกแห่งความเป็นสัตว์สังคมผู้ควรมีหน้าที่ได้บ้าง แม้เพียงหนึ่งน้อยก็ยังดี
แม้ในเวทีการต่อสู้ ผู้หมายมั่นเป็นนักรบ จะได้รับการปลุกใจจากแม่ทัพเสมอว่า
"การใหญ่จะสำเร็จ อาจต้องขืน และต้องข่มความเจ็บปวดกับการสูญเสียบ้างก็ตาม"
แต่นั่น ก็มิได้เป็นเหตุผลซึ่งใครจะยอมรับได้ทุกคน โดยเฉพาะฝั่งที่คิดเห็นเป็นประการที่แตกต่างออกไป
การแสดงออกใดอันเป็นที่ประจักษ์ใจในขณะนี้
ไม่ว่าจากผู้เป็น ไท ฟากใด ล้วนมีข้อโต้แย้งและข้อกังขาให้แคลงใจเสมอ
การเป็นแบบหนึ่งอาจเกิดจากกระบวนการคิดแบบหนึ่ง
แหละการเป็นอีกสิ่งหนึ่งอาจเกิดจากอีกกระบวนการคิดที่ต่างออกไป
ในโลกที่หลากสี สีขาวสำหรับบางคนอาจเป็นสีแห่งความศิวิไล แต่สำหรับบางใครสีดำเป็นสีอันน่าพิสมัยยิ่งกว่า
ขณะที่มีไม่น้อย ที่จะไม่ยี่หระที่จะประกาศตัวบอกใครๆว่า ข้านี่แหละหลงใหลสีเทา ยิ่งกว่าสิ่งใด
ขาว เทา หรือ ดำ เป็นความถูกต้องที่แท้ก็ต่อเมื่อเกิดการตกผลึกของสังคม ที่ได้รับข้อมูลอย่างรอบด้าน และนำมาซึ่งการยอมรับร่วมกันแล้วเท่านั้น
สหายทั้งหลาย เคยคิดบ้างหรือไม่ว่า วันนี้ทำไมเรามิอาจหันหน้ามาปรองดองกันได้ แบบที่ควรจะทำและควรจะเป็น
ปัญหาอยู่ที่เราเห็นแตกต่าง หรืออยู่ที่การ ไร้พื้นที่ สำหรับความแตกต่างที่มีหนอ
โดยส่วนตัว ข้าพเจ้าเชื่อในบริบทของกระบวนการคิดข้าพเจ้าว่า เมื่อมีข้อขัดแย้งเกิดขึ้น โดยเฉพาะการเมือง คนที่คิดเห็นในเรื่องนั้นๆเป็นกลางไม่เคยมี มีแต่เห็นด้วย เห็นต่าง หรือเห็นด้วยเห็นต่างอย่างมีข้อแม้หรือข้อจำกัดเท่านั้น
คนที่บอกเห็นกลาง หากเป็นกลางที่ถูกต้อง ในความนึกคิดของข้าพเจ้า น่าจะเป็นคนที่เลือกยืนอยู่ตรงกลางซะมากกว่า (แต่ในจริตต้องคิดเห็นในสิ่งนั้นเป็นประการใดประการหนึ่งแน่แท้)
ให้ทัศนะเชิงบวก อาจจะหมายถึง ไม่ปรารถนาให้เกิดความขัดแย้ง หรือปรารถนาจะบรรเทาความร้อนระอุ และคอยประสานความขัดแย้งหรือผู้ขัดแย้งในสังคม ให้ยังคงไม่หลงลืมไปว่าเราเป็นเนื้อไทยเดียวกันก็เป็นได้
คนกลาง จึงยังเกิดอยู่ และข้าพเจ้าก็ต้องยอมรับว่ายังมีความหมายและจำเป็นในเวทีของประเทศที่ประชาธิปไตยยังไม่เติบโตมากนัก เช่นประเทศนี้
ประเทศที่ เป็นประชาธิปไตยที่มีกฎหมาย แต่การบังคับใช้อย่างอ่อนแอ ย้ำว่าอ่อนแอเหลือเกิน
ดังนั้น คนเห็นด้วย คนยืนกลาง และคนเห็นแย้ง จึงยังเป็นความจำเป็นที่ยังขาดไม่ได้
ประเทศที่มีเสรี มีสิทธิ และหน้าที่ในกฎหมายและรัฐธรรมนูญ
แต่เมื่อถึงคราวที่ต้องใช้สิ่งเหล่านั้น กลับไม่เคยปรากฏแยกได้ชัดในการบังคับใช้
เสรี สิทธิ และหน้าที่ จึงยังแสดงจุดยืนได้ทับซ้อนกันจนยากจะแยกแยะได้ว่า ใครควรเป็นและควรทำเช่นไหน อย่างไร และแค่ไหน
"ตราบเท่าที่ การปฏิรูปกฎหมายและการบังคับใช้อย่างเข้มแข็งไม่เกิดขึ้นในประเทศนี้"
อย่าหวังเลย ว่าจะได้เห็น ตุลา พฤษภา หรือแม้แต่กันยา เป็นฉากเศร้าสุดท้ายของประชาธิปไตยที่โหยหา
เมื่อผู้รักษากฎซึ่งเป็นด่านหน้าของการบังคับใช้ ยังต้องเลือกว่าจะให้ความเป็นธรรมในขั้นต้นกับผู้ใด ก็ต่อเมื่อได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาสูงสุด
เมื่อผู้รักษากฎสูงสุดคือนักการเมืองบางจำพวก ซึ่งมีอยู่เต็มค่อนสภาที่ได้รับการเลือกตั้งมาโดยไม่เคยยี่หระถึงความศักดิ์สิทธิของกฎหมายในประเทศนี้
ประกอบกับ ประชาชนจำนวนหนึ่งยอมขายสิทธิต่างๆที่ตนพึงมีเพียง 1 นาที ให้กับบางใครเพื่อเดินเข้าสภาไปย่ำยีประเทศชาติได้ตามสบายใจฉัน
เมื่อพื้นฐานอันเป็นหัวใจในการใช้กฎหมาย ณ รากฐานของประชาธิปไตยล้มเหลว
จะหวังให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงได้อย่างไร
"ระบบกฎหมายล้มเหลว" ประชาธิปไตยที่แท้จึงมิได้มาสวัสดีประชาชนสักที
นักกินเมืองในระบบประชาธิปไตยจึงมีอยู่ค่อนสภา
ประชาชน ทั้งผู้สำคัญผิดและผู้เต็มใจเมื่อได้ขายสิทธิอันสำคัญยิ่งให้บางใครไปแล้วซิโรราบแล้วต่อความเห็นแก่ได้เพียงชั่วแล่น
จึงไม่แปลกที่ผู้ได้มาซึ่งการปกครองแบบตัวแทนในประเทศนี้จึงมิได้ยอมรับการเมืองภาคประชาชน
เพราะบางใครคิดว่ากลุ่มอำนาจตนได้ซื้อสิทธินี้อย่างเด็ดขาดมาเสียแล้ว
ประกอบกับบางคนก็คิดว่าสิทธิของตัวจะมีอีกครั้งเมื่อถึงการเลือกตั้งครั้งหน้า
สหายท่านหนึ่งเคยบอก
ทั้งหมดนี้มิใช่ปัญหานักการเมือง หรือ ประชาชน
แต่เป็นปัญหาของการบังคับใช้กฎ กฎที่ว่าคือกฎหมาย
ในประเทศที่ระบบกฎหมายเข้มแข็ง ประชาธิปไตยจะเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง
คนขายสิทธิอันพึงมีของตนไม่ปรากฏ คนได้อำนาจปวงชนโดยการซื้อหาก็อย่าได้คิดฝันหวานเข้าสภา
คนอยู่ในสภาจึงเต็มไปด้วยผู้กระหายความชอบธรรม เคารพกฎหมายและรักประชาชน
เมื่อมีข้อโต้แย้งใดๆเกิดขึ้นในสังคม ความเห็นต่างที่ไม่ถูกประณามก็เกิดขึ้นได้
ความเห็นแย้งที่ไม่ถูกด่าทอก็เกิดขึ้นได้เช่นกัน
ไม่จำเป็นต้องหาคนมายืนอยู่ตรงกลางเพื่อลดการเผชิญหน้า
เพราะคนกลางคือกฎหมายที่จะได้รับโดยการบังคับใช้โดยบุคคลซึ่งดำรงความยุติธรรม เพื่อให้สังคมเกิดความยุติ
สหายทั้งหลาย
ไทยทั้งนั้น ที่บีบขยี้หัวใจประชาธิปไตยมาตั้งแต่ต้น เราทำลายระบบกฎอันศักดิ์สิทธิ
แม้ถึงว่าวันนี้ เราต้องเจ็บปวด กับความขัดแย้งที่เห็นด้วย ยืนกลาง หรือเห็นต่าง ก็กลืนฝืนความเจ็บปวดไปก่อนเถิด
เพราะหากเรายังอ่อนแอ เมินเฉย มิกล้าแสดงตัว พร้อมทั้งเหยียดหยามทุกความเห็นต่าง เราจะก้าวข้ามไปสู่แดนแห่งอุดมคติได้อย่างไรเล่า
วันนี้สังคมยังต้องการคนยืนกลาง ก่อนที่เปิดโอกาสให้เขาแสดงตัวในวันพรุ่ง เมื่อประชาธิปไตยที่แท้ได้เบิกบาน
แม้ข้าพเจ้าและท่านทั้งหลายแตกต่างกันในจุดยืนเชิงทัศนะคติ แต่เข้าใจในเหตุผลของกันและกันบ้าง เราอาจได้สร้างสังคมอันงดงามเพื่อบางใครในวันหน้า
ก่อนที่จะสายไป ตรองเถิดสหายทั้งหลาย เรากำลังต่อสู้กับสิ่งใด
เผื่อว่าบางทีลูกหลานของเราในกาลหน้า อาจได้มีโอกาสแสดงจริตที่แตกต่างกันบนแดนประชาธิปไตยที่สวยงาม ภายใต้ใบหน้าที่เบิกบาน
ข้าพเจ้าเชื่อมั่น และวาดหวังเช่นนั้น
แทนคุณแทนไท / นนทบุรี
11 พฤศจิกายน 2550 11:35 น.
แทนคุณแทนไท
เธอมองดูดวงดาวอันเลื่อนลอยของฉันอย่างสงสัย พลางถามฉันว่า ฉันกำลังฝันถึงอะไร
ฉันบอกเธอว่า ฉันเพียงแต่นึกถึงเรื่องราวบางสิ่งบางอย่างที่ผ่านไปในชีวิต ฉันหาได้ฝันไม่
เธอส่ายหน้าพร้อมกับกล่าวว่า สิ่งที่ฉันบอกว่าไม่นั่นแหละคือสิ่งที่ฉันฝัน
ฉันหัวเราะและบอกเธอว่า ถ้าเช่นนั้นฉันก็คงจะได้ฝันมาแล้วตลอดเวลา
ฉันฝันถึงสิ่งทีอาจเป็นไปได้และอาจเป็นไปไม่ได้
ฉันฝันถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นแล้วและยังไม่เคยเกิดขึ้น
ความฝันนั้นเป็นภาพนิมิตอันบรรเจิดแจ่มและน่าสะพรึงกลัว
เราฝันเมื่อหลับและฝันเมื่อตื่น ฝันกลางคืนและฝันกลางวัน
และแล้วความฝันนั้นก็สูญสลายไปในฝุ่นของสีและธุลีของแสง
ฉันฝันถึงสิ่งที่ธรรมดาที่สุด
ฝันถึงทุ่งนากว้างที่อร่ามไปด้วยสีทองของรวงข้าว
ฝันถึงตรอกซอกที่คร่ำคร่าไปด้วยสีดำของความโสโครก
ฝันถึงเรือกสวนที่ชอุ่มไปด้วยสีของใบไม้
และฝันถึงตึกใหญ่ที่ดื่มด่ำอยู่ด้วยสีแดงแห่งกิเลศ
ฉันฝันถึงสิ่งแปลกประหลาดที่สุด
ฝันถึงสรวงสวรรค์ที่งดงามไปด้วยรูลักษณ์ของเทพบุตรและเทพธิดา
ฝันถึงซากศพที่กลับผุดขึ้นสร้างความอัปลักษณ์ให้มนุษย์
ฝันถึงเรือโล้ทองที่แล่นไปในท้องทะเลลึกและลอยขึ้นสู่สรวงสวรรค์ท่ามกลางเสียงขับกล่อมอันเริงใจ
และฝันถึงมวลผีนรกที่จับระบำทำเพลงอยู่รอบกระทะน้ำมันอันเดือดพล่าน
ฉันฝันถึงความหวังของมนุษย์
ฝันถึงมนุษย์คู่แรกผู้ท้านรกและสวรรค์เพื่อสร้างโลกขึ้นมาให้อยู่ในหว่างกลาง
ฝันถึงสิ่งมีชีวิตคู่แรกที่สามารถแพร่พันธุ์ขันแข่งกับมนุษย์ จนมนุษย์ไม่อาจเทียบทันได้ในเรื่องเผ่าพันธุ์
ฝันถึงภาษาพูดครั้งแรกที่มนุษย์รู้จักใช้ปากให้เป็นประโยชน์ต่างหากไปจากการกิน
ฝันถึงภาษาเขียนครั้งแรกที่มนุษย์รู้จักใช้มือให้เป็นประโยชน์ต่างหากไปจากการทำลาย
ฉันฝันถึงความก้าวหน้าของมนุษย์
ฝันถึงมนุษย์คู่แรกที่สามารถเหาะเหินไปตามดวงดาวต่างๆเพื่อขยายพันธุ์ของตัวเอง
ฝันถึงการสู้รบระหว่างโลกต่อโลกซึ่งมีอยู่ดาระดาษไปทั่วจักรวาล
ฝันถึงสัตว์คู่แรกที่สามารถพูดภาษามนุษย์และเริ่มเป็นสัตว์ตรูที่น่ากลัวที่สุด แทนที่จะเป็นมนุษย์ต่อมนุษย์
และฝันถึงพระผู้เป็นใหญ่ในสากลจักวาลที่ลอยเด่นอยู่กลางเวหาสในวาระสุดท้ายของชีวิตทั้งมวล
เราอาจฝันไปได้ต่างๆนานา
ความฝันอาจจะสดชื่น ความฝันอาจจะขื่นขม
แต่เราก็เคยได้ฝันแล้ว และยังจะต้องฝันต่อไป
เธอพยักหน้าอย่างแย้มยิ้มพร้อมกับกล่าวว่า ความฝันนั้นคือชีวิต
สิ่งที่เกิดขึ้นแก่ตัวเราไม่ได้อยู่คงที่ มันผ่านไป และผ่านไปโดยที่เราไม่สามารถจะเก็บมันไว้กับตัวเองได้
เมื่อวันใหม่มาถึง วันเก่าก็ผ่านไป
เช่นเดียวกับที่เราฝัน เมื่อเราลืมตาขึ้น ความฝันก็หายไป
ฉันไม่เห็นด้วย
เธอจึงถามว่า ถ้าเช่นนั้น ชีวิตคืออะไร
เมื่อเราก่อกองไฟขึ้น และปล่อยให้มันลุกโรจน์จนกระทั่งมอดดับ สิ่งที่เหลืออยู่คือถ่านเถ้า
เมื่อเราโค่นต้นไม้ลง และเลื่อยมันออกเป็นแผ่นๆ สิ่งที่ตกค้างอยู่คือขี้เลื่อย
เมื่อเราทำลายภูเขาลง สิ่งที่ปรากฏขึ้นก็คือที่ราบ
เมื่อเราปล่อยเวลาให้ผ่านไป สิ่งที่เรายังคงจดจำได้เสมอก็คือความหลัง
ความฝันคือสิ่งที่เกิดขึ้นและดับลงโดยไม่มีอะไรที่หลงเหลืออยู่
แต่ชีวิต-เมื่อเกิดขึ้นและดับลงแล้ว ย่อมจะต้องมีสิ่งที่คงเหลืออยู่
ไม่ว่าใครนั้นจะเลวหรือดี
ไม่ว่าใครนั้นจะมีหรือจน
เขาย่อมจะต้องมีสิ่งที่คงเหลืออยู่ทุกคน จะทนนานเพียงไหนนั่นย่อมแต่กรรมที่เขาประกอบไว้
เธออ้ำอึ้งไปครู่หนึ่งจึงถามว่า
สิ่งทีคงเหลืออยู่ของมนุษย์คืออะไร
ฉันยิ้มแย้มแจ่มใสเมื่อพาเธอไปหยุดยืนต่อหน้าพระบรมรูปทรงม้า
ฉันชี้ให้เธอดูพระบรมรูปของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
และบอกเธอว่า นั่นแหละคือสิ่งที่คงเหลืออยู่
เมื่อเราฝันนั้น พอเราตื่นขึ้น ความฝันก็หายไป
แต่ในชีวิตจริง แม้ยามที่เราหลับไปแล้วชั่วนิรันดร์ สิ่งที่เราได้ทำเอาไว้ก็ยังจะคงอยู่ และจะอยู่ตลอดไป
นั่นคือความจริง
23 มิถุนายน 2550 17:46 น.
แทนคุณแทนไท
เขียนที่นี่.. ..นนทบุรีที่รัก...
..บานเช้า.. ที่คิดถึง
ดอกเอ๋ยเจ้าดอกพิกุลอ่อน-ขั้วจะริดปลิดว่อนลงตอนไหน
ความรู้สึก เหมือนว่าจะขาดใน-ขั้วหัวใจเหมือนว่าจะขาดรอน
หัวใจเอ๋ย... เหมือนหลุดหายไป
ผมเขลาเกินไปหรือไร ?
เขลาเกินกว่าจะรู้ว่า
วันที่เราชิดใกล้ ทำคุณเป็นทุกข์
คุณว่าคุณหวั่นไหวเมื่อใกล้ผม
เป็นความหวั่นไหวที่ทำคุณทรมาน ผมได้แต่นึก เสียใจจัง
การได้อยู่ใกล้คุณเป็นบางเวลา สัมผัสแผ่วๆเป็นบางหน เป็นความสุขของผม
ผมไม่รู้หรอกว่า จะมีสิ่งใดสุขกว่านี้บ้าง
รู้แต่ว่า ถ้าไกลคุณเกินกว่านี้ คงทำผมทรมานใจมากมาย
มีอุ่นไอแห่งความรักที่อยู่รอบๆตัวผม มากมาย
แต่มีไม่กี่รัก ที่ผมปรารถนาถึง
บางรักที่ปรารถนา กำลังจะลาจากไป ผมใจหายนะ
ทุกครั้งที่ผมได้สัมผัสคุณ หัวใจผมก็หวั่นไหวไม่แพ้คุณ
ผมไม่ถามหรอก ว่าคุณจะรู้สึกถึงความไหวหวั่นนั้นหรือไม่
เพราะดวงใจที่กำลังจะลาจาก กับดวงใจที่กำลังจะขาดนัย
เ ร า ค ง รู้ สึ ก ต่ า ง กั น
คุณเคยว่า คุณไม่อยากเป็นหนึ่งในหลายๆใครนั้นของผม
คำคุณนั้น ทำผมนึกหมิ่น และพาลชังตัวเองนัก
ผมเป็นเช่นนั้นจริงๆหรือคุณ ?
ผมล้อเล่นกับความรู้สึกพิเศษเช่นนั้นเลยหรือ
ไยคุณเรียกผมว่าคนดี
เมื่อความเป็นผม มิได้เข้าใกล้คำที่คุณเอ่ยเลย
แ ม้ เ พี ย ง สั ก ห นึ่ ง น้ อ ย
คุณน่าจะเรียกผมด้วยประโยคอื่นมากกว่า
ค น เ ล ว น่าจะเหมาะนะคุณ
..บานเช้า.. ที่คิดถึง
สำหรับผม
ซาบซึ้งวงรอบของหนึ่งเวลานี้ยิ่งนัก ที่หมุนผมมาให้เจอกับคุณ
คุณเป็นมากกว่าดอกไม้บาน ของฤดีกาลที่แห้งแล้ง
แม้เราได้ชิดใกล้กันเพียงฝัน ในค่ำอันเงียบงัน ของคืนอันเงียบเหงา ขณะที่พระจันทร์ซ่อนตัวอย่างเงียบๆในม่านเมฆ
ที่ถึงจะที่คิดถึงกันสักเพียงใด
ก็ได้แต่วาดเงาร่างความงดงาม บนทางช้างเผือกขาว ว่าเราได้ส่งผ่านความคำนึงหากันไปร่วม และรวมกัน ณ ที่ห้วงแห่งนั้น
แม้หนึ่งปรารถนาบางอย่างเคยสิ้นแล้ว พลันที่ความเป็นคุณมาปรากฏอยู่ในหนึ่งอนุสติ เหมือนได้วาบแสงอันเคยดับมืด ที่ถึงแม้ไม่อาจทำอะไรได้มากนัก
ดั่งสายน้ำไหลไปไกล.. ได้แต่ทอดตามอง และลอยปรารถนาดีดีตามไป.. หวังใจ ว่าจะไหลไปร่วมรวมกัน ณ ที่ใดสักแห่งหนึ่ง.. ที่เรา อาจรู้สึกได้ถึงกัน
คุณจะรู้ความรู้สึกผมหรือไม่หนอคนดี
..บานเช้า.. ที่คิดถึง
การที่เราจะรักกัน ไม่ใช่เรื่องยากเลย
ดูซิ... บัดนี้
ผมรักคุณ มากล้ำ จนไม่กล้าเอาไปเปรียบกับรักไหน
ที่เคยมาทอทับอยู่ในเบื้องนั้นของหัวใจ
แม้กายธรรมชาติเราไม่อาจสัมผัสกัน แหละแววตาก็ไม่อาจประสาน ได้ดั่งรักอื่นหมื่นพันล้านดวงใจบนโลกแห่งความแตกต่างใบนี้
แต่ผมสุขใจนะคนดี
ที่ส่วนสัมผัสเรา ได้โอบกอดกัน อย่างบริสุทธิ และยุติในทุกความยึดมั่น
เ ส ม อ เ ส ม อ
ผมไม่ใช่ชายอันวิเศษอะไร จึงไม่อาจล่วงรู้กาลในวันหน้าได้
จึงตอบคุณไม่ได้สักทีว่า
ในวันพรุ่ง
เราจะยังจะได้โอบกอดความรู้สึกกันไปอีกนานแค่ไหน
ตราบเท่าที่คุณ ยิ น ดี ผม ป ร า ร ถ น า แหละวันเวลาไม่ด่วนหมด กำ ห น ด ห ม า ย
เราจะยังมีเรา เช่นนั้น....
นิรันดร์...
นะคนดี...
ตะแบกบาน...
ผมเคยบอก
จะเก็บให้คุณ... สักวัน
คุณว่า จะรอคอย.. ชั่วชีวิต
แม้เป็นเพียงสมมุติฝัน
ก็อย่าด่วนทอดทิ้งมัน
ด้วยการเอ่ยคำลา
ยังไม่อยากให้วันที่ตะแบก แตกดอกบานไร้ความหมาย
เพียงเพราะวันนั้น....
ไ ม่ มี คุ ณ
..บานเช้า..
คุณได้ยินผมรึเปล่า......
ด้วยรักและสัตย์ซื่อ / แทนคุณแทนไท